บทที่ 3
สามีได้โปรดอ่อนโยน
ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
กะ...กลัว!
จู่ๆ หัวใจเจ้ากรรมก็เต้นแรงด้วยความหวาดหวั่น ขาที่ยกชันและอ้าค้างเอาไว้ถึงกับสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
นั่นเพราะความทรงจำในชาติก่อนหวนคืนมา ความเจ็บปวดจากการสอดใส่โดยปราศจากการเล้าโลม แม้ว่าแม่นมจะชโลมน้ำมันลงบนเครื่องเพศจนชุ่มฉ่ำแต่นั่นก็หาได้ช่วยคลายความเจ็บปวดไม่
ความเจ็บปวดเทียบได้กับการถูกขืนใจไม่ผิดเพี้ยน และเพราะการร่วมสังวาสในครั้งนั้นทำให้นางหวาดกลัวการหลับนอนกับบุรุษ ชาติก่อนแม่นมพยายามหา ‘ชายยาใจ’ มาให้นางคนแล้วคนเล่าเพื่อบำบัดความใคร่ แต่นางกลับหวาดกลัวบุรุษเหล่านั้นจนตัวสั่น
ท้ายที่สุดนางก็ไม่เคยหลับนอนกับใครอีกเลยนอกจากสามี ซึ่งเคยหลับนอนด้วยกันเพียงครั้งเดียวและเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต
เป็นดั่งบาดแผลที่ตราประทับอยู่ในหัวใจไม่ยอมลืมเลือน
‘ข้าต้องเปลี่ยนแปลง ข้าจะไม่ยอมให้ความเจ็บปวดเหล่านั้นมาทำให้ชีวิตของข้าต้องทุกข์ทรมาน ตะ...แต่ว่า แล้วข้าต้องทำอย่างไรเล่า ในเมื่อข้าอ่อนประสบการณ์เรื่องเพศเหลือเกิน’
ในขณะที่หัวสมองกำลังวิ่งวุ่น โสตประสาทตื่นตัวด้วยความหวาดหวั่น ยิ่งเมื่อรับรู้ได้ว่าสามีกำลังถอดกางเกงอยู่กลางห้องก่อนจะย่างเท้ามาถึงปลายเตียง
ปลายเตียงยวบลงตามน้ำหนักของคนตัวโตทำให้ไป๋หลันถึงกับตัวสั่น
‘ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง!’
หัวใจเต้นแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ นางรับรู้ได้ว่าเขากำลังใช้ฝ่ามือชักแท่งหยกของตนเองเพื่อให้มันแข็งตัว แล้วอีกไม่นานเขาจะสอดใส่มันเข้ามา
ชาติก่อนด้วยความเจ็บทำให้นางพ่นคำหยาบคายด่าทอเขา และนั่นยิ่งทำให้เขากระแทกกระทั้นอย่างแรง เร่งให้หลั่งเร็วที่สุดเพื่อที่จะออกไปจากห้องนี้
“สะ...สามี อะ...เอ่อคุณชายจ้าว”
ในที่สุดไป๋หลันก็เอื้อนเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกำลังจะร้องไห้อยู่ในที ซึ่งนั่นทำให้มือเรียวที่กำลังถอกแท่งหยกใหญ่ยาวของตนถึงกับสะดุดกึก คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความแปลกใจเพราะปกติแล้วภรรยาชั่วของเขามักพูดจาหยาบกระด้างไม่น่าฟัง ทำหน้าบึ้งตึงราวกับยักษ์ อีกทั้งยังจ้องเขม็งมองเขาด้วยความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง
“ดะ...ได้โปรดอ่อนโยนกับข้าด้วยเจ้าค่ะ”
เสียงที่คล้ายจะร้องไห้ทำให้หัวใจของคนตัวโตอ่อนยวบ เขาไม่ได้ตอบรับหรือเอื้อนเอ่ยคำใดออกไปนั่นเพราะกำลังงุนงงและสับสน
การแต่งงานที่ปราศจากความรัก นั่นเพราะจู่ๆ ตระกูลเกอก็ทวงถามถึงการหมั้นหมายที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน สัญญาหมั้นที่มีตราประทับของบิดาและมารดาผู้ล่วงลับทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธ อีกทั้งเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลจ้าวต่างก็เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานในครั้งนี้
นั่นเพราะมารดาของเขาและมารดาของภรรยาเป็นสหายรักร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ซีฮั่นเป็นบุตรเพียงคนเดียวจึงยอมทำตามเจตนารมณ์ของมารดาผู้ล่วงลับโดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า...
การแต่งงานนี้จะทำให้เขารู้สึกราวกับตกนรกทั้งเป็น
สามปีที่ ‘เกอไป๋หลัน’ แต่งงานเข้าสกุลจ้าว นางวางอำนาจ พูดจาจองหองหยิ่งผยอง เฆี่ยนตีบ่าวไพร่อย่างโหดร้ายทารุณ อีกทั้งยังใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เกียจคร้านไม่เคยหยิบจับงานใดๆ
แล้วเหตุใดจู่ๆ นางจึงพูดจาน่าสงสารเช่นนี้เล่า!
จ้าวซีฮั่นงุนงงไม่น้อย ลำคอแห้งผากเมื่อมองไปยังความอวบอูมแห่งอิสตรีที่กำลังอ้ากว้างเพื่อให้เขาเติมเต็มและฉีดสายน้ำชาติพันธุ์เข้าไปเพื่อก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิต
ขะ...เขาไม่เคยเห็นบุปผาแห่งอิสตรีมาก่อน ไม่รู้เลยว่ามันจะอวบอูมและมีสีชมพูระเรื่อเช่นนี้ ในเมื่อนางอ้อนวอนให้เขาอ่อนโยน เขาก็ควรจะเมตตานางมิใช่หรือ
คิดเช่นนั้นเขาก็ใช้นิ้วมือสัมผัสลงบนกลีบบุปผาแผ่วเบา ได้ผลนางสะดุ้งน้อยๆ จนขาที่อ้ากว้างหุบเข้ามากว่าครึ่ง
จ้าวซีฮั่นนั้นไม่เคยมีประสบการณ์กับสตรีมาก่อน ที่ผ่านมาเขาปลดปล่อยกำหนัดผ่านฝ่ามือของตนเองมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เคยอ่านตำราปกขาว และรู้ว่าการร่วมสังวาสที่ดีนั้นต้องเล้าโลมจนกว่าสตรีจะพร้อม ซึ่งการจะดูว่านางพร้อมหรือไม่นั้นให้ดูว่านางขับน้ำใสๆ ออกมาจากรูแคบชื้นมากเพียงใด
ยิ่งสตรีขับน้ำใสๆ ออกมามากเท่าไหร่ ก็แสดงว่านางกำลังเสียวและตื่นตัวพร้อมสำหรับการสอดใส่จากบุรุษเพศนั่นเอง
เขาค่อยๆ ใช้นิ้วถูไถผ่านร่องบุปผาอวบอูม แหวกกลีบบุปผาทั้งสองกลีบออกแล้วใช้นิ้วโป้งบี้บดลงไปยังเมล็ดสวาทสีชมพูระเรื่อ
‘อะ...อืม มะ...มันนุ่มลื่นและชื้นแฉะให้ความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาดใจเหลือเกิน’
“อะ...อื้อ”
คนตัวโตถึงกับหัวใจกระตุกแรงเมื่อได้ยินเสียงร้องครวญออกมาจากหลังผ้าม่าน เขารับรู้ได้ว่าเรียวขาของนางกำลังสั่นระริก เรือนกายของนางกำลังกระสับกระส่าย และบริเวณปากทางบุปผาเริ่มมีหยาดน้ำใสๆ ซึมออกมา
ตึก! ตึก! ตึก!
จ้าวซีฮั่นตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของภรรยาเป็นไปตามตำราปกขาวไม่ผิดเพี้ยน เขาเองก็ยังเด็กนักหากเทียบกับชายหนุ่มทั่วไปที่ออกเรือน ด้วยมีอายุเพียงสิบเก้าปีก็ต้องทำหน้าที่ผู้นำตระกูลหุ่นเชิด อีกทั้งยังถูกเหล่าผู้อาวุโสบีบบังคับให้มีทายาทโดยเร็วที่สุด
ใช้ชีวิตดั่งคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ดั่งใจเลยแม้แต่อย่างเดียว
คิดพลางใช้นิ้วบดคลึงเมล็ดสีชมพูนุ่มนิ่ม ยิ่งขยี้ก็ยิ่งมีน้ำไหลเยิ้มออกมาเปรอะเปื้อนนิ้วมือของเขาจนเปียกชุ่ม
“อะ...อึก”
ฉายชัดว่าคนที่นอนอยู่หลังม่านพยายามกลั้นเสียงครวญครางเอาไว้อย่างสุดกำลัง และนั่นทำให้จ้าวซีฮั่นถึงกับเผลอหยักยิ้มที่มุมปากราวกับพึงใจกับปฏิกิริยาที่นางตอบสนองต่อสัมผัสของเขา
“ร้องออกมาเถอะ ข้าจะได้รู้ว่าข้าอ่อนโยนต่อเจ้าเพียงพอแล้วหรือไม่”
ไป๋หลันใบหน้าแดงก่ำ มือเล็กสั่นเทิ้มกำลังอุดปากตัวเองเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียง เมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนั้นนางจึงปล่อยมือออก แปรเปลี่ยนเป็นจิกทึ้งฟูกนอนจนยับยู่ หอบหายใจแรงจนทรวงอกกระเพื่อมไหวส่งผลให้ผ้าแพรผืนบางที่ปิดบังเรือนกายส่วนบนเอาไว้ค่อยๆ เลื่อนหลุดออกโดยไม่รู้ตัว
“อะ...อื้อ อื้อ”
หญิงสาวครางเสียงระทวย ไม่คิดไม่ฝันว่าการถูกนิ้วสัมผัสจะทำให้ซ่านเสียวจนแทบพูดไม่เป็นภาษาเช่นนี้ ยิ่งเขาบดคลึงมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งบิดเกร็งซ่านสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย
“สะ...สามี อะ...อื้อ”
ไป๋หลันครวญเรียกเขาเสียงหลงเมื่อเขาบดขยี้รัวเร็วขึ้นจนร่างกายของนางบิดเกร็งกระตุกแรง ไหล่บางห่องุ้มเข้าหากัน สองขาที่อ้าออกหุบแน่นเบียดชิด รับรู้ได้ถึงแรงกระตุกรึงรัดจากภายในร่างกาย ก่อนที่เลือดทุกหยาดหยดจะสูบฉีดอย่างรุนแรงจนร่างกายเห่อร้อนราวกับถูกเปลวเพลิงแห่งกามาแผดเผาจนมอดไหม้
“อะ...ฮึก อาห์”
นะ...นี่สินะที่เรียกว่าการถึง ‘จุดสุดยอด’ ในชาติก่อนนางไม่เคยรู้จักความรู้สึกที่สร้างความหฤหรรษ์เช่นนี้มาก่อนเลย ไม่รู้เลยว่าเพียงปลายนิ้วของบุรุษจะนำพาความรื่นรมย์มาให้ได้มากมายเพียงนี้
คนหลังม่านเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ยิ่งเห็นว่านางกระตุกเกร็ง เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านางเพิ่งจะสุขสมด้วยฝีมือของเขา ยิ่งเห็นว่าภายในรูแคบชื้นกระตุกคล้ายตอดรัด แท่งหยกของเขาก็ชูผงาดแข็งขึงโดยไม่ต้องพึ่งพาฝ่ามืออีกต่อไป