“เรื่องคดีเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเรียบทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่พึ่งเข้ามาใหม่
“ยังมิมีผู้ต้องสงสัยเลยขอรับ ท่านเจ้าเมือง” คำตอบรับจากผู้ใต้บัญชาทำเอา โจวอี้หาน เจ้าเมืองซูโจวถึงกับถอดถอนหายใจออกมา เรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองซูโจวเริ่มจะปิดไม่มิด ข่าวสารเริ่มแพร่กระจายไปเกือบทั่วเมืองซูโจวแล้ว แม้ว่าคดีฆาตกรรมหญิงสาวจะเกิดขึ้นเพียงในตัวเมือง แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในเมืองซูโจวไม่น้อย
“แล้วมีสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”
“ขอรับ มีหญิงคณิกาตายเพิ่มอีกแล้วขอรับ เมื่อเช้าข้าน้อยพึ่งจะไปดูศพมา การลงมือเป็นลักษณะเดียวกัน คือ ถูกจ้วงแทงหลายแผล ทั้งยังถูกกรีดที่ใบหน้า” ผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองอย่าง หรงจี ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เมื่อเช้ามืดท่านฉือกงหัวหน้ามือปราบของเมืองซูโจว ได้รับแจ้งว่าพบร่างสตรีที่เต็มไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ริมน้ำ ท่านฉือกงจึงมาเรียกเขา ให้ไปช่วยตรวจสอบ
“ศพที่สามแล้วสินะ พบความเชื่อมโยงของผู้ตายหรือไม่” โจวอี้หานถึงกับกุมขมับ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นในเมืองซูโจว เดิมที คิดว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์กลับมีเหตุการณ์เช่นเดิมเกิดขึ้น ทั้งผู้ที่ถูกฆ่ามักจะเป็นสตรีทั้งสิ้น มีทั้งหญิงชาวบ้านและหญิงคณิกา
“ไม่เลยขอรับ ส่วนข้อมูลข้าน้อยรวบรวมมาไว้ในนี้ทั้งหมดแล้ว” หรงจียื่นม้วนกระดาษที่เขาเขียนข้อมูลต่างๆ ให้กับท่านเจ้าเมือง
“ขอบใจเจ้ามาก เห็นทีเราคงต้องส่งฎีกาขอให้เมืองหลวงส่งคนมาจัดการเสียแล้ว” เมืองซูโจวเป็นเมืองทางตอนใต้ของแคว้นฉาง ซึ่งบัดนี้อยู่ในรัชสมัยขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงที่เก่งกาจเรื่องการปกครอง ทั้งยังมีชินอ๋องฉางเล่อที่เชี่ยวชาญทางด้านการทหาร จวิ้นอ๋องฉางหรุ่ยช่ำชองเรื่องการค้า ทำให้มิมีผู้ใดกล้าเปิดศึกกับแคว้นฉางมานานกว่าเจ็ดปี
“ขอรับ แต่อย่างไรการทำเรื่องไปเมืองหลวงคงจะใช้เวลาหลายเดือนกว่าทางการจะส่งคนมา ระหว่างนี้เราจะทำอย่างไรขอรับ” หรงจีกังวลว่าการขอความช่วยเหลือจากเมืองหลวงอาจล่าช้า
“คงต้องคอยลาดตระเวนต่อไป จะให้ชาวเมืองอยู่อย่างหวาดกลัวเช่นนี้มิได้”
“เอ่อ…ข้าน้อยพอจะมีวิธีขอรับ เมื่อไม่นานมานี้มีผู้มาร้องเรียนว่า มีคนอ้างตนว่าเป็นแม่หมอ เห็นนิมิตของผู้คนขอรับ” ได้ยินดังนั้นอี้หานก็ขมวดคิ้วแน่น เขามิชอบใจผู้ที่คิดออกอุบายหลอกลวงชาวบ้านเช่นนี้
มิมีสิ่งอื่นให้ทำมาหากินแล้วหรืออย่างไร
“ส่งฉือกงไปจับกุมเสีย ขังไว้ในคุกมืดสักสิบวันจะได้หลาบจำเสียบ้าง”
“ท่านเจ้าเมืองใจเย็นลงก่อนขอรับ เรื่องนี้ข้าตรวจสอบแล้ว แม่หมอผู้นี้มิได้หลอกลวงชาวบ้านขอรับ ทั้งชาวบ้านยังเอ่ยว่า นิมิตของนางนั้นแม่นยำราวกับไปยืนอยู่เหตุการณ์นั้นจริงๆ”
“แล้วอย่างไร…” อี้หานเงยหน้ามองผู้ช่วยของตนด้วยสายตางุนงง
“ข้าน้อยว่าเราลองไปขอดูภาพนิมิตจากนางดีหรือไม่-”
“ไม่! เจ้าก็รู้ว่าข้ามิเชื่อเรื่องทางไสยเวท ไร้สาระ มิมีหลักการ มิมีเหตุมีผล” คำด่าทอแสนซื่อตรงของผู้เป็นนาย ทำเอาหรงจีถึงกับหน้าชา แต่ก็มิได้คิดสิ่งใดมาก เพราะเขาทำงานกับท่านเจ้าเมืองมานาน ย่อมชินชากับคำพูดแสนจะซื่อตรงและเจ็บแสบเหล่านี้
“แต่เพื่อชาวเมืองของเรา ท่านเจ้าเมืองก็ควรลองมิใช่หรือขอรับ หากว่าภาพนิมิตของนางเป็นจริง เราก็อาจได้ข้อมูลของคนร้ายเพิ่ม แต่หากว่ามิเป็นความจริง เราก็จับนางเข้าคุกเสีย มิมีสิ่งใดเสียหายเลยขอรับ” อี้หานฟังคำของผู้ช่วยก็นิ่งคิดอยู่นาน
ตั้งแต่เกิดมาจากครรภ์มารดา เขาก็เกิดมาพร้อมกับความอับโชค มารดาเป็นอนุฐานะต่ำต้อย บิดามิได้ใส่ใจดูแลสักเท่าใด ไม่ว่าจะเรื่องใด เขาก็ต้องลำบากยากเย็นกว่าจะได้มา แม้จะมิใช่ความลำบากเฉกเช่นชาวบ้านที่มิมีกินมีใช้ แต่ก็ใช่ว่าจะมิเหนื่อยใจ ตำแหน่งท่านเจ้าเมืองก็เช่นกัน เขาใช้ความสามารถทุกอย่างที่มีเพื่อได้ตำแหน่งนี้มา ฐานะทางสังคมของเขาจึงดีขึ้นบ้าง มารดาก็ได้ขึ้นเป็นฮูหยินรองเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิอยากจะศรัทธาผู้ที่อ้างตนว่าได้รับพรจากสวรรค์ เพราะมันทำให้เขารู้สึกว่าสวรรค์นั้นลำเอียง แต่เมื่อเป็นเรื่องความเป็นความตายของชาวบ้าน เขาจะลองดูสักครา…
“…อืม เช่นนั้นก็ได้”
“มี่เอ๋อร์ วันพรุ่งจะเปิดสำนักหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาว เพราะวันพรุ่งจะเป็นวันที่หลานสาวของนางอายุครบสิบห้าหนาว นางจึงคิดจะจัดพิธีปักปิ่นให้กับหลานสาว
“เปิดเจ้าค่ะท่านยาย เราจัดพิธีปักปิ่นเพียงช่วงเช้าได้หรือไม่เจ้าคะ มิต้องเชิญผู้ใดมาก็ได้ เพียงแค่ท่านยายปักปิ่นให้ข้า เท่านี้ข้าก็ดีใจแล้วเจ้าค่ะ” ลี่มี่ที่หยุดพักจากการดูชะตาชีวิตของชาวบ้านเอื้อนเอ่ยตอบท่านยาย
“จะเอาเช่นนั้นหรือ เจ้ามิอยากให้ผู้ใดมาหรือ”
“เจ้าค่ะ เพียงแค่บอกชาวบ้านที่จะมาสำนัก ว่าช่วงเช้าเราจะปิด เพื่อทำพิธีปักปิ่นเท่านั้นก็พอแล้วเจ้าค่ะ” ลี่มี่มิได้คิดว่าพิธีปักปิ่นนั้นสำคัญ ถึงขั้นต้องเสียเงินทองเพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อ ตลอดหนึ่งเดือนที่นางเริ่มตั้งสำนักและหาเงินเอง นางตระหนักได้ว่าเงินทองกว่าจะได้มาช่างยากลำบาก หากจะเสียเงินไป นางก็ควรจะเสียเงินไปเพราะใช้จ่าย ซื้อความสุขให้กับท่านยายและน้องชายมากกว่า
“เช่นนั้นยายจะไปบอกชาวบ้านให้ เจ้าจะให้ยายเรียกคนถัดไปเข้ามาเลยหรือไม่”
“เรียกเข้ามาเลยเจ้าค่ะ ข้าพร้อมแล้ว” ลี่มี่ลุกขึ้นนั่ง เตรียมตัวดูชะตาชีวิตของชาวบ้านคนถัดไป
บัดนี้ชื่อเสียงด้านการดูนิมิตของนางเริ่มดีขึ้น ผู้คนที่เคยมาดูในช่วงแรกๆ แล้วพบเจอกับเหตุการณ์ตามที่นางเอ่ยก็นำเรื่องราวไปเล่าต่อ จนทำให้มีผู้คนสนใจที่จะมาดูชะตาชีวิตกับนางมากขึ้น และแน่นอนว่าเงินทองก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงศรัทธา
จนบัดนี้ลี่มี่เก็บเงินทองได้มากถึง 4 ตำลึงทอง กับอีก 7 ตำลึงเงิน แต่อย่างว่า คนเราย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ค่ากินค่าอยู่ ค่าเสื้อผ้าอาภรณ์ นางจึงเสียเงินไปกว่า5 ตำลึงเงินเพื่อซื้ออาภรณ์เนื้อดีและเครื่องนอนให้กับครอบครัว เพราะช่วงนี้เข้าสู่เหมันตฤดูแล้ว ในช่วงกลางคืนมีหิมะตกจนหนาวกัดไปหมด
ลี่มี่ยังคงตรวจดูชะตาชีวิตของผู้ศรัทธาจนถึงช่วงเย็น จากนั้นจึงทานอาหารกับน้องชายและท่านยายอย่างอิ่มหนำแล้วจึงพากันเข้านอน
“อุ่น อุ่น อุ่น น้องชอบมากขอยับ” เด็กน้องซุกตัวอยู่ในเครื่องนอนชุดใหม่ที่พี่สาวซื้อมาอย่างสุขใจ
“หึๆ อาหมิงน้องพี่อายุสี่หนาวครึ่งแล้ว เหตุใดยังพูดมิชัดอีกนะ”
“น้องเองก็มิยู้ขอยับ แต่พูดเช่นนี้น้องมิน่าเอ็นดูหยือ” ใบหน้าเล็กหมองลงจนพี่สาวต้องรีบเอ่ยปลอบ
“น่าเอ็นดูๆ จะพูดชัดหรือไม่ พี่ก็รักและเอ็นดูเจ้าที่สุด นอนได้แล้วพรุ่งนี้พี่ต้องตื่นแต่เช้า” ลี่มี่กดจุมพิตลงบนหน้าผากของน้องชาย แล้วจึงพากันเข้าสู่ห้วงนิทราไป
เช้าวันรุ่งขึ้นเหมาไป่และลี่มี่ตื่นขึ้นมาเตรียมของจัดพิธีปักปิ่นกันเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีชาวบ้านเข้ามาร่วมพิธีปักปิ่นของลี่มี่กันตั้งแต่เช้า ชาวบ้านที่ศรัทธาในแม่หมอต่างนำอาหารมาร่วมฉลองพิธีปักปิ่นของลี่มี่ เดิมที คิดว่าจะจัดพิธีกันเพียงสามคนยายหลาน แต่เมื่อมีชาวบ้านเข้ามาร่วมด้วย ลี่มี่ก็มิได้ขัดอันใด เชิญทุกคนเข้ามาร่วมพิธีปักปิ่นของนางอย่างนอบน้อม
หลังจากที่ได้รับคำสอนจากท่านยาย ลี่มี่ก็เริ่มปรับตัวเข้ากับคนหมู่มากได้ดีขึ้น รู้ว่าควรพูดหรือปฏิบัติตนเช่นไร จากคำพูดที่แข็งกร้าวดูไร้มารยาทเปลี่ยนเป็นการเหน็บแนมอย่างเชือดเฉือนแทน
ขั้นตอนพิธีต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบง่ายตามขนบธรรมเนียม มีการเลี้ยงฉลองร่วมกันเล็กน้อย ไม่นานทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตน ลี่มี่เองก็จัดเตรียมสถานที่ เพื่อเปิดสำนักในช่วงบ่าย
“ผู้คนมารอมากเลยทีเดียว คงเป็นเพราะยายแจ้งว่าต่อจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะหยุดเพื่อซ้อมหลังคาเรือน”
“เช่นนั้นก็เชิญคนแรกเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” ลี่มี่ยกผ้าคาดหน้าเข้ามาสวมใส่และเตรียมพร้อมเช่นเคย ชาวบ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาดูนิมิตกับท่านแม่หมอ บ้างก็ผิดหวังกลับไปเพราะมิมีวาสนาต่อสวรรค์ แต่บางคนกลับได้รับคำเตือนที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต ชาวบ้านที่มาที่สำนักมีทั้งคนในหมู่บ้านและผู้คนนอกหมู่บ้าน จนมาถึงผู้ศรัทธาคนสุดท้ายที่ท่านยายเอ่ยว่า เขาเดินทางมาจากตัวเมืองเพื่อขอคำชี้แนะจากแม่หมอแห่งซูโจว
“เอ่อ ผู้ใดที่จะดูนิมิตหรือ เหตุใดจึงเข้ามากันเยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้เล่า” ลี่มี่จ้องมองชายหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้าอย่างพิจารณา โดยเฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด คนผู้นี้หล่อเหลา ท่าทางราวกับบัณฑิตมีความรู้ และดูเหมือนว่าคนผู้นี้คงจะเป็นนายของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง
“ข้าเป็นเจ้าเมืองซูโจว มีนามว่า โจวอี้หาน”
“ทะ ท่านเป็นเจ้าเมืองหรือ แล้วมีกิจธุระอันใดกับข้าหรือ” ลี่มี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจไม่น้อย หญิงสาวตื่นกลัวอยู่ตลอด เพราะการงานของนางเสี่ยงที่จะถูกทางการจับกุมยิ่งนัก
“รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำถือเป็นการหลอกลวงชาวบ้าน” น้ำเสียงเรียบของชายตรงหน้า ทำเอาร่างเล็กถึงกลับหันไปสบตากับผู้เป็นยายอย่างหวาดหวั่น แต่ก็พยายามควบคุมสติและนั่งอย่างสงบ ทั้งที่มือบางสั่นเทาจนต้องบีบประสานกันเอาไว้
ต่างจากอี้หานที่กำลังชะงักงงกับรูปร่างและน้ำเสียงของลี่มี่ เพราะเขามิคิดว่าแม่หมอที่ชาวบ้านเล่าลือจะเป็นหญิงสาวที่อ่อนวัยถึงเพียงนี้
“ขะ ข้าหลอกลวงชาวบ้านอย่างไรเจ้าคะ ข้าเพียงทำงานหาเงินเท่านั้น มะ มิได้โป้ปด มิได้หลอกลวง มิได้ทำเลย-”
“หยุด”
“ชะ ชาวบ้านเองก็ศรัทธา เพราะข้าเชื่อถือได้ เช่นนี้ เช่นนี้มิถือเป็นการหลอก-” ยิ่งร้อนรน ลิ้นเล็กก็ยิ่งพันกัน เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นบนกรอบหน้างาม ผู้ใดมองก็รู้ว่าหวาดกลัวและตื่นตระหนกเพียงใด
“หยุด!!!”
“เจ้าค่ะ!” มือเล็กยกขึ้นปิดปากตนเองแน่น เหมาไป่เห็นท่าทีร้อนรนของหลานสาวก็สงสารจับใจ แม้จะฝึกให้ตนเองแสดงท่าทีนิ่งสงบสักเพียงใด แต่ลี่มี่ก็ยังเป็นเพียงหญิงสาวที่พึ่งพ้นวัยปักปิ่นมาไม่กี่ชั่วยาม
“กฎข้อที่ 186 ของแคว้นฉางกล่าวไว้ว่า ผู้ใดตั้งตนเป็นพวกไสยเวท หลอกลวงชาวบ้านให้หลงงมงาย ต้องได้รับโทษกักขังและค*****นให้กับผู้ถูกหลอกลวง” ร่างใหญ่หยิบตำราออกมากางให้แม่หมอตัวน้อยได้ดู ท่าทางที่มั่นคงประกอบกับใบหน้าที่เรียบเฉย ส่งผลให้คำพูดเหล่านั้นน่าเชื่อถือมากขึ้น จนลี่มี่ที่มิรู้เรื่องกฎบ้านเมืองถึงกับหน้าซีด แต่ก็ยังเอ่ยปฏิเสธอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อึก! ข้ามิได้หลอกลวงเจ้าค่ะ ชาวบ้านเองก็ได้รับประโยชน์จากข้า ทั้งนิมิตของข้ามิเคยผิดไปจากที่เห็น เว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวจะพยายามเปลี่ยนแปลงมันเอง”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านิมิตของเจ้าน่าเชื่อถือ” อี้หานเองก็มิยอมปล่อยให้คนหลอกหลงตรงหน้ามีช่องให้แก้ตัว
“ท่านจะลองหรือไม่เล่า”
“ข้ามิเชื่อเรื่องเช่นนี้ มันมิมีหลักการ”
“แม้จะมิเชื่อ แต่ท่านอย่าได้ลบหลู่ ลองดูสักคราจะเป็นอันใด หากว่ามิเป็นไปตามนิมิตที่ข้าเห็น ข้าจะยอมให้ท่านจับ” ได้ยินดังนั้นร่างสูงก็กระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ เขารอคำพูดนี้มานานแล้ว เดิมพันครานี้ เขามีแต่ได้ มิมีเสีย
มือหนายื่นออกไปตรงหน้า พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตาสีเขียวมรกตตามคำสั่งของผู้อ้างตนว่าเป็นแม่หมอ
เฮือก!ภาพของสตรีที่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน ทำให้ลี่มี่ถึงกับเบิกตากว้าง นางตกใจจนแทบจะดึงมือออกจากฝ่ามือท่านเจ้าเมือง
“เห็นสิ่งใด”
“ละ เลือด เลือดเต็มไปหมด” สติของลี่มี่หลุดลอยไปกับภาพอันน่าสยดสยองที่นางได้พบ ตั้งแต่เกิดมานางพึ่งเคยเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ขนาดว่ายามที่ท่านพ่อท่านแม่ตกเขา พวกท่านยังมิมีบาดแผลมากมายเพียงนี้
“แม่หมอ ท่านตั้งสติก่อนขอรับ ช่วยเล่าสิ่งที่ท่านเห็นให้พวกข้าได้ฟังทีเถิด” หรงจีที่เห็นว่าหญิงสาวเกิดอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ก็นึกได้ทันทีว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีเป็นแน่ สองมือท่านผู้ช่วยรีบหยิบเอากระดาษและพู่กันขึ้นมาจดบันทึกไว้
“ขะ ข้าเห็นร่างของหญิงสาวสาวชุดขาว เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด บาดแผลเป็นรอยลึกดั่งถูกดาบหรือกระบี่ฟาดฟัน ใบหน้าถูกกรีดจนมิอาจรู้ได้ว่าเป็นผู้ใด แต่มีตราคล้ายดอกไม้ติดอยู่ที่ข้อมือ” เมื่อได้ยินดังนั้นอี้หานถึงกับขมวดคิ้ว
ข้อมูลเหล่านี้ชาวบ้านเช่นนางจะรู้ได้อย่างไร หรือนางเพียงคาดเดาเอาเท่านั้น
“หญิงคณิกาจากหอนางโลมหนี่ชิ่งมิผิดแน่ขอรับ”
“สถานที่เล่า” หากว่าฉือกงยืนยันว่าเป็นหญิงคณิกาย่อมต้องเป็นไปตามนั้น อี้หานจึงรีบเอ่ยถามออกไป
“เห็นเป็นตรอกเล็กๆ มี- มีไหสุราวางกองอยู่มากทีเดียว”
“จะเกิดขึ้นเมื่อใด เจ้ารู้หรือไม่”
“ภาพนิมิตที่ข้าเห็นค่อนข้างชัดเจน คาดว่าคงเกิดขึ้นภายในเจ็ดวันนี้” เมื่อไม่นานมานี้ ลี่มี่ค้นพบว่ายิ่งภาพนิมิตชัดเจนมากเท่าใด เหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นเร็วมากเท่านั้น
“เช่นนั้นดูอีกรอบ คราวนี้เจ้าจดจำลักษณะของหญิงผู้นั้นให้มากที่สุด” อี้หานยื่นมือให้ลี่มี่อีกครา ตาคมสอดประสานเข้ากับนัยน์ตาสีสวย ในใจเฝ้าคิดว่าใบหน้าใต้ผ้านั้นจะเป็นเช่นไร เขายอมรับตามตรงว่า ดวงตาของหญิงตรงหน้านั้นงดงามเหลือเกิน
เฮือก! ภาพที่ปรากฏขึ้นในศีรษะเล็กมิได้เป็นภาพเหตุการณ์เดิม แต่กลับเป็นภาพของชายหญิงที่กำลัง…ร่วมหอกัน
ฝ่ายชายโยกขยับสอดแก่นกายขนาดใหญ่ เข้าไปในบุปผาช่อน้อยด้วยแรงตัณหา ขาเรียวของหญิงสาวยกขึ้นมากอดเกี่ยวเอวของชายด้านบนเอาไว้ หน้าอกนูนโตกระเพื่อมขึ้นลงไปตามแรงที่ได้รับ แม้ภาพจะเลือนราง แต่ลี่มี่ก็มั่นใจว่าชายผู้นี้เป็นโจวอี้หานมิผิดแน่ ส่วนฝ่ายหญิงที่กำลังถูกเคี่ยวกรำอยู่นั้นเป็น…นาง ห๊ะ!!! ลี่มี่เบิกตาแทบถลน
จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทาง ไม่มีทาง