จุมพิตพิฆาต!

3624 Words
เดิมชมหิมะและดอกเหมยจนหนาวเสียเรียวปากซีดเผือดจ้าวเล่อเยียนก็เดินมาถึงเรือนใหญ่ที่เป็นจุดหมายของคนตัวเล็กตั้งแต่ต้น นางสูดลมหายใจเข้าท้องจนเต็มแล้วปล่อยออกที่ทำเช่นนั้นก็ เพราะเด็กสาวกำลังระลึกไปถึงความหลังว่าจ้าวเล่อเยียนในอดีตนั้นเคยกระทำตนเช่นไรกับมารดาของสามีผู้นี้บ้าง เพราะต่อให้นางจะยังคงความเป็นตัวตนเดิมให้ได้มากที่สุด ทว่าต้นไม้ใหญ่นั้นหักโค่นมาไม่น้อยเพราะไม่ยอมอ้อนน้อมลู่ไปตามทิศทางลมเฉกเช่นต้นหญ้าอ่อนฉันใด นางเข้าเมืองดวงตาหลิ่วมิหลิ่วดวงตาตามประเดี๋ยวจะอายุไม่ยืนเสียเปล่าจึงต้องรู้จักปรับตัว “อ้าวสะใภ้ใหญ่จ้าว” เป็นจิ่วฮุ่ยสาวใช้คนสนิทของเหล่าฮูหยินมู่หรงเดินออกมาเพื่อจะไปหยิบใบชาเอามาเติมให้แก่หลวนชิวเหนียงผู้เป็นนายใหญ่ของตนเองนางกลับพบเข้ากับสะใภ้ใหญ่ที่นางเองรู้จักจ้าวเล่อเยียนมาตั้งแต่เด็กสาวยังเพียงหกขวบปีจนบัดนี้อีกฝ่ายสิบเจ็ดปีเป็นสาวเต็มกายงดงามอ่อนหวานชวนเอ็นดูไม่มีเปลี่ยน “ท่านป้าจิ่วฮุ่ย…มิทราบว่าท่านแม่สามีนั้นนั่งอยู่ที่ระเบียงด้านทิศใต้เช่นเดิมหรือไม่เจ้าคะ?” นางทำความเคารพผู้มากวัยกว่าด้วยการนำสองมือไปวางเอาไว้ที่เอวด้านขวาจากนั้นจึงย่อหัวเข่าลงเล็กน้อยก้มศีรษะแต่พองามดูไม่เสียมารยาทและดูมิใช่ไม่รู้กาลเทศะจนจิ่วฮุ่ยที่มากวัยถึงห้าสิบปียิ่งมองก็ยิ่งชมชอบและคิดว่าสตรีสาวน้อยผู้นี้เหมาะสมที่สุดแล้วกับตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลมู่หรงแห่งนี้โดยเฉพาะกับคุณชายใหญ่มู่หรงด้วยแล้วสองคนนี้คือคู่สวรรค์ลิขิตเลยเชียวละ “เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่จ้าวคงจะมาร่วมดื่มน้ำชาในยามบ่ายกับเหล่าฮูหยินกระมังเจ้าคะ?” สายตาของสาวใช้สูงวัยเหลือบไปเห็นกล่องใส่ขนมดอกกุ้ยฮวาที่เหล่าฮูหยินมู่หรงนั้นชื่นชอบก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเด็กสาวซึ่งงดงามราวหยกถูกสลักจนยากจะหาข้อตำหนิมายืนส่งยิ้มหวานยังหน้าเรือนใหญ่เช่นนี้นั้นมีจุดประสงค์ใด “ท่านป้าจิ่วฮุ่ยกล่าวได้ถูกต้องแล้ววันนี้เล่อเยียนรู้สึกสบายดีอย่างยิ่งจึงอยากมาอ่านนวนิยายให้ท่านแม่สามีฟังในยามบ่ายเจ้าค่ะ” เพราะทุกยามบ่ายหากไม่มานั่งชมงิ้วที่เหล่าฮูหยินจ้างมาก็จะเป็นจ้าวเล่อเยียนที่อ่านนวนิยายหรือบทของงิ้วให้มารดาของสามีฟังอยู่เสมอนั่นเอง “เช่นนั้นเชิญที่เดิมเลยเจ้าค่ะประเดี๋ยวท่านป้าจิ่วจะนำชาดอกโม่ลี่ฮวาที่สะใภ้ใหญ่จ้าวชอบติดมาให้ด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้ข้างกายเหล่าฮูหยินมู่หรงนั้นทราบดีว่าสะใภ้ใหญ่แซ่จ้าวผู้นี้ชื่นชอบยิ่งนักกับน้ำชาดอกโม่ลี่ฮวาหรือไม่ก็จะเป็นดอกหอมหมื่นลี้จึงอยากเอาใจเด็กสาวสักหน่อย “ลำบากท่านป้าจิ่วแล้ว” วิธีการกล่าวขอบคุณผู้สูงวัยกว่าจ้าวเล่อเยียนเริ่มจดจำได้บ้างแล้วจึงเอ่ยมิติดขัดอันใดทั้งสิ้น ดังนั้นพอคล้อยหลังสาวใช้วัยดึกจ้าวเล่อเยียนก็ถึงกับระบายลมหายใจออกมาเสียงดังแล้วหันไปหาฟางหรูยักคิ้วหนึ่งข้างดังจะถามว่าที่นางทำไปเมื่อครู่นั้น’ โอเค’ ไหม ทว่าฟางหรูสาวใหญ่กลับไม่ทราบทำหน้าเป็นปลาสงสัยจ้าวเล่อเยียนจึงต้องเปิดปากถามออกไปเสียให้สิ้นความกันไป “เมื่อตะกี้นี้ข้าพูดถูกต้องโอเคหรือยัง ใช่ได้ไหมปกติดีแล้วหรือยัง อดีตข้าพูดและแสดงกับท่านป้าจิ่วเช่นนี้หรือไม่” “!!?” ฟางหรูถึงกับอ้าปากกว้างจนมีไข่เป็ดก็คงจับยัดเข้าไปได้ทั้งฟองเพราะแต่ละคำพูดที่’ คุณหนูรอง’ ของตนเองแต่ละคำฟังอย่างไรคนโง่เขลาเช่นนางก็ฟังไม่เข้าใจสักนิดเดียว “โอเคก็คือ…ตกลง…เมื่อครู่ข้ากล่าวได้ถูกต้องแสดงกิริยาได้งดงามแล้วหรือไม่...ตกลงว่าถูกต้องไหม?” เดือดร้อนให้คนข้ามภพข้ามชาติมาต้องแปลภาษาจีนให้เป็นจีนอีกครั้งกล่าวจบนางถึงกับมองบนไปหนึ่งรอบคล้ายปวดศีรษะรุนแรง “อ๋อ…โคเคเจ้าค่ะ...ถูกต้องดีทุกสิ่งเจ้าค่ะคุณหนูรอง” …เจริญละโอเคก็กลายเป็นโคเคยังดีไม่เป็นโคเคนนะไม่อย่างนั้นนางอาจจะติดคุกเอาได้กับภพใหม่แห่งนี้… “เอาละข้าขอโทษเป็นข้าที่สลบไปเสียหลายวันจึงเลอะเลือนไปเช่นนี้พี่ฟางหรูอย่าพยายามพูดจาประหลาดตามข้าเลยท่านเคยเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นเดิมเถิด” นางเองก็ลำบากอย่างยิ่งที่ต้องมาฝึกพูดจาภาษาของเทียนสุ่ยจึงเข้าใจดีว่าฟางหรูเองก็คงย่อมลำบากใจและลำบากลิ้นเช่นกันที่ต้องมาพูดจาภาษาจีนสำเนียงไทยปนอังกฤษเช่นนี้แล้วนางก็พยายามจะท่องไว้ใจว่า'ใจเขาใจเรานะ'นางพันซ์เอ๊ย “อ้าวเยียนเอ๋อร์” พอจนกำลังตัดแต่งต้นไม้พุ่มในกระถ่างอยู่หันมาเจอสะใภ้คนโปรดก็ร้องทักขึ้นด้วยน้ำเสียงรวมไปถึงสีหน้าอันแสนจะสดใสทันที “ท่านแม่สามีสะใภ้ใหญ่นำขนมดอกกุ้ยฮวามาให้ท่านแม่สามีทานคู่กับน้ำชายามบ่ายเจ้าค่ะ” กิริยางดงามน้ำเสียงอ่อนหวานกับขนมดอกกุ้ยฮวากลิ่นหอมคุ้นเคยกลับทำให้หลวนชิวเหนียงแทบจะนึกภาพเด็กสาวที่ลุกขึ้นมาเอาน้ำมนต์เอยดาบไม้เอยไล่ทุบตีหลวงจีนปลอมเหล่านั้นไม่ออกจริงๆ แต่คิดให้ดีจ้าวเล่อเยียนเป็นบุตรสาวแม่ทัพผู้หนึ่งจะมีมุมห้าวหาญที่นางกับสามีจะไม่เคยเห็นไปบ้างย่อมไม่แปลกอันใด “หืม? ...เยียนเอ๋อร์อยากไปตลาด” ผ่านมาร่วมจะสองเดือนสะใภ้ใหญ่ของนางจะออกจากจวนครึ่งก้าวยังไม่เคย ทว่าสลบไปสามวันตื่นขึ้นมาจ้าวเล่อเยียนกลับดูเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือถึงกับมาขออนุญาตนางนั้นไปชมตลาดของเทียนสุ่ยเช่นนี้ช่างแปลกยิ่งนัก “เจ้าค่ะท่านแม่สามีเยียนเอ๋อร์อยากไปซื้อพวกเครื่องหอมกับผ้ามาตัดเสื้อผ้าชุดใหม่บ้างมิทราบว่าท่านแม่จะขัดข้องหรือไม่” นางกล่าวอ่อนน้อมระมัดระวังเพราะเช่นไรนางก็เป็นสะใภ้ต่อให้อีกฝ่ายจะรักและเอ็นดูนางมากเพียงใดก็ตามแต่สังคมแห่งนี้คนออกเรือนแล้วที่ต้องเคารพยิ่งกว่าสามีก็บิดาและมารดาของสามีนั่นเอง ดังนั้นวันนี้หากคิดจะออกไปท่องเที่ยวดูโลกภายนอกนางจะต้อง’ โปรยเสน่ห์’ กันอย่างถึงแก่นเลยทีเดียว “จะไปขัดข้องอันใดเล่าเจ้าเด็กผู้นี้นี่ เจ้าอยากออกไปซื้อข้าวของนี่มันเรื่องปกติของสตรีทั่วไปอยากไปวันใดก็ไปแจ้งแก่ฮ่าวเฉินเขาเสียก่อนก็แล้วกัน” …เฮ้อ!… นางลืมไปได้เช่นไรว่าสถานที่แห่งนี้มันบุรุษเป็นใหญ่ก่อนแต่งงานเชื่อฟังบิดาและพี่ชายพอออกเรือนแต่งงานแล้วทั้งชีวิตต้องยกให้แก่ผู้เป็นสามีพอสามีตายจากก็ยังต้องยกชีวิตที่เหลือให้แก่บุตรชายต่อไปอกอีพันซ์จะแหก! “เจ้าค่ะท่านแม่สามี” จะให้นางกล่าวอันใดไปได้มากกว่านั้นอีกในเมื่อมารดาสามีเอ่ยบอกเช่นนั้นจึงเป็นอันว่าเย็นนั้นนางจึงต้องไปยืนรอ’ ท่านพี่ฮ่าวเฉิน’ กลับจากกรมอาญาอย่างที่จ้าวเล่อเยียนในอดีตมิเคยทำมาก่อนเลยตลอดสองเดือน ดังนั้นพอรถม้าคันโตมาหยุดนิ่งไล่เรียงกันถึงสามคันก็ทำเอาบุรุษทั้งสามที่ก้าวลงจากรถม้ามาในเวลาใกล้เคียงกันถึงกับอึ้งตื่นตะลึงไปทุกผู้ “เล่อเยียนคารวะท่านพ่อสามี คารวะท่านพี่ฮ่าวเฉิน ท่านพี่ฮ่าวหรานเจ้าค่ะ” กิริยาย่อกายนอบน้อมกับน้ำเสียงอ่อนหวานพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มละไมหวานหยดย้อยอย่าได้กล่าวแค่เพียงบุรุษเจ้าชู้เช่นมู่หรงฮ่าวหรานที่ดวงใจเต้นผิดจังหวะเพราะแม้แต่คนเย็นชาที่สุดในจวนเช่นมู่หรงฮ่าวเฉินยังถึงกับจับจ้องโดยลืมหายใจไปชั่วขณะหนึ่งไปเลยทีเดียว “อะแฮ่ม…เยียนเอ๋อร์คงออกมารอรับพี่ฮ่าวเฉินกระมัง” เป็นท่านผู้เฒ่ามู่หรงคนพ่อที่ดึงกิริยากับมาได้ก่อนเลยเอ่ยทักถามสะใภ้ใหญ่ออกไปด้วยใจเมตตาและเอ็นดูที่มีมานานปี “ท่านพ่อสามีกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ พี่ฮ่าวเฉินอากาศเย็นนักน้ำขิงเจ้าค่ะ” คนตัวเล็กหันไปรับถ้วยน้ำขิงที่ยังคงอุ่นอยู่ให้แก่’ พี่ฮ่าวเฉิน’ ด้วยมือของนางเองส่วนของบิดาสามีกับน้องสามีนางก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสาวใช้ทั้งหลายไปแทนเป็นการแสดงออกทางกิริยาว่านางใส่ใจในตัวของสามีเพียงใด แล้วเป็นการ'ใส่ใจจริงจัง'มิได้เสแสร้งแม้แต่น้อย “วันนี้เล่อเยียนทำอาหารไว้หลายอย่างมิทราบว่าพี่ฮ่าวเฉินพอจะแวะไปร่วมมื้อค่ำที่เรือนแสงจันทร์ได้หรือไม่เจ้าค่ะ” …แค่ก…แค่ก…แค่ก… คราวนี้เป็นมู่หรงฮ่าวหรานที่เพิ่งดื่มน้ำขิงยังมิทันหมดถ้วยแล้วหูดันไปได้ยินวาจาอ่อนหวานของจ้าวเล่อเยียนที่ปกติร่วมสองเดือนที่ผ่านมาพูดจากับพี่ชายของเขาอาจนับคำได้หมดว่ากี่คำบัดนี้กลับมายืนยิ้มหวานรอรับสามีกลับจวนไม่พอนางยังถึงขนาดเอ่ยปากชวนผู้เป็นพี่ชายของเขาที่อดีตนางกลัวอีกฝ่ายยิ่งกว่าอะไรก็สำลักไอออกมาหน้าดำหน้าแดงเพราะเกินจะคาดนั่นเอง “ได้สิเจ้าไปรอที่เรือนเถิดข้าขอกลับเรือนไปอาบน้ำสักครู่” การที่ฮูหยินมายืนรอรับกันถึงหน้าจวนใหญ่ไม่พอนางยังยกน้ำร้อนน้ำชาและมีผ้าที่นึ่งมาจนอุ่นและกลิ่นหอมสะอาดมาให้เขาเช็ดหน้าเช็ดตาอย่างภรรยาที่ดีถึงเพียงนี้ต่อให้เขาเป็นบุรุษแข็งกร้าวและเย็นชา ทว่านางอ่อนน้อมเข้ามาหาสามีเขาย่อมมิอาจหักหน้าผู้เป็นภรรยาหรือฮูหยินเอกไปได้ ซึ่งคำตอบดังกล่าวทำเอาอนุภรรยาทั้งสามของมู่หรงฮ่าวเฉินที่มายืนหลบมุมแอบดูและแอบฟังต่างก็โกรธเคืองจ้าวเล่อเยียนกันไปถ้วนหน้า เพราะพวกนางเอาแต่เฝ้ารอท่านใต้เท้ารองเจ้ากรมอาญามาร่วมเดือนจนนาผืนน้อยแห้งแล้งกันถ้วนหน้าคุณชายใหญ่กลับมิเคยไปเยือนเรือนด้านหลังของพวกนางบ้างเลย ทว่าวันนี้พอนางฮูหยินเอกจ้าวเล่อเยียนมายืนเสนอหน้าแล้วออกมาชักชวนคุณชายใหญ่กลับรับปากรับคำมันอย่างดี …ประเดี๋ยวเถอะ!… ได้เจอฤทธิ์เดชของอนุภรรยาทั้งสามเช่นพวกนางแน่ ทว่าในยามนี้ขอพวกนางไปสุมศีรษะปรึกษาหารือกันก่อนว่าจะแก้ลำกลับนางฮูหยินเอกเช่นไรดีโดยพวกนางทั้งสามคงหลงลืมไปแล้วว่าที่ไปสู่ขอและแต่งพวกนางเข้ามาดีต่อพวกนางแบ่งสันปันส่วนเงินทองรายเดือนให้ใช้มิได้ขาดมือกินดีอยู่สบายก็ล้วนเป็น’ ฮูหยินเอก’ นางจ้าวซือตัวน้อยผู้นั้นทั้งสิ้น! “คุณหนูยังไม่เร่งอาบน้ำหรือเจ้าคะ?” เป็นฟางหรูที่เข้ามาทักสอบถามเมื่อยังเห็นว่าจ้าวเล่อเยียนยังสนใจจัดดอกไม้ตกแต่งโต๊ะกินข้าวมื้อเย็นโดยมิเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่และใส่เครื่องหอมเตรียมตัวรอรับ’ คุณชายใหญ่’ เสียที “อากาศหนาวเช่นนี้เนี่ยนะ?” หนาวจนเครื่องในจะแข็งแต่แม่สาวใช้คนดีก็จะจับนางไปอาบน้ำ…ใจคออำมหิตเกินสาวใช้ไปแล้วจริงๆ จ้าวเล่อเยียนคิดไม่พอยังมองออกฝ่ายด้วยสายตากล่าวหาฟางหรูเต็มที่ “คุณหนูไปห้องครัวมาปรุงอาหารตั้งหลายอย่างกลิ่นติดทั้งอาภรณ์และเส้นผมหากสตรีเราจะออดอ้อนสามีจะต้องมีร่างกายที่หอมหวนเย้ายวนด้วยนะเจ้าค่ะมิใช่เพียงแค่ฝีมือปรุงอาหารเป็นเลิศห้องหอสะอาดสะอ้านเท่านั้น” …หือ? … ที่ฟางหรูกล่าวมาก็มีเหตุผลเช่นกันแต่ก็นะ…มันหนาวเหน็บจนปลายนิ้วแข็งเช่นนี้…แต่พอนึกไปถึงว่าหากมู่หรงฮ่าวเฉินมาเจอสภาพนางทั้งตัวและผมมีแต่กลิ่นอาหารและเครื่องปรุงมากมายในห้องครัวใหญ่แล้วเขาเร่งกินเร่งกลับไปหาพวกอนุภรรยาตัวหอมเย้ายวนใจที่รอคอยถึงสามนางแผนที่นางวางเอาไว้ย่อมสลายเหนื่อยฟรีไปหมด นางจึงจำยอมไปห้องอาบน้ำซึ่งเอาเข้าจริง น้ำอุ่นกับกลิ่นสมุนไพรและเครื่องหอมของคนโบราณนี่ก็ดีใช่น้อยนางอาบและขัดถูอย่างเพลิดเพลินลืมความหนาวเย็นไปเลยจึงถูกเสี่ยวชุ่ยมาเร่งว่าอาหารมาพร้อมกับตัวของสามีกำมะลอของนางแล้วจ้าวเล่อเยียนจึงจำใจต้องปีนขึ้นจากถังอาบน้ำไปแต่งกายจนเรียบร้อยและออกไปหาสามีกำมะลอที่เขานั่งทะมึนรออยู่ที่โต๊ะอาหารเสียแล้ว “เล่อเยียนขออภัยที่ปล่อยให้พี่ฮ่าวเฉินรอนะเจ้าค่ะ” กายบอบบางโค้งกายลงศีรษะแทบจะโขกพื้น ทว่ามู่หรงฮ่าวเฉินเขาเพียงพยักหน้าว่า’ ไม่เป็นไร’ ให้เห็นเพียงแผ่วเบาเท่านั้นแล้วจึงมองไปที่เก้าอี้ตัวที่ว่างตรงกันข้ามอย่างจะบอกกันผ่านสายตาว่าให้นางนั้นไปนั่งได้แล้วจะได้เริ่มมื้อค่ำให้เสร็จเขาจะได้รีบกลับเรือนของตนเองไปเสีย นี่ขนาดนางมีภูมิคุ้มกันความเยือกเย็นมาไม่ธรรมดายังอดจะหนาวสะท้านกับสายตากับใบหน้าของสามีกำมะลอเสียมิได้แต่หน้าด้านหน้าทนเช่น’ คุณหนูพันซ์’ มีหรือจะหวั่นไหวอยู่ได้นานสุดท้ายนางก็ดึงสติกลับมาชี้ชวนอีกฝ่ายพูดคุยโดยแนะนำเมนูอาหารบนโต๊ะกินข้าวซึ่งก็เช่นเดิม นางย่อมพูดมันอยู่ผู้เดียวส่วนอีกฝ่ายเขาก็เพียงคีบอาหารเข้าปากพร้อมยกถ้วยพุ้ยข้าวตามเข้าปากไปอย่างเงียบเชียบ …แข็งกว่าศิลาก็สามีกำมะลอของนางนี่แหละ!… “เอ่อ…ใยพี่ฮ่าวเฉินจึงไม่ตอบเล่อเยียนแม้เพียงครึ่งคำหรือเจ้าค่ะว่าอร่อยหรือไม่?” สุดท้ายคนที่นั่งพูดอยู่คนเดียวจนน้ำลายจะแห้งมหาสมุทรก็อดลนทนไม่ไหวต้องเอ่ยถามอีกฝ่ายออกไปอย่างตรงไปตรงมาเพราะคงมีเพียงเท่านี้จึงจะสามารถง้างปาก’ พ่อก้อนศิลายักษ์’ ตรงหน้าของนางได้แล้วละ “ในยามกินอาหารข้าไม่ชอบพูดปาก เคี้ยวอาหารอยู่ปากไม่ว่างจึงไม่ตอบ” “…” นางอยากกระโดดถีบอีกฝ่ายด้วยขาคู่มากมาย ทว่าก็จำใจต้องปั้นหน้ายิ้มหวานหยาดเยิ้มเอาอกเอาใจ’ ไอ้ก้อนศิลายักษ์’ ต่อไปไร้ร่องรอยไม่พึงใจออกมาให้อีกฝ่ายเห็นแม้แต่น้อย …ท่องไว้นะแก…ตลาดกับตั๋วเงิน… จนผ่านไปครู่ใหญ่อาหารมื้อค่ำมื้อแรกระหร่างคู่สามีภรรยากำมะลอก็จบสิ้นลง ทั้งสองจึงย้ายที่ไปนั่งชมแสงจันทร์เพ็ญที่ส่องสว่างไหวสะท้อนเงากับก้อนหิมะบังเกิดแสงแวววาวงดงามจับตาไปอีกอย่างต่างจากในยามกลางวัน “เจ้ามีสิ่งใดอยากจะกล่าวก็กล่าวมาเถิดข้ายังมีงานรออยู่อีกมากมีหลายคดีต้องเร่งอ่านสำนวนให้กระจ่าง” ‘พ่อก้อนศิลายักษ์’ เริ่มเปิดประเด็นตั้งแต่น้ำชาดอกเหมยกุ้ยหมดไปในถ้วยแรก มือเรียวที่ขยับจานซึ่งนางปอกผลแอปเปิลและแช่น้ำเกลือเล็กน้อยกันมิให้ผิวของมันดำในยามถูกสายลมพลันชะงักงันไปแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอขยับไปวางตรงหน้าอีกฝ่ายนิ่งนางจึงใช้ไม้แหลมจิ้มแล้วส่งไปป้อนให้เขาถึงปาก ทั้งกิริยาแววตาหรือกลิ่นกายของจ้าวเล่อเยียนในวันนี้ ตัวของนางจะทราบหรือไม่ว่าสามารถทำให้’ พ่อก้อนศิลายักษ์’ เสียกิริยาเสียอาการไปนับสิบครั้งได้แล้วนับจากก้าวมาเยือนเรือนแสงจันทร์แห่งนี้หากนับรวมวันเข้าหอที่เขาเหยียบอยู่ไม่ถึงสองเค่อนี้ก็นับได้ว่าเป็นครั้งที่สี่ และช่างเป็นครั้งที่เขาเริ่มจะไม่ชอบใจตนเองอย่างยิ่งที่ไม่ว่าจ้าวเล่อเยียนนั้นจะขยับทำสิ่งใดหัวใจเจ้ากรรมก็ดันมาเต้นเร็วแรงเกินไปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาตลอดยี่สิบห้าปีที่ผ่านวัยหนุ่มมาเลย “คือ…พรุ่งนี้เล่อเยียนอยากจะขออนุญาตพี่ฮ่าวเฉินไปซื้อผ้าตัดเสื้อที่ตลาดเจ้าค่ะ” ที่แท้ตั้งแต่ยามเย็นจนใกล้ดึกที่นางเฝ้าเอาอกเอาใจเขาอย่างดีก็เพียงต้องการจะไปตลาดหรอกหรือ? ดวงใจที่ในคราวแรกยังเต้นแรงจนน่าตระหนกบัดนี้กลับมาเต้นเนิบช้าได้เช่นเดิมเพราะเพิ่งแจ้งแก่ใจว่านางทำไปก็เพียงหวังผลนี่คิดไปตลาดก็มิใช่จะไปแอบมองน้องชายเขาอีกกระมังเพราะบัดนี้ในจวนก็มีสะใภ้รองมาขวางทางเสียแล้วนางคงยากจะแอบมองอีกฝ่ายได้เช่นในอดีตอีกต่อไป “อยากไปก็ไปมิเห็นจำเป็นต้องมาบอกกล่าวแก่ข้า!” …ตุ๊บ… ชิ้นแอปเปิลที่กำลังถูกส่งมาป้อนถึงปากถูกมือแกร่งปัดจนมันกระเด็นกระดอนลงไปนอนอยู่บนพื้นและเพียงอึดใจเดียวเท้าแกร่งก็เหยียบซ้ำแล้วก้าวเท้าเดินจากไปไม่เอ่ยปากลากันสักคำ ทว่าพอได้สติจ้าวเล่อเยียนนึกได้ว่าตนเองยังมิทันได้ขอตั๋วเงินจาก’ ท่านพี่ฮ่าวเฉิน’ นางก็ถลกชายกระโปรงยาวรุ่มร่ามแล้ววิ่งซอยเท้าเร็วจี๋จนไปทันกายสูงใหญ่ที่ด้านหน้าเรือนพอดี “ท่านพี่ฮ่าวเฉิน!!!” “!!!” ฝ่ายของมู่หรงฮ่าวเฉินเองถึงกับสะดุดปลายเท้าตนเองจนแทบล้มหน้าคว่ำลงไปตรงชานพักเรือนเพราะนับจากรู้จักจ้าวเล่อเยียนมาถึงสิบเจ็ดปีเสียงดังเขาจำได้ว่าแทบไม่เคยได้ยินจากเรียวปากสีระเรื่อน่าจุมพิตของนาง ยิ่งกิริยาวิ่งตึงตังโดยลืมมารยาทของคุณหนูตระกูลใหญ่เช่นนี้เขายิ่งไม่เคยพบเคยเห็นจึงยืนอึ้งตกตะลึงเปิดโอกาสให้กายเล็กพุ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเขาเสียก่อนจะทันได้ก้าวจากเรือนไป “เล่อเยียนขอตั๋วเงินเจ้าค่ะ!…จะไปซื้อผ้าต้องใช้ตั๋วเงิน” นางกล่าวไปพลางก็หอบสะท้านจนหน้าอกหน้าใจที่อยู่ในชุดอาภรณ์คอเปิดกว้างนั้นสะท้อนขึ้นลงมากระแทกดวงตาของท่านรองเจ้ากรมอาญาเข้าเต็มเปาลำคอแกร่งพลันแห้งเหือดจนต้องเผลอกระแอมออกมาสองถึงสามครั้งยังดีว่าหน้าเรือนนี้มีเพียงแสงจันทร์สาดส่องหาไม่จ้าวเล่อเยียนนั้นคงได้เห็น’ พ่อก้อนศิลายักษ์’ หน้าแดงใบหูแดงแล้วเป็นแน่ “หากจำไม่ผิดสกุลหลวนที่ฮ่าวหรานดูแลอยู่ก็มีร้านขายผ้าหากเจ้าต้องการจะซื้อผ้าดีผ้าราคาเพียงใดมิต้องจ่ายสักอีแปะเดียวเพราะเจ้าคือสะใภ้ใหญ่” …เฮ้ย!… “แต่หากเล่อเยียนอยากซื้อของที่มิใช่ของสกุลหลวนเล่าเจ้าค่ะ?” เรื่องเงินทองจะมาบิดมาเบี้ยวกันไม่ได้เชียวนะนางเหนื่อยไปตั้งมากได้ไปตลาดยังไงนางก็จะไม่ยอมพลาด’ รีดไถ’ ตั๋วเงินจากสามีหรอกนะถึงจะเป็นสามีภรรยากำมะลอกันก็เถอะแต่ตั๋วเงินนางต้องได้!!! “คืนนี้ไม่มี…ไม่ได้พกมาพรุ่งนี้ให้ฟางหรูไปเอาที่เรือนของข้า” …กรี๊ด!…สำเร็จ!!!… “จุ๊บๆ …พี่ฮ่าวเฉินน่าร๊ากกกก…ขอบคุณนะเจ้าค่ะ” “!!!” “!!!” กายกำยำของคนถูกขโมยจุมพิตที่แก้มไปทั้งสองข้างถึงกับยืนนิ่งค้างปล่อยให้จ้าวเล่อเยียนวิ่งตึงตังกลับเข้าไปภายในและสาวใช้ของนางเดินออกมาเตรียมจะปิดประตูแล้วหมิงเซินเห็นผู้เป็นนายของเขายังนิ่งอึ้งอยู่ต้องสะกิดเตือนจนสติของรองท่านเจ้ากรมอาญาลอยกลับเข้าร่างเขาจึงได้หันหน้าเดินกลับเรือนนอนของตนเองแต่เดินไปดูท่าสติคงยังมาไม่ครบเท่าไหร่อีกฝ่ายจึงเดินชนประตูเรือนเสียงดังโป๊กสนั่นจนเรือนสะท้านทำเอาคนที่มาแอบมองเองยังสะดุ้ง “ถูกภรรยาจุมพิตไปสองครั้งพี่ใหญ่ถึงกับขาดสติได้ถึงเพียงนั้นเชียว?”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD