เด็กหญิงตัวอ้วนเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเองที่อยู่หลังห้อง โดยมีเด็กหญิงตัวผอมเดินตามไปติดๆ ดวงตาคู่โตที่มีน้ำตาคลอจวนเจียนจะหยดมองคนถูกตีด้วยความสงสาร แล้วชำเลืองมองมือของอีกฝ่ายที่แดงแปร๊ดอย่างขยาด
“เจ็บหรือเปล่านุช”
“เจ็บสิ” ดวงตาของเด็กหญิงวาวโรจน์ขณะตอบ
เสียงออดดังกังวานขึ้นเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เด็กนักเรียนต่างรีบเดินกรูกันออกจากห้องเรียน รวมทั้งคู่แฝดคนละฝาที่พากันเดินจูงมือเพื่อกลับบ้าน เพื่อนร่วมห้องหลายคนต่างพากันรีบหลีกทางให้ ไม่มีใครกล้าพูดล้อเลียนทั้งคู่อีก เพราะครั่นคร้ามกับฤทธิ์หมัดของเด็กหญิงบุษบามินตรา
ครั้นกลับมาถึงบ้านได้ คนถูกล้อเลียนว่าเป็นลูกไม่มีพ่อก็วิ่งตรงรี่ไปยังต้นมะม่วงหลังบ้าน กำหมัดขึ้นชกไปยังลำต้นไม่ยั้ง เพราะความเจ็บใจที่ยังหลงเหลืออยู่
“ไอ้สุนทร ไอ้คนปากหมา ไอ้ลูกพ่อแม่ไม่สั่งสอน...” เสียงก่นด่าของเด็กหญิงดังออกมาไม่ขาดปาก
“หยุดได้แล้วนุช ดูสิเลือดไหลแล้ว ไม่เจ็บมือบ้างหรือไงนะ” ร่างผอมบางที่วิ่งตามหลังมาติดๆ ร้องห้ามพลางทำหน้าหวาดเสียว เมื่อเห็นหลังมือของอีกฝ่ายแตกเป็นแผลมีเลือดไหลออกมา
“ถ้ายายมาได้ยินนุชด่าก็จะถูกดุอีกนะ”
“ยายไม่ได้อยู่ตรงนี้จะกลัวไปทำไมล่ะ โอ๊ย! ไอ้มดแดงบ้า กัดอยู่ได้” คนกำลังด่าและชกต่อยต้นมะม่วงอย่างเมามันหันมาเถียงพลางสะบัดมือเร่าๆ เพราะถูกมดแดงที่อยู่ตามต้นกัดเอา
“ขึ้นไปหายายบนเรือนกันเถอะ”
เด็กหญิงอรุณรัศมีเอ่ยชวนยิกๆ ดวงหน้าเล็กๆ เหยเกเหมือนจะร้องไห้ ส่วนคนชกต้นมะม่วงก็ดูเหมือนเพิ่งจะรู้สึกเจ็บ เมื่อเห็นเลือดไหลซึมออกมาพร้อมทั้งยังสูดปากดังลั่นเพราะถูกมดแดงกัด จึงเลิกชกแล้วตรงเข้าคว้าข้อมือบางของคนขี้แยพาเดินแกมวิ่งตรงไปยังเรือนหลังใหญ่
เบื้องหน้าของเด็กหญิงทั้งสองคือเรือนไทยไม้สักทองหลังใหญ่ไต้ถุนสูงโล่งแบบโบราณ มีจั่วแหลม ตัวบ้านมีสองส่วนเชื่อมต่อกันด้วยชานกว้าง ด้านข้างของตัวเรือนปลูกต้นไม้น้อยใหญ่ไว้เป็นระยะ ส่วนใหญ่เป็นไม้มงคลที่ปลูกไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลทั้งยังให้ร่มเงา ส่วนด้านหลังเป็นสวนผลไม้กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
ลักษณะของตัวบ้านบ่งบอกให้ผู้ผ่านไปมารับรู้ว่าเจ้าของยังคงอนุรักษ์ความเป็นไทยไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เพราะปัจจุบันผู้คนภายในละแวกนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงรูปแบบบ้านช่องของตัวเองให้เป็นตัวตึกอันทันสมัยแทบทั้งสิ้น แต่คงยกเว้นนางนวลปรางเพียงคนเดียวที่ไม่ได้สนใจจะเปลี่ยนแปลงตามแบบผู้อื่น ส่วนใครจะว่าเชยหรืออะไรก็ตามแต่ นางก็ยังคงยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ไม่ยอมคล้อยตามความคิดของผู้ใดทั้งสิ้น
ทั่วทั้งตำบลไม่มีใครไม่รู้จักนางนวลปรางหรือป้านวล หญิงม่ายหัวใจแกร่ง อายุ 55 ปี ที่สามีตายตั้งแต่ยังสาว ทิ้งเพียงลูกสองคนไว้ให้ดูต่างหน้า แต่นางก็สามารถเลี้ยงลูกด้วยตัวเองจนกระทั่งเติบโต บุตรชายคนโตรับราชการอยู่ฐานทัพเรือสัตหีบ ส่วนบุตรสาวคนเล็กหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยและทำงานได้เพียงปีเดียว ก็หอบเด็กน้อยน้อยหน้าตาน่ารักน่าชังกลับมาโดยไม่ยอมพูดหรือบอกเล่ารายละเอียดใดๆ ให้ผู้เป็นแม่ฟังทั้งสิ้น
ตัวนางนวลปรางเองไม่ปริปากถาม ได้แต่เก็บความรู้สึกเจ็บช้ำไว้ภายในใจ เพราะพูดไปจะเหมือนเป็นการซ้ำเติมให้ลูกเจ็บปวดมากขึ้นเปล่าๆ ที่ควรทำคือช่วยเลี้ยงดูหลานสาวตัวน้อยด้วยความรัก รวมทั้งดูแลสวนผลไม้อัน กว้างใหญ่ไปด้วยอย่างเข้มแข็ง ใครจะติฉินนินทาอย่างไรถ้าไม่ได้ยินก็แล้วไป แต่ถ้าได้ยินกับหูเมื่อไรเป็นได้ด่าไม่เลี้ยง จนไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ให้นางได้ยิน
“ทำไมถึงเพิ่งขึ้นเรือน”
เสียงดุๆ ของนางนวลปรางที่ดังขึ้นจากบริเวณระเบียงกว้าง ทำให้เด็กหญิงทั้งคู่ต่างชะงักเท้าที่กำลังก้าวขึ้นบันไดชั่วขณะ ก่อนจะรีบก้าวต่อแล้วพากันเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ร่างท้วม เพื่อหลบสายตาคมกล้าที่มองตรงมาอย่างสำรวจตรวจตรา
เด็กหญิงผิวคล้ำตาคมก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบคำถามอย่างคนมีชนักติดหลัง ส่วนเด็กหญิงตัวผอมเตรียมขยับปากจะบอก แต่ก็ต้องรีบหุบอย่างกะทันหันเมื่อได้ยินผู้เป็นยายเปรยขึ้นมาลอยๆ
“ไปมีเรื่องกับใครมาอีกละสิ”
นางนวลปรางพูดราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เป็นเพราะเห็นหลานสาววิ่งไปทางหลังบ้านแวบๆ ก็นึกเดาได้ทันทีว่าต้องไปมีเรื่องกับใครที่โรงเรียนมาอย่างแน่นอน และแล้วดวงตาของผู้เป็นยายก็ต้องเบิกกว้าง ก่อนอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อมองเห็นมือของหลานสาว
“นั่นมือไปโดนอะไรมาหรือยายนุช!”
เสียงอุทานดังกล่าวมีผลทำให้อารยาที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัวรีบผลุนผลันออกมาหาลูกสาวทันที
“เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะแม่”
“จะมีอะไร! แม่ลูกสาวตัวดีของนิ่มคงจะไปมีเรื่องกับเพื่อนที่โรงเรียนมาอีกแล้วละสิ”
คำพูดของนางนวลปรางทำให้อารยาเหลียวไปมองลูกสาว และหน้าก็ถอดสีลงในทันใด เมื่อเห็นหลังมืออวบๆ ของบุษบามินตรามีเลือดไหลซึมออกมา จึงรีบเดินไปหยิบยาล้างแผลกับสำลีจากตู้ยาที่แขวนไว้บนผนังมาจัดการทำแผลให้