อีกไม่กี่นาทีฉันก็จะได้เหยียบพื้นแผ่นดินไทยที่ไม่ได้เหยียบมานานหลายปีเพราะไปเรียนต่อเมืองนอก เพื่อนำความสำเร็จใบปริญญาโทกลับมาให้แม่ภูมิใจในวันนี้
เครื่องแลนดิงลงจอดอย่างปลอดภัย ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากวอชิงตัน ดีซี เมืองหลวงของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาเกือบสามสิบคนเริ่มทยอยออกจากเครื่องบินพิเศษที่รับเฉพาะชั้นเฟิสต์คลาสที่เป็นนักธุรกิจพันล้าน นักการเมืองร่ำรวยและคนธรรมดาแต่มีเงิน
"กระเป๋าคุณจันทรารัตน์อยู่ทางนี้ค่ะ เดี๋ยวเราให้พนักงานจัดส่งไปที่บ้านเลยนะคะ" แอร์โฮสเตสคนสวยประจำเที่ยวบินลำนี้เอ่ยอย่างสุภาพ
สำหรับคนอื่น ๆ แม้จะอยู่ในระดับเฟิสต์คลาสเหมือนกันแต่ฉันวีไอพีหลายชั้นกว่าเพราะเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทเจ้าของสายการบินลำนี้
"ขอบคุณค่ะ" ริมฝีปากสีแดงเชิดขึ้น แต่มุมปากยังเจือรอยยิ้มสวยส่งมอบออกไป
"อ้อ เมื่อกี้ภรรยาท่านประธานใหญ่โทร.มาแจ้งว่ามีคนมารอรับคุณจันทรารัตน์ที่ประตูสองนะคะ"
คิ้วโก่งสวยขมวดมุ่น ฉันกลับมาวันนี้แทบจะไม่มีใครรู้แม้แต่แม่ของฉัน ขนาดชื่อบนเครื่องบินฉันยังบอกพนักงานให้ปิดเป็นความลับเลย แล้ว 'ป้าขจี' ท่านจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
"ทางเราต้องขออภัยด้วยนะคะ ถึงจะปิดคนอื่นเรื่องรายชื่อผู้โดยสารได้ แต่กับท่านประธานใหญ่เราไม่กล้าจริง ๆ ค่ะ" แอร์โฮสเตสคนเดิมบอกด้วยสีหน้ารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
"เจ้าจันทร์เข้าใจค่ะ" แม้จะไม่พอใจนิด ๆ แต่พวกเขาทำตามหน้าที่ ฉันไม่มีสิทธิ์จะไปต่อว่าใด ๆ จึงยิ้มกลับไปให้
"นี่คือทะเบียนรถที่รอรับคุณจันทรารัตน์นะคะ" นางฟ้าคนสวยประจำเครื่องยื่นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ มาให้
ฉันรับมาถือไว้ อ่านทะเบียนนั้นจนขึ้นใจแล้วขยำมันใส่ไว้ในกระเป๋าแบรนด์เนมใบสวย
สองเท้าที่อยู่บนส้นสูงสี่นิ้วแบรนด์เนมชื่อดังราคาห้าหลักปลาย ๆ เดินไปข้างหน้าอย่างองอาจ
ใคร ๆ ก็บอกว่าฉันเป็นค่อนข้างหยิ่ง เชิด แถมเอาแต่ใจในบางครั้ง นั่นทำให้มีเพื่อนแท้คบน้อยมาก และหนึ่งในนั้นคือคนที่อยู่ในสายนี้
"ว่าไง แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็คิดถึงไอแล้วเหรอ" เสียงใสกรอกลงไปในสาย
[คิดถึงมากยัยแสบ นี่กางเกงในของยูใช่หรือเปล่า] เสียงเขาเหมือนคนเพิ่งตื่น แต่มีความหัวเสียอย่างมากในเส้นเสียงนั้น
"อ้าวฉันลืมมันไว้ที่นั่นเองเหรอ ถึงว่าหาไม่เจอไปตัวนึง" แอบกลั้นขำที่คิดถึงเรื่องเมื่อคืนออกมา
[อย่ามาตลก ตอนนี้แกรนด์มากำลังจะฆ่าไอตายแล้วรู้ไหม] เสียงเขาแผ่วลง
อ้อ นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็โรคกลัวคุณย่ากำเริบนี่เอง
"แค่นี้ก่อนนะคริส ไอกำลังจะขึ้นรถกลับบ้าน" นิ้วเรียวสวยที่แต่งเล็บมาด้วยสีแดงสดกดวางสายนั้นอย่างไม่ใยดี
เขาที่โทรมาโวยวายฉันชื่อ 'คริสติน' เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวตอนที่ฉันไปเรียนต่อที่นั่น และเป็นคนที่กล้าเปิดอกคุยกันในทุก ๆ เรื่อง
ตอนฉันอยู่ที่นั่นตลอดเวลาห้าปีเราสนิทกันมาก
ถามว่าจบปริญญาตรีที่นี่ทำไมไปต่อปริญญาโทที่นั่นนานจังตั้งห้าปี เพราะฉันอยากไปพักรักษาแผลใจด้วยน่ะสิเลยไม่อยากรีบเรียนรีบกลับ
ส่วนกางเกงชั้นในที่คริสตินโทร.มาโวยวายเมื่อกี้ มันก็แค่เรื่องที่ฉันสร้างขึ้นให้เพื่อนสนิทเดือดร้อนเล่น ๆ
คริสตินเป็นโรคกลัวคุณย่าเขามาก กลัวในที่นี้หมายถึง ทั้งเกรงใจ และ เชื่อฟังมาก แล้วมันมีประเด็นสำคัญที่ว่า คุณย่าหมอนี่เอ็นดูฉัน อยากให้ฉันลงเอยกับหลานเขา แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เมื่อหัวใจของฉันไม่เหลือที่ว่างให้ใครอีกแล้ว ถามว่าในเมื่อฉันไม่รักไม่ชอบหลานเขาไปถอดกางเกงชั้นในไว้ที่ห้องหมอนั่นทำไม?
คำตอบคือ... เพราะฉันอยากแกล้งเขาให้ถูกคุณย่าเขาดุเล่นน่ะสิ โทษฐานที่เมื่อคืนหมอนั่นแกล้งจับจิ้งจกมาใส่ฉันจนเกือบหัวใจวาย เมาทีไรชอบเล่นอะไรพิเรนทร์ทุกที ฉันเลยเอาคืนด้วยการเอากางเกงชั้นในที่ยังไม่เคยใช้งานยัดใส่กล่องพร้อมข้อความสั้น ๆ
'You are so freaking hot.'
ถ้าคุณย่าหมอนี่เห็นข้อความบวกกับหลักฐานในกล่องคงแปลประโยคนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมีสาวคนไหนไม่รู้ติดใจความฮอต ความแซบ ของหลานชายท่านเข้าให้แล้ว และหลังจากฉันตัดสายไป ป่านนี้หมอนั่นคงโดนบ่นจนหูชาแล้วละ
เฮ้! ฉันไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นนะ ก็แค่เอาคืนเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นเอง
สโลแกนเจ้าจันทร์ 'แกล้งมา แกล้งกลับ ถือว่าเจ๊ากัน’
"คันไหนล่ะ?" พอออกมาจากประตูสองเลี้ยวซ้ายออกมานิดนึงก็จะเป็นลานจอดรถสำหรับรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศ
เหลือบสายตาไล่มองรถที่จอดเรียงรายอยู่เพื่อหาคันที่ป้าขจีเป็นคนส่งมารับ
"เฮ้ ฝรั่งคนสวย คัมฟรอม ไทยแลนด์ แท็กซี่มิเตอร์ไหม?" เสียงคนขับแท็กซี่คันหนึ่งปรี่เข้ามาหาฉัน แถมยังเข้าใจว่าฉันเป็นชาวต่างชาติอีก
อ้อ ลืมไป ฉันทำผมสีชมพูนิด ๆ เขาเลยคิดว่าฉันไม่ใช่คนไทยเพราะสีผมมันแปร๋นเกินไป
"ไม่ค่ะ เพื่อนมารับ" ฉันตอบด้วยสำเนียงไทยอย่างชัดถ้อยชัดคำจนคนขับแท็กซี่สบถไล่หลังว่า "อ้าว คนไทยเหรอวะ"
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เมื่อเห็นป้ายทะเบียนรถที่ตามหาจอดเลยขึ้นมาจากแท็กซี่คันนั้นสองคัน ฉันก็รีบเดินมาเคาะกระจกเรียก ไม่นานกระจกฝั่งที่ฉันเคาะก็ลดลง
"คนของคุณป้าขจี?" ฉันทักทายคนขับที่หน้าตาหล่อผิดปกติ ดู ๆ แล้วไม่น่าจะใช่คนขับรถที่ป้าขจีรับมา
ผมเขาสีเงินไถเปิดข้างดูมีสไตล์ ผิวขาวดูผิวพรรณดีเหมือนคนมีเงิน โครงหน้าไม่ต้องให้พูดถึง หล่อแบบสไตล์โอปาเกาหลีสุด ๆ
"เจ้าจันทร์!" รอคอยคำตอบจากอีกคนอยู่ แต่มีเสียงเรียกชื่อฉันจากทางด้านหลัง พอหันกลับไปมองเจอผู้หญิงคนหนึ่ง หุ่นนางแบบสวมเสื้อไหมพรมสีฟ้าเข้มโชว์พุงขาว ๆ แบบมีลอนสวย กระโปรงจีบรอบลายสก๊อตเหมือนสาวญี่ปุ่นกำลังวิ่งข้ามถนนมา
"เจ๊แยมโรล?"
ฉันเอ่ยถามเธอที่วิ่งข้ามมาจากถนนอีกฟาก ในมือถือเครปมาสองอัน
"อื้อ เจ๊เอง" ดีใจที่ทักคนไม่ผิด
"ไม่ได้เจอกันหลายปี เจ๊ยังสวยเหมือนเดิมนะคะ" ยกมือไหว้คนรู้จัก
เธอเป็นหลานของป้าขจี เราโตมาด้วยกันเลยไม่แปลกที่จะจำกันและกันได้แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
"นั่นเฮียกิเลนเหรอคะ" เพราะไม่เคยเห็นหน้าตาตัวเป็น ๆ ได้ยินแต่ข่าวกับรูปถ่ายแต่งงานไม่กี่ใบที่ถูกส่งไปให้ที่นู่นทำให้ฉันจำแฟนพี่สาวคนนี้ไม่ได้จริง ๆ
"ใช่จ้ะ" เธอยิ้มให้ก่อนจะยื่นขนมในมือไปให้คนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาถือไว้
"นี่ไง น้องสาวสุดที่รักแยม" เธอแนะนำฉันกับคนผมสีเงินที่เจอเมื่อกี้
"สวยดี" เขาตอบเสียงเรียบ
เอ่อ...ควรดีใจไหมที่เขาชมว่าสวย เพราะใบหน้าเขาไม่ได้มีความตื่นเต้นหรือบ่งบอกว่าฉันสวยอย่างที่ปากว่า
"ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อยสิ" เจ๊แยมโรลหันไปแว้ดใส่
"ก็ใครใช้ให้ฉันตื่นมาตีห้าโดยที่เพิ่งจัดหนักเธอเสร็จไม่ถึงครึ่งชั่วโมง"
เอิ่ม... ฉันควรมาได้ยินเรื่องแบบนี้ไหม?
แต่บังเอิญได้ยินไปแล้วและเขินแทนอีกคนที่มองมาทางฉันอาย ๆ
"ขึ้นรถเถอะเจ้าจันทร์" เจ๊ฉันเริ่มหน้าแดง สงสัยจะอาย แม้จะแต่งงานกันไปแล้ว แต่คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากให้สามีตัวเองมาเล่ากิจกรรมที่เพิ่งผ่านมาโดยเฉพาะเรื่องบนเตียงละนะ
ตอนนี้ฉันนั่งอยู่เบาะด้านหลัง ส่วนด้านหน้าเป็นพื้นที่ของคู่รักที่แต่งงานกันมาปีหนึ่งเต็ม ๆ กำลังสวีตกันอยู่ด้านหน้าด้วยการป้อนเครปกรอบ ๆ ที่ในมือฉันก็มีอันหนึ่ง
"ทีหลังหัดกินรสชาติอื่นที่มันไม่หวานได้ไหม ฉันกินจนจะเลี่ยนอยู่แล้ว" เฮียกิเลนบอกภรรยาที่นั่งข้าง ๆ แม้ปากจะบ่น แต่ก็อ้ารับทุกคำที่เจ๊แยมโรลป้อน
"ทำไม กินรสชาติฉันมันยากมากไง" นี่แหละเจ๊แยมโรลของฉัน
เธอเป็นเหมือนไอดอลฉันตั้งแต่เด็ก ๆ เราอายุห่างกันสามปี ฉันชอบความเป็นตัวของตัวเองของเธอ ชอบสไตล์การใช้ชีวิตที่โฉบเฉี่ยว เป็นคนแข็งนอกแต่อ่อนใน ที่สำคัญเธอเข้มแข็งมาก
"อร่อยไหม" คนที่นั่งด้านหน้าเอี้ยวตัวมาถาม
เครปในมือฉันยังไม่พร่องเพราะยังไม่หิว อีกอย่าง ทุกเช้าฉันต้องมีกาแฟดำสูตรไม่ใส่น้ำตาลตกถึงท้องก่อนถึงจะกินอย่างอื่นตามได้
"อร่อยค่ะ" แต่เพื่อถนอมน้ำใจคนซื้อให้จึงโกหกออกไป
"ยังไม่กินจะรู้ได้ยังไงว่าอร่อย"
อีกคนมองผ่านกระจกมองหลังแล้วเอ่ยขึ้น เขาช่างสังเกตจนน่ากลัว
เพียะ! เสียงฝ่ามือน้อย ๆ กระทบหัวไหล่คนขับ
"ไอ้กิลบ้า หัดเงียบบ้างก็ได้" เจ๊แยมโรลลดเสียงลง
โอเค เธอคงเห็นเหมือนกันแหละว่าของในมือฉันยังไม่ถูกชิมสักคำแต่เลือกไม่พูดมากเหมือนคนข้างกายเธอ
"พอดีเจ้าจันทร์ต้องจิบกาแฟดำก่อนน่ะค่ะ" เลือกอธิบายออกไป คนอื่นจะได้รู้เหตุผลไม่ใช่มองว่าเราหยิ่งกับของที่ราคาไม่กี่สิบบาท
"งั้นค่อยไปจิบที่บ้านคุณป้าแล้วกัน" คิ้วฉันย่นเข้าหากัน ก่อนเอ่ยถาม
"นี่เรากำลังจะไปที่ไหนคะ" เพราะเห็นว่าเป็นคนคุ้นเคยตอนขึ้นรถเลยไม่ได้ถามถึงปลายทาง
"บ้านทวีทรัพย์ไพศาลจ้ะ"
เพียงแค่หูได้ยินนามสกุลอันโด่งดัง ผู้เป็นเจ้าของสายการบิน TPS-Airlines ที่ฉันเพิ่งลงจากเครื่องหัวใจก็บีบอัด
ถ้าไปบ้านหลังนั้น ฉันก็จะเจอกับเขา 'ผู้ชาย' ที่เป็นเหมือนดาบสองคม ทั้งดีต่อใจและร้ายต่อจิตใจในเวลาเดียวกัน
"เจ้าจันทร์"
"เจ้าจันทร์จ๊ะ!"
"คะ?" มัวแต่เหม่อเลยไม่ได้ยินอีกคนเรียก
"วันนี้ตอนเย็นคุณป้าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเราที่บ้านท่าน และก็จะเซอร์ไพรส์วันเกิดน้าจันทร์เพ็ญด้วย"
หูฉันได้ยินที่เจ๊แยมโรลบอกทุกอย่าง และอีกเหตุผลที่ฉันกลับมาโดยไม่บอกแม่ผู้ให้กำเนิดก็เพื่อจะมาเซอร์ไพรส์งานวันเกิดท่านนั่นเอง
"เจ้าจันทร์ก็กลับมาแบบเงียบ ๆ เพื่อเซอร์ไพรส์แม่เหมือนกันค่ะ"
เห็นความรักอันเหนียวแน่นฉันเพื่อนของแม่ฉันกับป้าขจีแล้วมองไม่เห็นหนทางที่เราจะร่วมเป็นทองแผ่นเดียวกันได้เลย
ไม่สิ ฉันคิดอะไรลงไป เขายังไม่เคยตอบรักตัวเองเลย แล้วจะมานั่งเพ้อเจ้ออะไรเรื่องทองแผ่นเดียวกันก็ไม่รู้
"เจ้าจันทร์"
"จันทรารัตน์!"
"อ้ะ ขอโทษทีค่ะ"
"มัวเหม่ออะไรอยู่ หรือว่าเมาเครื่อง?" ครั้งนี้รถจอดแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่หมายที่ว่า
"นิดหน่อยค่ะ" ไม่เคยเมาเครื่องบิน แต่ตอบเพราะคิดอะไรไม่ทัน
"เดี๋ยวรอเจ้าของรถแป๊บนะ" เธอบอกเสียงหวาน ก่อนจะหันไปคุยกุ๊กกิ๊กกับเฮียกิเลนต่อ
เมื่อกี้เธอบอกรอเจ้าของรถ ฉันก็นึกว่าเบนซ์สีดำคันนี้จะเป็นของพวกเขาซะอีก
ประตูด้านหลังที่ฉันนั่งอยู่ถูกเปิดออก ก่อนจะมีผู้ชายร่างสูง สวมกางเกงสแล็กส์สีดำ เสื้อยืดแขนยาวสีเทาเข้มหย่อนก้นเข้ามานั่งข้าง ๆ ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าเพียงด้านข้างของเขา หัวใจก็เต้นระรัว ลำคอแห้งผาก มือไม้เย็นไปหมด
"มองอะไร" เสียงเข้มเชิงดุเล็กน้อย
ฉันรีบหันใบหน้าออกมามองวิวนอกหน้าต่างรถทันที พรูลมออกจากปากช้า ๆ เงียบ ๆ คนเดียวเพื่อให้จังหวะการเต้นของหัวใจค่อยลงจนคงที่
ผมสีแดงอมชมพูนั้นเขาทำมันตั้งแต่เมื่อไหร่ อยากจะตะโกนออกไปดัง ๆ ว่า มันแบดบอยมากกกก หล่อกระชากใจยิ่งกว่าก่อนที่ฉันจะบินไปเมืองนอกซะอีก
"อยู่เมืองนอกนาน มือไม้คงแข็งไปหมด"
"อ้ะ สะ สวัสดีค่ะ" เมื่อถูกตำหนิจากคนข้าง ๆ ฉันก็รีบหันมายกมือไหว้เขาทันที
แต่เหมือนจะไหว้ลมไหว้อากาศมากกว่าเมื่อคนข้าง ๆ ค่อย ๆ หลับตาลงทิ้งตัวนอนพิงเบาะอย่างไม่สนใจฉันอีกต่อไป
'เย็นชาเหมือนเดิมเลยนะคะ'
ได้แต่เหน็บแนมเขาในใจ แต่แบบนี้ก็ดีต่อใจเจ้าจันทร์เหมือนกัน เพราะจะได้แอบมองใบหน้าที่คิดถึงเงียบ ๆ คนเดียวในระยะใกล้ ๆ แบบนี้