มิเป็นดั่งหวัง

1995 Words
“อาเต๋อ เราขึ้นเขากันเถิด เตรียมของไปมากหน่อย พ่อจะขึ้นไปหลายวัน” เมื่อกลับมาจากเรือนสกุลเหมา ชุนไห่ก็ชักชวนชุนเต๋อขึ้นเขาอย่างอารมณ์ดี ผิดกับบุตรสาว ภรรยาและมารดาที่บัดนี้เดินหน้าตึงกลับเข้าไปในเรือน “ขอรับท่านพ่อ” ชุนเต๋อยิ้มรับ ก่อนหน้านี้พวกเขากังวลเรื่องของลี่มี่และลี่หมิงจึงมิยอมขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่บัดนี้คงมิมีสิ่งใดให้เป็นห่วงอีกแล้ว ด้านลี่มี่ หลังจากที่ดูตรวจดูชะตาของชายชรา นางก็หมดความมั่นใจไปมากทีเดียว เพราะคำพูดและเสียงหัวเราะอย่างขบขันของชายชรา ทำให้นางรู้สึกว่าความตั้งใจและความพยายามของนางนั้นสูญเปล่า คิดว่าคงมิมีผู้ใดอยากให้นางดูชะตาชีวิตให้แล้ว จนนางเกือบถอดใจ แต่หลังจากที่ชายชราผู้นั้นออกไปได้ไม่นาน ชาวบ้านก็เรียกร้องให้ท่านยายรีบออกมาเรียก ผู้ที่จะได้เข้าไปดูชะตาชีวิตกับแม่หมอคนถัดไป ลี่มี่นั่งดูภาพนิมิตของชาวบ้านคนแล้วคนเล่า บ้างก็เห็น บ้างก็มิเห็น กว่าจะดูครบทุกคน ลี่มี่ก็เหนื่อยล้าจนล้มตัวลงนอนอยู่กลางเรือน “พี่มี่เอ๋อร์ ดื่มน้ำก่อนขอยับ” ลี่หมิงถือกระบวยน้ำมาป้อนให้กับพี่สาวถึงปาก เหมาไป่เองก็รีบนำพุทราเชื่อมมาป้อนเข้ามากให้กับหลานสาว “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ขอบใจเจ้าด้วยนะอาหมิง” “รู้สึกอย่างไรบ้างมี่เอ๋อร์ เจ็บปวดหรือรู้สึกแปลกๆ หรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง หลานสาวของนางใช้พละกำลัง เพื่อดูภาพนิมิตของผู้อื่นมากมาย กลัวว่าการทำเช่นนี้จะเกิดผลเสียตามมาภายหลัง “แค่เหนื่อยล้าเท่านั้นเจ้าค่ะ เราเอาเงินมานับดูก่อนเถิด หากว่ามิคุ้มกับค่าเหนื่อย ข้าจะได้คิดหาวิธีใหม่” เหมาไป่ได้ยินหลายสาวเอ่ยดังนั้น ก็นำเงินที่ได้จากแรงศรัทธาของชาวบ้านออกมา เหรียญอีแปะหลายสิบเหรียญถูกนำมากองตรงหน้าทั้งสามคน “หนึ่ง สอง …” เสียงหวานเอ่ยนับจำนวนเหรียญไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ห้าสิบสองอีแปะ เงินจำนวนนี้ใช้ซื้อข้าวสารได้เกือบสามจิน ซึ่งครอบครัวของนางใช้กินอยู่ได้สองวัน แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ลี่มี่ก็ยังรู้สึกว่ามิคุ้มค่ากับความเหนื่อยล้า “เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้นเล่าหลานยาย ใช้เวลาเพียงสองสามชั่วยาม เจ้าก็หาเงินมาได้ตั้งห้าสิบกว่าอีแปะ ทั้งเงินที่ได้ยังมาจากแรงศรัทธาจากชาวบ้าน” “ซื้อถังหูลู่ได้หลายไม้ ใช่หยือไม่ขอยับ ท่านยาย” “อืม ได้หลายไม้ทีเดียว” ทั้งสามยายหลานหัวเราะเบาๆ ให้กับคำพูดของลี่หมิง เด็กน้อยผู้นี้นับวันจะยิ่งอ้วนท้วมสมบูรณ์ “อย่างที่ท่านยายว่าก็มิผิดเจ้าค่ะ อีกอย่างวันนี้พึ่งจะเป็นวันแรก ข้าได้รับแรงศรัทธามากถึงเพียงนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว” “ใช่แล้ว การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ ย่อมต้องใช้เวลา ชาวนาที่ปลูกข้าวยังต้องลงทุนลงแรงไปก่อน กว่าจะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตก็ใช้เวลานานหลายเดือน เจ้าทำได้เท่านี้ถือว่าเก่งมากแล้ว อีกอย่างเงินกว่าห้าสิบอีแปะ เราก็ใช้จ่ายได้หลายวัน” เหมาไป่ดึงลี่มี่เข้ามากอดปลอบ นางเข้าใจดีว่าหลานสาวคงกำลังรู้สึกผิดหวัง แต่ผู้ที่สำเร็จย่อมต้องเคยผิดหวังมาก่อน ถือว่าเรื่องครานี้เป็นเกราะเสริมกำลังให้หลานสาวของนางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น “พี่มี่เอ๋อร์ของน้องเก่งที่สุด” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ข้ายังคิดว่างานเช่นนี้มิเหมาะกับหมู่บ้านเล็กๆ ของเราสักเท่าไหร่นัก” “เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือ” “หมู่บ้านของเรามีผู้คนน้อยเกินไปเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคนที่มาดูชะตาชีวิตแล้วคราหนึ่งจะกลับมาดูอีกก็ต้องเว้นห่างไปหลายวัน หรืออาจจะเป็นเดือน ไม่แน่ว่าอาจมีคนที่คิดจะดูเพียงครั้งเดียว หากเรายังตั้งสำนักที่หมู่บ้านนี้ที่เดียว นานวันเข้า คงมิมีผู้มาดูชะตาชีวิตกับเราอีก” ลี่มี่คิดเรื่องนี้อยู่นาน นางคิดว่าเมื่อใดที่นางพ้นวัยปักปิ่น และสำนักแม่หมอแห่งซูโจวเป็นที่เล่าขานขึ้นมาบ้าง ยามนั้นนางจะขยับขยายไปที่อื่น “เช่นนั้นเจ้าคิดเห็นอย่างไรเล่า จะร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆ หรือ” “มิได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงคิดว่าหากไปตั้งสำนักในตัวเมืองซูโจว คงจะดีไม่น้อย เพราะในตัวเมืองเป็นทางผ่านของเหล่าพ่อค้าและนักเดินทาง ข้าจึงคิดว่าจะมีผู้ศรัทธาเข้ามาที่สำนักเรามิขาดสาย” “หากเจ้าคิดดีแล้ว ยายย่อมตามใจเจ้า แต่วันนี้เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด หากถึงเวลาอาหารเย็น ยายจะเรียก” เหมาไป่ไล่ให้หลานสาวเข้าไปนอนพักในห้องนอน ส่วนตนเองนั้นจะไปเก็บพืชผักมาทำอาหารเย็น “ท่านยาย น้องไปด้วยขอยับ” ลี่หมิงเมื่อเห็นว่าท่านยายจะออกไปหลังเรือนก็รีบตามไปด้วย เพราะมิอยากรบกวนเวลาพักของพี่สาว ลี่มี่ที่เข้ามานอนพักในห้องเพียงผู้เดียว ก็นึกย้อนไปตอนที่นำกำลังมองภาพนิมิตของชาวบ้าน มีสตรีอยู่ผู้หนึ่งเข้ามาหานาง และโพล่งถามออกมาว่าปิ่นที่สามีของนางมอบให้หาย นางจะมีทางได้กลับคืนมาหรือไม่ ในตอนนั้นลี่มี่กล่าวกับสตรีผู้นั้นว่า ตนเองมิสามารถระบุภาพนิมิตที่จะเห็นได้ ใช่ว่าอยากเห็นภาพนิมิตเกี่ยวกับเรื่องปิ่นแล้วจะเห็นเรื่องปิ่น เมื่อนางเอ่ยไปเช่นนั้นสตรีตรงหน้าก็เข้าใจดี ลี่มี่จึงได้ดูภาพนิมิตให้นางต่อ ทว่าภาพนิมิตที่ลี่มี่เห็นกลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับปิ่นที่หายไปจริงๆ “จะเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่นะ พรุ่งนี้คงต้องลองให้ชาวบ้านถามสิ่งที่อยากรู้ดู” นอนเล่นคิดเรื่อยเปื่อยไม่นาน ร่างเล็กก็เข้าสู่ห้วงนิทรา “เป็นอย่างไร เห็นข้าได้แต่งงานกับท่านพี่อู๋ท่งใช่หรือไม่” ลี่มี่ชักสีหน้าใส่ซูเม่ยอย่างรำคาญ หลังจากเริ่มตั้งสำนักมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ลี่มี่มิเคยพบผู้ศรัทธาที่น่ารำคาญเท่านี้มาก่อน เช้าวันนี้ซูเม่ยมายืนรอหน้าสำนักตั้งแต่เรือนสกุลเหมายังไม่เปิด เดิมทีลี่มี่มิคิดจะดูนิมิตให้คนสกุลชุน แต่เมื่อเห็นถุงเงินที่ซูเม่ยนำมาด้วย ลี่มี่ก็เปลี่ยนใจทันที เวลานี้ยังจะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องเงินอีกหรือ “ข้ามิเห็นว่าเจ้าจะได้ออกเรือน แต่เห็นพี่อู๋ท่งแต่งกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง มิเห็นหน้าตาชัด แต่รู้เพียงว่างดงาม” ลี่มี่แตะปลายนิ้วไปที่กลางฝ่ามือของซูเม่ย ในหัวพยายามเค้นภาพนิมิตให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ลี่มี่จึงหยุดเพียงเท่านั้น เพราะคงเป็นลิขิตสวรรค์ที่มิอยากให้นางรับรู้ “เจ้าดูผิดหรือไม่ คนผู้นั้นอาจจะเป็นข้า เจ้าดูอีกที” ซูเม่ยกล่าวเสียงแข็ง จะให้นางเชื่อว่าท่านพี่อู๋ท่งสนใจสตรีอื่นได้อย่างไร ในเมื่อท่านพี่อู๋ท่งมีท่าทางเอ็นดูนางถึงเพียงนั้น “เห้อออ วางเงิน” ซูเม่ยจำใจโยนเหรียญอีแปะใส่ในขัน ลี่มี่เห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะฝ่ามือของเด็กสาวตรงหน้าอีกครา หากเป็นผู้ศรัทธาท่านอื่น นางมิได้คิดเงินเพิ่ม แต่สำหรับคนสกุลชุนนั้น นางจะเรียกให้มากกว่าทุกคน หึ! เงินทองที่ท่านพ่อท่านแม่เคยหามาให้พวกเจ้า ข้าจะเก็บคืนจนหมด “เป็นอย่างไร เห็นหน้าข้าหรือไม่” “ข้ายืนยันคำเดิมว่าเจ้ามิได้ตบแต่งกับท่านพี่อู๋ท่ง” “ไม่จริง เจ้าโป้ปดข้า” “ข้ากล่าวไปตามภาพที่ข้าเห็น” “เหอะ แม่หมออันใดกัน ที่แท้ก็คาดเดาไปเรื่อยเปื่อย เห็นชัดเจนว่าท่านพี่อู๋ท่งยิ้มให้ข้าทุกเช้า ทั้งยังทักทายข้าทุกครั้งที่เดินผ่าน เขาต้องมีใจให้กับข้าแน่” ซูเม่ยอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเริ่มหงิกงอเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่เป็นดังหวัง “เขาก็ยิ้มให้ข้า” “ไม่จริง!!!” “จริง และมิได้มีเพียงข้าที่ได้รับรอยยิ้มของเขา ทุกคนในหมู่บ้านล้วนได้รับรอยยิ้มจากพี่อู๋ท่ง” “ไม่จริง” “ก็บอกว่าจริง!!! อ่อ…แล้วอย่าคิดว่าที่เขาอ่อนโยนกับเจ้า คอยช่วยเหลือเจ้านั้นเป็นการเกี้ยวเล่า พี่อู๋ท่งเขาเป็นเอกบุรุษที่ได้การสั่งสอนมาเป็นอย่างดี ย่อมรักหยกถนอมบุปผา หยุด! เพ้อ! ฝัน! เสีย! ที!” นิ้วชี้เรียวของลี่มี่จิ้มลงไปบนหน้าผากของหญิงตรงหน้าซ้ำๆ เมื่อก่อนนางอยากเตือนสติอีกฝ่ายอยู่หลายครา แต่หากนางเอ่ยเช่นนี้ออกไป ซูเม่ยย่อมนำเรื่องนี้ไปฟ้องท่านย่า และเป็นลี่มี่เองที่จะต้องถูกลงโทษ “ฮึก ข้าจะฟ้องท่านย่า จะให้ท่านย่า-” “จะทำสิ่งใดหรือ ข้ามิใช่คนสกุลชุนแล้ว หากท่านย่าของเจ้ากล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะนำเรื่องไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน ให้คนมาจับพวกเจ้าไปขังคุก” “ฮึ้ย!!! ฝากไว้ก่อนเถิด” ว่าแล้วซูเม่ยก็เดินทำหน้าปั้นปึ่งออกไป ยังดีที่อีกฝ่ายมาตั้งแต่เช้า จึงมิมีผู้ศรัทธาท่านอื่นมารอ มิฉะนั้นคนคงเล่าลือกันไปว่าแม่หมอกลั่นแกล้งผู้ศรัทธาจนร้องไห้โยเยกลับเรือน ตึ่ง! ตึ่ง! ตึ่ง! ซูเม่ยเดินกระทืบเท้าเข้ามาในเรือน ใบหน้าถมึงทึงทำท่าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “อันใดกันลูกแม่ เดินเหินเสียงดังเช่นนี้ ผู้คนจะว่าแม่มิได้สั่งได้สอน” ชุนเจียงเอ่ยดุบุตรสาวด้วยน้ำเสียงหวานตามแบบของนาง “ฮึก ท่านแม่เจ้าคะ นังลี่มี่มันเอ่ยว่าลูกจะมิได้ออกเรือน ทั้งยังเอ่ยว่าท่านพี่อู๋ท่งจะแต่งสตรีอื่นเข้ามาแทนลูก” ชุนเจียงเห็นบุตรสาวร่ำไห้ก็เข้ามากอดปลอบ “นังลี่มี่นี่อย่างไร เอ่ยแต่เรื่องเท็จ ลูกแม่งดงามถึงเพียงนี้อู๋ท่งจะแต่งผู้อื่นเข้ามาได้อย่างไร ลูกอย่าได้เชื่อนางนักเลย” “แต่ในนิมิตเป็นเช่นนั้น” “เจ้ารู้ได้อย่างไร ไม่แน่ว่าแท้จริงแล้วในภาพนิมิต ลูกอาจจะได้แต่งเป็นสะใภ้สกุลกวน แต่นังลี่มี่เกิดอิจฉาในวาสนาของลูกสาวแม่ นางจึงคิดโป้ปดให้เจ้าเสียกำลังใจ” ซูเม่ยได้ยินที่มารดาเอ่ยก็เอนเอียงไปเชื่อคำมารดา ลี่มี่ เจ้าคิดจะหลอกข้าหรือ ร้ายกาจเสียจริง! “ท่านแม่ต้องจัดการให้ลูกนะเจ้าคะ มันเอ่ยว่าลูกสารพัด ทั้งมันยังเอ่ยว่ามิกลัวพวกเราสกุลชุนอีกต่อไปแล้ว” “มันเอ่ยเช่นนั้นเลยหรือ! เจ้ามิต้องห่วงไป เรื่องนี้แม่พอจะมีแผนการอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย” สองแม่ลูกมองหน้ากันอย่างเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มและกิริยาที่อ่อนหวาน แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้หรอกหรือ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD