เจ้าของรูปร่างสูงร้อยเจ็ดสิบเก้า ใบหน้าขาวราวสตรี ตรงเสื้อเชิ้ตสีขาวมีคราบสีแดงเปอะเป็นหย่อมย่าม กำลังยืนอยู่หน้าห้องดับจิตในยามเย็นย่ำ ข้างกายมีชายรูปร่างคล้ายกัน ตรงเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเทาก็มีรอยเปอะเปื้อนคล้ายกันยืนอยู่
ทั้งคู่จ้องมองไปยังสามชีวิต ที่เอาแต่กอดศพผู้จากไปร้องไห้สะอึกจะอื้นมานานแล้ว นายแพทย์เมธี พัฒนาธรสกุล หมดถ้อยคำสารภาพผิด หมดถ้อยคำปลอบใจใดๆ แล้ว เพราะบอกกล่าวสามแม่ลูกไปนับตั้งแต่เจอหน้ากันเมื่อชั่วโมงก่อนไปหมดแล้ว
ไม่ต่างจาก นายแพทย์เขมินท์ พัฒนาธรสกุล คนเป็นลูกนัก ที่แม้จะไม่ใคร่ได้เอ่ยอะไรกับสามแม่ลูก แต่ก็พยายามจะพูดปลอบใจและแสดงความเสียใจแทนพ่อ ที่เพิ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหา ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมาหมาดๆ
เขมินท์อดเสียใจไม่หายที่วันนี้น่าจะมากับพ่อแทนการนั่งทำงานอยู่ออฟฟิศจะได้ขับรถให้ เพราะพ่อได้นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องมาดูบ้านพร้อมที่ดินแล้ว นายหน้าโทรมาบอกว่าเจ้าของจะขายเพราะร้อนเงิน ถ้าช้าจะขายให้คนอื่น
พ่อเห็นว่าแม่ชอบ เลยจะซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดแบบเซอร์ไพรส์ จึงต้องมาคนเดียว ไม่ยอมให้ใครตามมาด้วย แม้แต่คนขับรถ แต่เพราะนอนน้อยทำให้พ่อหลับในรถพุ่งชนรถของคู่กรณี ที่กำลังจอดซื้ออาหารทะเลอยู่ข้างถนนจนคนขับแน่นิ่ง ชีพจรเต้นช้า
แม้พ่อจะช่วยห้ามเลือดและรีบนำส่งโรงพยาบาลใกล้สุด แต่ก็ยื้อชีวิตผู้บาดเจ็บเอาไว้ไม่ได้ พ่อเสียใจมาก รีบโทรบอกเขาเป็นคนแรกในบ้าน แล้วกำชับไม่ให้บอกใคร เขาก็รีบมาทันที เพราะห่วงทั้งพ่อทั้งคู่กรณีของพ่อ
เขาเพิ่งจะรู้ชื่อผู้ตายรู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ก็ตอนได้นั่งคุยกับสมยศ ซึ่งเป็นเจ้านายของผู้ตายนั่นเอง เคราะห์ดีตอนนั้นสมยศออกจากรถไปซื้อกาแฟ ไกลจากที่เกิดเหตุ เลยไม่เป็นอะไร ไม่งั้นพ่อต้องเจอข้อห้าปลิดสองชีวิตไปอย่างแน่นอน
“หนู! หนูเป็นไงบ้าง”
นายแพทย์เมธีร้องเรียกเด็กสาวในชุดนึกศึกษา ที่ร้องไห้เสียใจจนเป็นลมล้มพับไป หลังจากคนเป็นแม่ล้มไปแล้วสามครั้ง นับตั้งแต่รู้ข่าวการจากไปของสามี
เขมินท์เร็วกว่าใครเพื่อน รีบตรงเข้าไปรวบร่างผอมบางขึ้นมาอุ้มไว้ได้ทัน ก่อนจะลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเก่าๆ
“พาออกไปตรงม้านั่งข้างนอกดีกว่าเป๊ก”
เมธีบอกด้วยความเป็นห่วง ลูกชายก็รีบทำตาม ทิ้งให้พ่อคอยดูสองแม่ลูกที่ยืนกอดกันร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่ข้างศพไว้ก่อน ส่วนตัวเขานั้นห่วงคนในวงแขนที่หน้าซีดเผือดจนหน้าเป็นห่วง
“นี่ยาดมค่ะ”
หญิงวัยกลางคนนั่งอยู่เก้าอี้อีกตัวรีบแสดงความมีน้ำใจ เขารีบส่งยิ้มด้วยความขอบคุณ หญิงผู้หวังดีเลยถือโอกาสจ่อยมดมใส่จมูกสาวน้อยให้ เพราะสองแขนเขาไม่ว่าง ต้องคอยประคองร่างที่อ่อนระทวยให้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงตัวเขาไว้
“พ่อ! พ่อจ๋า! อย่าจากหยาไป! เอาพ่อหยากลับมา”
นายแพทย์หนุ่มกลัดกลุ้มเหลือเกิน เมื่อได้ยินเสียงของสาวน้อยเอ่ยออกมาด้วยถ้อยคำกระท่อนกระแท่น แต่ก็จับใจความได้ว่าเธออาลัยรักพ่ออย่างล้นเหลือ
“แม่! แม่ได้ยินยะมั้ย”
ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ก็เห็นพ่ออุ้มอีกคนออกมาแล้ว มีเด็กหนุ่มที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นลูกชายคนเล็กวิ่งตาม ปากก็ร้องเรียกแม่ด้วยความตกใจ ในมือนั้นถือยาดมมาจ่อตรงจมูกแม่ หลังจากพ่อเขาวางลงตรงเก้าอี้ที่มีผู้คนขยับให้อย่างมีน้ำใจ
สองพ่อลูกหันไปหากันด้วยความหนักใจ ในตัวสามแม่ลูกที่ต้องสูญเสียผู้นำครอบครัวไป และโดยไม่ต้องคุยกันแม้แต่คำเดียว ต่างคนก็ต่างส่งแววตาว่าจะชดเชยให้ทั้งสามเท่าที่จะทำได้ แม้มันจะไม่ได้เสี้ยวเศษของชีวิตที่จากไปก็ตาม
“ทำไมเรียกร้องมากมายขนาดนั้นล่ะคะ เงินตั้งหลายล้าน ไม่รู้ว่าตัวคนที่ตายไปจะหาได้ในชาตินี้หรือเปล่าหรอก เรียกอะไรไม่ดูตัวเองเอาซะเลย"
แต่คนอย่าง นวลปรางค์ พัฒนาธรสกุล กลับไม่อยากให้สามีและลูกคิดและทำแบบนั้น เพราะหมั่นไส้ในตัวปรียา หลังได้เห็นหน้าครั้งแรกในงานรดน้ำเมื่อวานนี้แล้ว ทั้งหยิ่ง ทั้งเชิด
และมองนวลปรางค์กับคนในครอบครัวเหมือนทำความผิดร้ายแรงเกินให้อภัย ทั้งที่การจากไปของสามีนั้นเป็นอุบัติเหตุ หาใช่เจตนาไม่ ตำรวจเจ้าของคดีก็บอกในเบื้องต้นแบบนั้น และจะสรุปสำนวนคดีอีกทีหลังงานเผาศพผ่านไป
ซึ่งจะต้องรออีกสี่ห้าวันเป็นอย่างน้อย
“จะพูดแบบนั้นไม่ได้นะปรางค์ คนของเขาตายก็ต้องเสียใจและกลัวจะลำบากเป็นธรรมดา”
เมธีผู้ใจเย็นสุขุมอธิบายออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนจะหันไปมองลูกชายทั้งสองที่ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากนั่งรอดูว่าพ่อแม่จะคุยอะไรกับทนายอีก
“จนขนาดนั้นกะเรียกร้องให้ตัวเองรวยเลยหรือไงคะคุณพ่อ”
แต่ลูกสาวคนเล็กอย่าง เมธาวี พัฒนาธรสกุล ก็แทรกขึ้นด้วยความหัวเสียไม่แพ้แม่ เพราะรับรู้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายทำตัวยังไงกับแม่ในวันรดน้ำ
“เขายังไม่ได้เรียกร้องอะไรขนาดนั้นหรอก พากันร้อนใจไปได้”
“ไม่เรียกร้องยังไงกันคะ ในเมื่อแจ้งมากับทนายเราแล้วว่าขอห้าล้าน ถ้าเราไม่จ่ายก็จะใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ แบบนี้ขู่กันชัดๆ คิดเหรอว่าเราจะกลัว จะแข็งกับใครไม่แข็ง ดันมาแข็งกับพวกเราที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลดัง มีเงินมีอำนาจเหนือกลัวทุกทาง”
“แต่เราจะกลายเป็นเป้าให้นักข่าวโจมตีได้ ถ้าฝ่ายนั้นทำอย่างที่พูดจริงๆ แล้วมันยิ่งจะทำให้เราเสียมากกว่าห้าล้านซะอีก จะทำอะไร จะพูดอะไร เราต้องคิดให้หนักๆ ทั้งผลดีผลเสียที่จะตามมา อย่าลืมว่าเรามีชื่อเสียงให้ต้องรักษานะ จริงมั้ยเป๊ก”
เมธีหันไปหาลูกชายคนโต
“ถ้าไม่มีทางเลี่ยงก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับคุณพ่อ อยากได้เท่าไหร่ก็ต้องให้ล่ะ ในเมื่อเขาเสียผู้นำครอบครัวไปขนาดนั้น”
เขมินท์เองก็มองไม่เห็นทางอื่นใดที่จะแก้ไขนอกจากให้ตามอีกฝ่ายขอมาเท่านั้น
“แล้วมันจะรู้จักคำว่าพอมั้ยล่ะตาเป๊ก เห็นเรายอมง่ายๆ มันไม่เรียกร้องนั่นนี่ยกใหญ่เหรอ”
เลยถูกคนเป็นแม่สวนกลับด้วยความไม่สบายใจ เพราะเห็นสามีกับลูกชายทั้งสองมีแนวโน้มว่าจะยอมง่ายๆ ทนายเองก็แลจะเห็นดีเห็นงามไปด้วย แม้จะมีทางช่วยหลีกเลี่ยงอีกหลายทาง หากจะใช้ข้อกฏหมายไปสู้ดีๆ แต่กลับไม่ทำ
“เราอย่าเพิ่งไปคิดไกลถึงตอนนั้นเลยนะปรางค์ เอาปัญหาเฉพาะหน้านี่ให้จบไปก่อนดีกว่า ตอนนี้น่ะข่าวกำลังร้อน ถ้าขืนไปแข็งขืนมันจะได้ไม่คุ้มเสียนะ อีกอย่างผมก็ไม่เห็นว่าทางนั้นจะเป็นพวกไม่รู้จักพอ เราชดใช้ให้ขนาดนี้แล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรนะ”
เมธีอธิบายด้วยทีท่าใจเย็น และใช้ความอดทนกับภรรยาที่มักจะเป็นคนร้อน เร็ว และแรงเสมอมา เพราะถ้าเขาร้อนกลับครอบครัวคงจะอยู่ไม่รอดมาจนป่านนี้นี่
“ไม่รู้ล่ะนะ ถ้าจะให้อย่าต้องถึงห้าล้านเลย ให้ทนายไปต่อรองหน่อยเหอะ ฉันรับไม่ได้ที่จะต้องเป็นเบี้ยล่างให้คนระดับนั้นมาขู่เรื่องจะไปพึ่งสื่อ บอกตรงๆ นะว่าเกลียดจริงๆ ไอ้พวกหิวเงิน พอถูกคนรวยขับรถชนตายหน่อยต้องเรียกร้องนั่นนี่ ขายผีเลี้ยงคนเป็นชัดๆ”