หมิ่นซูปี้เห็นเยี่ยซินคอยมองซ้ายมองขวาตลอดระยะทางที่ไปเรือนพักก็รีบหันมาเตือน “ซินเอ๋อร์เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าไปเดินเพ่นพ่านแถวเรือนนายท่าน มิฉะนั้นจะหลังขาดมิรู้ตัว”
สีหน้าจริงจังของสาวใช้หน้าซื่อทำเอาซินเอ๋อร์ตาโต “ทำไมหรือ?”
“กฎสำคัญคือเรือนของนายท่านไม่อนุญาตให้สาวใช้เข้าไปในยามที่นายท่านอยู่ พวกเราจะได้เข้าไปทำความสะอาดเฉพาะตอนที่นายท่านไม่อยู่”
“หือ! เป็นเพราะเหตุใด?”
“ข้าก็ไม่รู้ แต่ท่านพ่อบ้านสั่งห้ามอย่างเด็ดขาด ในจวนนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่เป็นสาวใช้ แม้แต่คนทั้งครัวก็ล้วนเป็นบุรุษ”
“น่าแปลกจริง!”
“ซูปี้ข้าถามตรงๆ หรือว่านายท่านจะเป็นพวกตัดแขนเสื้อ” ซินเอ๋อร์ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบ หมิ่นซูปี้ทำหน้าบิดเบี้ยว
“อย่าพูดไปเทียว! หากใครได้ยินเข้าเจ้ากับข้าคงชะตาขาดแน่”
“หรือว่าจะใช่! ข้าเห็นองครักษ์สองนั่นดู.....”
หมิ่นซูปี้ส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ แต่ที่นี่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงนายท่าน เจ้าเองก็ห้ามเอ่ยโดยเด็ดขาด เข้าใจไหม?” นางรีบกำชับเสียงแข็ง
ซินเอ๋อร์เห็นท่าทางจริงจังของนางจึงพยักหน้า ‘เห็นทีจะหวังความจริงจากปากสาวใช้ผู้นี้คงยาก ที่สำคัญนางดูซื่อจนเซ่อ’ นักสืบแมวเก้าชีวิตจึงคิดจะหาความจริงด้วยตนเอง นางเงยหน้าขึ้นมองหลังคาเรือนโดยรอบ เงาวูบวาบที่เห็นในบางครั้งนั้นคือบุคคลที่นางจะต้องระมัดระวัง นั่นคือ ‘องครักษ์เงา’
พ่อบ้านเมี่ยวใช้ให้บ่าวผู้หนึ่งนำเอาชุดสาวใช้มาส่งเยี่ยซิน “นี่เป็นชุดสาวใช้ที่ซักแล้วมีสองชุด เจ้าใส่ไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปค้นหาให้เพิ่ม คฤหาสน์นี้ไม่มีสาวใช้มานานแล้วไม่รู้พวกบ่าวเก็บไว้ในหีบใด”
“ข้าฝากขอบคุณท่านพ่อบ้านด้วย”
“เจ้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด ควรจะเริ่มงานได้แล้ว นายท่านกำลังจะออกไปอู่ต่อเรือ พวกเจ้าจะได้เข้าไปทำความสะอาดเรือนใหญ่”
หมิ่นซูปี้รับคำแล้วเร่งให้เยี่ยซินเปลี่ยนเสื้อผ้า ยามนี้นักสืบสาวจึงนึกขึ้นได้ว่าเชือกถักที่นางมัดไว้บนข้อมือหลุดหายไป! นางเดินตามสาวใช้รุ่นพี่ไปจนถึงเรือนที่เคยลอบเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ‘อาจจะหล่นอยู่ในนี้ก็ได้ ถือโอกาสหาด้วยเลย’
ท่าทางของเยี่ยซินดูเงอะงะจนหมิ่นซูปี้นึกระอา “นี่เจ้ามิเคยทำงานบ้านหรือไร? ดูสิปัดฝุ่นก็ไม่สะอาด ตรงซอกนั้นเจ้าก็ไม่เช็ดให้ถึงด้านใน ประเดี๋ยวท่านพ่อบ้านมาตรวจก็โดนดุกันพอดี”
“นี่ซูปี้ ในเมื่อท่านอ๋องไม่ชอบสาวใช้ทำไมต้องให้พวกเรามาทำความสะอาดด้วย ข้าเห็นบ่าวรับใช้เยอะแยะ”
“ผู้ชายกับผู้หญิงทำงานละเอียดได้ไม่เท่ากันหรอกนะ อย่างไรสาวใช้อย่างเราก็ดูแลเรือนได้สะอาดกว่า พ่อบ้านเมี่ยวขอให้พวกเรามาทำตอนที่ท่านอ๋องไม่อยู่ เพียงแต่ห้ามเคลื่อนย้ายสิ่งของหรือแม้แต่หนังสือที่วางเกะกะไว้เด็ดขาด”
“ทำไมหรือ?”
“ข้าจะรู้ได้ไง? ข้ามิใช่นายท่านนี่ เจ้ารู้ไว้แค่ว่านายท่านสั่งอย่างไรก็ทำตามนั้นก็พอแล้ว ถามมากจริงๆ เลย” ใบหน้ากลมแบนนั้นแสดงความเหนื่อยหน่ายออกมา
“อ้อๆ ข้าไม่ถามมากแล้ว” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มรำคาญ ซินเอ๋อร์จึงหุบปากเอาไว้ก่อน ‘เดี๋ยวค่อยไปตีสนิทกับพวกบ่าวในครัวก็ได้’
หมิ่นซูปี้นอกจากจะเป็นคนซื่อแล้วยังใจเย็นมาก นางสอนให้ซินเอ๋อร์ปัดฝุ่นและเช็ดสิ่งของให้ถูกต้อง “เจ้าต้องปัดเบาๆ ไล่จากข้างในออกมาข้างนอก หากปัดแรงฝุ่นจะฟุ้งเข้าตาและจมูกของเจ้าได้ อย่าลืมเอาที่รองฝุ่นวางไว้ด้วย จากนั้นหากใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดได้เจ้าก็ค่อยเช็ด” นางทำให้ซินเอ๋อร์ดูทีละขั้น
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปทำความสะอาดด้านโน้นเถอะ เดี๋ยวข้าจะทำแถวตู้หนังสือเอง” ซินเอ๋อร์อาสาอย่างมีเลศนัย นางยืดเขย่ง ก้มเงยมองหาเชือกถักตั้งแต่ตู้ด้านในไปจนถึงตู้ด้านนอกแต่ก็ไม่พบ ‘อาจจะไม่ตกที่นี่ก็ได้ บนพื้นดูจนทั่วแล้วก็ไม่มี’ ซินเอ๋อร์มัวแต่พะวังพะวงกับการหาเชือกถักจนเผลอไปชนกับเก้าอี้หัวโล้นที่วางหนังสือไว้หลายเล่มตรงมุมตู้
โครม! โพล๊ะ! หนังสือนับสิบเล่มกระจายเกลื่อนพื้น
“ตายแล้ว!” หมิ่นซูปี้รีบพุ่งมาอย่างว่องไว เมื่อเก้าอี้ล้มและหนังสือกระจัดกระจายเช่นนั้น ใบหน้านางก็ครึ้มลงหลายส่วน
“ไม่มีสิ่งใดแตกหักนะ”
“เจ้ายังไม่เข้าใจ กฎข้อสำคัญอีกข้อ ห้ามแตะต้องข้าวของไม่ว่าจะวางอยู่อย่างใดทำความสะอาดได้แต่ห้ามเคลื่อนย้ายเด็ดขาด แล้วนี่เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเก้าอี้วางอยู่ท่าไหนและหนังสือซ้อนกันยังไง?” เยี่ยซินทำหน้าเอ๋อ หมิ่นซูปี้จึงรีบกล่าว “เจ้าต้องตั้งเก้าอี้และวางหนังสือซ้อนกันให้เหมือนเดิม หาไม่แล้วเย็นนี้เจ้ากับข้ามีหวังโดนสั่งงดข้าวเย็นแน่”
“หือ! นายท่านจำได้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
หมิ่นซูปี้พยักหน้าช้าๆ “ข้าเคยมาแล้ว”
เยี่ยซินยิ้มร่า ยกมือขึ้นตบบ่าสาวใช้คนซื่อสองแปะ “สบายใจได้ ซินเอ๋อร์เสียอย่างข้าจำได้แม่นยำเชียวล่ะ” นางรีบวางเก้าอี้ขึ้นในท่าเดิมแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาซ้อนกันทีละเล่มจนครบ “ถูกต้องแน่นอน ความจำของข้าเป็นเลิศจนท่านพ่อชมอยู่บ่อยๆ เจ้าไม่ต้องกังวล”
สีหน้าของหมิ่นซูปี้คล้ายไม่เชื่อถือ “เจ้าแน่ใจนะ”
“ไม่เชื่อเจ้าคอยดูตอนพ่อบ้านเมี่ยวเข้ามาตรวจห้องนี้สิ หากพ่อบ้านดุด่าข้า ข้าจะยอมยกข้าวเย็นส่วนของข้าให้เจ้ากินสองวันเทียว” ซินเอ๋อร์ยิ้มร่าขณะกล่าวท้าทาย วิชาตีนแมวเก้าชีวิตสอนให้รอบคอบในการย่องเบา นางจึงมั่นใจว่าตนเองวางข้าวของทุกอย่างได้ตามลำดับเดิมไม่ผิดเพี้ยน เมื่อพ่อบ้านเมี่ยวเข้ามาตรวจความเรียบร้อยเขามองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์แล้วก็หันมาพยักหน้าให้สองสาว
“เรียบร้อยแล้วพวกเจ้าไปได้”
เป็นครั้งแรกที่เหลียงเจินซินรู้สึกว่าใบหน้าน่ารักของตนนั้นมีประโยชน์นัก เมื่อนางเข้าไปในครัวแล้วแนะนำตัวกับทุกคน พ่อครัวถานที่ดูแลโรงครัวของคฤหาสน์รู้สึกถูกชะตากับนางเป็นพิเศษ “ซินเอ๋อร์ เจ้าดูน่ารักเสียจริง เห็นเจ้าแล้วทำให้ข้าคิดถึงลูกสาวคนเล็กที่บ้านนอก”
“พ่อครัวถาน ลูกสาวท่านน่ารักขนาดนางเลยหรือ?”
“ก็ไม่ขนาดนี้หรอก แต่ก็ร่าเริงสดใสเหมือนนางนัก”
บ่าวรับใช้ในครัวเห็นสาวใช้ตัวน้อยน่ารักงดงามราวตุ๊กตาก็พากันมารุมล้อมอย่างตื่นเต้น “อืม...เจ้าช่างต่างกับซูปี้เหลือเกิน”
“ต่างจากข้าตรงไหนกัน? พวกเราก็ใส่ชุดสาวใช้เหมือนกันไม่เห็นหรือไร?” หมิ่นซูปี้ขัดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย บุรุษในที่ครัวทั้งหมดหันมามองนางแล้วหันกลับไปมองเยี่ยซินพร้อมเพรียงกัน
-------------------