บทนำ EP.4

1786 Words
เพราะคำพูดดังกล่าว ทำให้หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงตัวน้อยก็กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านหลังนี้ โดยมีอดิศร ลูกชายคนโตของนางซึ่งรับราชการทหารเป็นผู้จดทะเบียนรับเด็กหญิงเป็นบุตรบุญธรรมจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ “ยาย ยายจ๋า” เสียงเรียกของหลานสาวอีกคนดังขึ้น พร้อมกับสะกิดที่แขนยิกๆ ทำให้คนกำลังคิดถึงเรื่องในอดีตถึงกับสะดุ้งเฮือก “นุชว่าอะไรหรือลูก” “นุชบอกว่าถ้าพี่หนึ่งอยู่ด้วยนะ นุชจะให้ไปต่อยหน้าไอ้พวกปากไม่ดีให้หมดทุกคนเลย” เด็กหญิงพูดถึงอติรัตน์ ลูกชายของลุงซึ่งเรียนหนังสืออยู่ที่จังหวัดชลบุรี และจะกลับมาเฉพาะวันหยุดเท่านั้น “นั่นสินุช ถ้าพี่หนึ่งอยู่คงไม่มีใครกล้าพูดจาล้อเลียนเราหรอก” เด็กหญิงตัวผอมยิ้มกว้างและรีบพยักหน้าเห็นด้วย ทำให้แฝดคนละฝาหันไปส่งค้อนให้ประหลับประเหลือก “ทีตอนนี้ทำมาเป็นปากเก่งนะน้ำ เวลาถูกล้อทีไรนุชเห็นร้องไห้ทุกครั้ง” คนถูกค่อนขอดได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่กล้าเถียงเพราะเป็นเรื่องจริง “ใครจะเก่งเหมือนเราล่ะยายนุช ทำตัวเป็นอันธพาล มีเรื่องกับคนโน้นคนนี้ไม่เว้นแต่ละวัน” อารยาเอามือจิ้มหน้าผากลูกสาวที่เวลานี้ค่อยคลายจากอาการเสียใจ และดูเหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปถามผู้เป็นยายอย่างสงสัย “ยายจ๋า ทำไมต้นมะม่วงหลังบ้านเราถึงมีมดแดงอยู่เยอะแยะนักล่ะจ๊ะ” นางนวลปรางทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้เด็กหญิงอรุณรัศมีพลอยเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วด้วยความอยากรู้คำตอบไปด้วยอีกคน “พวกมันมาอาศัยทำรังที่ใบมะม่วงไงล่ะ จำไว้นะ ถ้ามะม่วงต้นไหนมีมดแดงเยอะ แสดงว่าต้นนั้นลูกจะดก ตอนที่ชกต้นมันไม่เคยสังเกตเลยหรือไง” เด็กหญิงยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เคยเลยจ้ะ แล้วถ้าเราไม่อยากให้ต้นมะม่วงมีมดแดงต้องทำยังไงจ๊ะยาย” คำถามของหลานสาวเล่นเอานางนวลปรางเหลียวไปมองหน้าลูกสาว เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ทว่าเมื่อเหลือบเห็นพี่ชายสองคนกำลังเดินขึ้นบันได ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะรู้แล้วว่าจะโบ้ยคำตอบให้ใคร จึงหันไปบอกกับหลานสาว โดยมีเด็กหญิงอีกคนนั่งรอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อเหมือนเคย “ไปถามตาแก้วกับตามีโน่นไป เรื่องนี้ยายไม่รู้” เด็กหญิงตัวอ้วนพุ่งความสนใจไปยังคนที่ถูกพาดพิงถึงทันที และยังไม่ทันที่ชายชราทั้งสองจะนั่งลง เด็กหญิงก็ยิงคำถามใส่โดยไม่ให้ทั้งคู่ได้ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว “ตามีจ๋า ถ้าเราไม่อยากให้ต้นมะม่วงมีมดแดงต้องทำยังไงจ๊ะ” คนถูกเรียกตามีนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนหันไปสบตากับตาแก้วแล้วเกี่ยงให้อีกฝ่ายตอบ “เอ็งตอบหลานสิวะไอ้แก้ว” ตาแก้วยกมือขึ้นเกาศีรษะดังแกรกๆ จำต้องตอบ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบเท่าไหร่นัก “เท่าที่ตารู้มา แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ ถ้าไม่อยากให้มะม่วงต้นไหนมีมดแดง ให้เอาเนื้อจระเข้ไปแขวนไว้ใต้ต้นนั้น เมื่อมดแดงไปแตะเข้าก็จะมีปีกงอกออกมา และพวกมันก็จะพากันบินหนีไปจนหมด แต่ตาเองยังไม่เคยพิสูจน์นะ” ตาแก้วถึงกับยกชายผ้าขาวม้าขึ้นซับเหงื่อเมื่อตอบจบ “แล้วเราจะไปหาเนื้อจระเข้มาจากไหนล่ะจ๊ะตา” เด็กหญิงอรุณรัศมีถามเสียงแจ๋ว ดวงตาคู่โตมีแววอยากรู้ “เอ ตาไม่รู้เหมือนกันนะน้ำ” ตาแก้วตอบพลางหัวเราะแห้งๆ ออกมาอย่างจนปัญญา ครั้นนางนวลปรางเห็นพี่ชายทั้งสองกำลังจะจนมุมหลานสาวเลยหาทางช่วยทางอ้อม “นี่พี่มีกับพี่แก้วไปต้มเหล้าป่ากันมาใช่หรือเปล่า” คำถามดังกล่าวทำเอาชายชราทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะพากันตอบเสียงอ้อมแอ้ม โดยตาแก้วเป็นผู้ตอบก่อน “ต้มไว้ทำยาดองเหล้าไงล่ะนวล แก้ปวดเมื่อยเนื้อตัวดีนัก” และตามีก็เสริมขึ้นว่า “เอาไว้กินก่อนข้าวไงล่ะ จะได้กินข้าวได้เยอะๆ” นางนวลปรางขยับปากจะบ่นตามเคย ทว่าไม่ทันหลานสาวตัวอ้วนที่ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน “นุชขอกินบ้างได้หรือเปล่าจ๊ะตา ตอนนี้นุชปวดมือมากๆ” เด็กหญิงตัวผอมก็พูดขึ้นมาบ้างว่า “น้ำก็ขอกินบ้างสิ ยายบอกว่าน้ำกินข้าวอย่างกับแมวดม” คำพูดซื่อๆ ของหลานสาวทั้งสอง ทำเอาชายสูงวัยทั้งคู่โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ได้หรอกลูก เป็นเด็กเป็นเล็กจะกินได้ยังไง ตาไปอาบน้ำก่อนนะ” ตอบแล้วตาแก้วก็ผลุนผลันลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านทันที โดยมีคู่หูลุกตามไปติดๆ ด้วยกลัวจะถูกน้องสาวเทศนาเรื่องต้มเหล้าต่ออีก นางนวลปรางมองหลานสาวทั้งสองแล้วก็อดหัวเราะในความช่างซักไม่ได้ เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ เมื่อกี้ยังร้องห่มร้องไห้กันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับนั่งตาแป๋วทั้งที่ใบหน้ายังคงเปื้อนคราบน้ำตา ตกค่ำหลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จเรียบร้อย เด็กหญิงทั้งคู่ก็มานั่งฟังผู้เป็นยายอ่านวรรณคดีไทยให้ฟังเหมือนเช่นทุกวัน “ทำไมยายถึงตั้งชื่อนุชว่าบุษบามินตราล่ะจ๊ะ ชื่อของน้ำก็เหมือนกัน ที่โรงเรียนไม่มีใครชื่อยาวๆ เหมือนเราสองคนเลยนะจ๊ะ” คนช่างซักช่างถามไม่พ้นเป็นเด็กหญิงบุษบามินตราอีกตามเคย เพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองผิวก็ดำแถมยังตัวอ้วนอีกต่างหาก แต่ดันชื่อเพราะพริ้งไม่เห็นเข้ากับตัวเองเลยสักนิด ถามแล้วก็ก้มลงมองผิวตัวเองอย่างไม่ชอบใจนัก “เพราะว่ายายชอบอ่านวรรณคดีไทยไงล่ะ อย่างของนุชยายเอามาจากชื่อของนางเอก” “แล้วทำไมไม่ชื่อบุษบาเฉยๆ เหมือนในเรื่องล่ะจ๊ะ” หลานสาวซักต่ออย่างสนใจ “บ๊ะ ช่างสงสัยจริงๆ ไอ้หลานคนนี้ ชื่อบุษบามันสั้นไป ยายเลยเติมคำว่ามินตราลงไป ให้มันเพราะและทันสมัยขึ้นไงล่ะ” นางนวลปรางตอบพลางส่ายหน้ากับความช่างสงสัยของหลานสาว “แล้วชื่อของน้ำเป็นใครในเรื่องพระอภัยมณีล่ะจ๊ะ” เด็กหญิงอรุณรัศมีเอ่ยถามขึ้นบ้าง “อรุณรัศมีเป็นพระธิดาของศรีสุวรรณ และเป็นพระมเหสีของสินสมุทรไงล่ะ” นางนวลปรางอธิบายให้เด็กหญิงตัวผอมฟัง ก่อนหันไปทางร่างอ้วนๆ ของหลานสาวอีกคน “นุชจำกลอนจากในเรื่องอิเหนาที่ยายเคยท่องให้ฟังบ่อยๆ ได้ไหม ลองท่องให้ยายฟังหน่อยสิ” ไม่นานเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงบุษบามินตราก็ดังกังวานขึ้น เป็นคำกลอนที่ถูกผู้เป็นยายเคี่ยวเข็ญให้ท่องทุกวันตั้งแต่จำความได้จนจำได้ขึ้นใจ แล้วว่าอนิจจาความรัก พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์ โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต จะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร “ทำไมยายต้องให้นุชท่องกลอนบทนี้ทุกวันด้วยล่ะจ๊ะ” เด็กหญิงถามต่อทันทีที่ท่องจบ เพราะเก็บความสงสัยไว้นานแล้ว นางนวลปรางยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบศีรษะหลานสาวทั้งคู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ยายบอกตอนนี้เราสองคนคงไม่เข้าใจหรอก เอาไว้ให้โตกว่านี้ แล้วจะเข้าใจเองว่าที่ยายสอนหมายความว่าอย่างไร” “จ้ะยาย แต่นุชยังสงสัยอีกอย่าง” “ทำไมถึงสงสัยหลายอย่างนักล่ะนุช ยายไม่เห็นน้ำจะช่างซักช่างถามเหมือนเราเลยนะ” คนเป็นยายพูดพลางหันไปทางเด็กหญิงอีกคนที่นั่งฟังแล้วยิ้มเพียงอย่างเดียว มีเพียงดวงตากลมโตเท่านั้นที่ฉายแววอยากรู้อย่างเห็น “แล้วอยากจะถามอะไรยายอีกล่ะหือ” “นุชแค่อยากรู้ว่าทำไมนุชถึงได้ตัวดำ ไม่เห็นสวยเหมือนแม่เลยล่ะจ๊ะ” น้ำเสียงของเด็กหญิงบุษบามินตราเจือแววน้อยอกน้อยใจตามประสาเด็ก เพราะไม่ชอบใจนักที่เวลาใครๆ เห็นเธออยู่กับผู้เป็นแม่แล้วมักจะพากันพูดว่า ไม่เห็นสวยเหมือนแม่เลยสักนิด นางนวลปรางฟังแล้วอดหัวเราะชอบใจออกมาไม่ได้ นางยกมือขึ้นเชยคางหลานสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แล้วใครบอกล่ะว่านุชไม่เหมือนแม่ เพียงแต่เราน่ะชอบวิ่งตากแดด ตากลม ตัวก็เลยดำแบบนี้ยังไงล่ะ” เด็กหญิงอรุณรัศมีรีบพยักพเยิดอย่างเห็นด้วยทันที “ใช่แล้ว นุชชอบวิ่งตากแดดอย่างที่ยายว่าแหละ ตัวเลยดำ” “ยายพูดจริงๆ หรือจ๊ะ” เด็กหญิงบุษบามินตราเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก เพราะดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้เป็นแม่นั้นหน้าตาสวยสดงดงาม รูปร่างก็อรชรอ้อนแอ้นราวกับนางในวรรณคดีอย่างที่หลายคนบอก แต่ตัวเธอกลับทั้งอ้วนทั้งดำ “จริงสิ ยายจะโกหกนุชไปทำไมเล่า ตากับคิ้วของนุชน่ะสวยเหมือนแม่” เด็กหญิงฟังแล้วก็ต้องนิ่วหน้าอย่างขัดอกขัดใจ เพราะคำชมดังกล่าวมีคนพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าดวงตาของเธอนั้นสวย คิ้วเรียงกันเหมือนวาดแต่สวยเพียงแค่สองอย่างไม่เห็นจะต้องการ นอกจากนี้ยังมีคำถามที่เพิ่งนึกได้ว่าผู้เป็นแม่ยังไม่ได้ตอบ ว่าทำไมเธอถึงไม่มีพ่อเหมือนเด็กคนอื่น ตั้งแต่จำความได้ตนเองยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยสักครั้ง เด็กหญิงสัญญากับตัวเองว่าจะต้องทวงคำตอบจากผู้เป็นแม่ให้ได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD