“นางหนึ่ง นางหนึ่ง! แกไปมุดหัวอยู่ที่ไหน”
“จ้ะน้าดาว” หนึ่งธิดารีบพับเก็บจดหมายซ่อนเอาไว้ในทันที แล้วเดินมาเปิดประตูห้องพักให้มารดาเลี้ยง
“แกทำอะไรอยู่”
“เปล่าจ้ะน้า”
“ไม่ได้ทำอะไรงั้นรึ กล้ามากนะที่แกไม่ทำอะไร มามุดหัวอยู่ในห้องแบบนี้ งานการออกมากมายแกเห็นไหม ขี้เกียจสันหลังยาว เลี้ยงเสียข้าวสุก”
“เดี๋ยวหนึ่งจะไปทำเดี๋ยวนี้ละจ้ะน้า” หนึ่งธิดารีบรับคำทันที ในขณะที่ปานดาวตามมาจิกหัวด้วยความโมโห คนไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียงหรืออยู่ในสายตาของคนในบ้านก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆ ตามคำสั่ง แม้แต่บิดาบังเกิดเกล้าก็ยังไม่แยแสเธอเลยแม้แต่น้อย
“เอาไปซักให้หมดด้วยนะพี่หนึ่ง หน้าที่สำคัญในบ้านอย่างนี้มันต้องเป็นหน้าที่ของพี่เพียงคนเดียวเท่านั้น” สุทธิดาเหยียดปากใส่พี่สาว ก่อนจะเขวี้ยงผ้าใส่หน้าอีกฝ่าย มีมารดาให้ท้าย สุทธิดาไม่เคยยำเกรงพี่สาว ไม่เคยคิดเสียด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นพี่สาวของตน
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“อะไรที่บอกว่ามากเกินไปไม่ทราบ” คนถามเลิกคิ้วยียวนกวนประสาท
“เสื้อผ้าพวกนี้ก็ของเธอ ทำไมไม่หัดซักเองบ้าง” หนึ่งธิดาสุดจะทน เธออยากจะฮึดสู้ขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองบ้าง
“หน็อย ๆ ๆ เดี๋ยวนี้แกกล้าขึ้นเสียงเหรอไอ้พี่หนึ่ง” คนที่ไม่เคยมีปากมีเสียงหรือลุกขึ้นสู้รบตบมือมาก่อน ทำเอาสุทธิดาตาลุกวาบ ไม่อยากให้คนที่เคยอยู่ใต้อาณัติแข็งข้อหืออือต่อต้าน
“ฉันเป็นพี่ของเธอนะ อบรมสั่งสอนน้องมันผิดตรงไหน”
“ก็ผิดตรงที่แกไม่มีสิทธิ์ยังไงล่ะ” เสียงตวาดของปานดาวทำให้หนึ่งธิดาสะดุ้งสุดตัว
“แกกล้าขึ้นเสียงกับลูกของฉันอย่างนั้นเหรอ เงินที่จะเอาไปโรงเรียนอาทิตย์นี้ไม่ต้องเอานะ นังเด็กเหลือขอ” ปานดาวจิ้มหน้าผากลูกเลี้ยงอย่างรังเกียจ หนึ่งธิดาถูกผลักจนหน้าหงาย ล้มลงก้นกระแทกกับพื้น
“โอ๊ย!” เธอร้องเสียงหลง มองสองแม่ลูกอย่างเจ็บใจระคนน้อยเนื้อต่ำใจ อยากจะมีแรงกำลังมากกว่า มีอำนาจมากกว่า มีอะไรเหนือกว่าจะได้ไม่โดนรังแกแบบนี้
“สมน้ำหน้า อยากอวดดีกับฉันกับคุณแม่” สุทธิดาเหยียดปากใส่พี่สาวอย่างรังเกียจ สายตาเยาะเย้ยถากถางทำเอาหนึ่งธิดาเจ็บจุกในอก
“แกจะซักหรือไม่ซักนังหนึ่ง ถ้าแกไม่ซักวันนี้ก็ไม่ต้องกินข้าว พ่อของแกไปประชุมต่างจังหวัดอีกหลายวันกว่าจะกลับ เวลานี้ฉันสามารถเฉดหัวแกไปเป็นหมาขี้เรื้อนข้างถนนก็ได้ หรือถ้าแกหิวข้าวมากๆ กินน้ำก๊อกแทนข้าวไปแล้วกันนะ” หนึ่งธิดาเม้มปากแน่น ก่อนจะโดนจิกผมจนหน้าหงาย
“สรุปว่าแกจะไม่ซักใช่ไหมนังหนึ่ง” ปานดาวตวาดลั่น ไม่ชอบให้ใครมาแข็งข้อด้วย
“ซักค่ะ” น้ำเสียงอ่อนลงของลูกเลี้ยงทำให้ปานดาวเหยียดปาก ก่อนจะจิ้มหน้าผากลูกเลี้ยงอีกครั้ง
“พูดกันง่ายๆ แบบนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัว” หนึ่งธิดาก้มหน้านิ่ง กัดฟันกรอด ไม่ได้อยากยอม แต่ก็จำต้องยอม
“งั้นก็ซักไปสิ แกอาศัยบ้านหลังนี้อยู่ ก็ต้องทำงานทุกอย่างที่ฉันกับลูกสั่ง อย่าคิดมาเผยอทำตัวเป็นนายสั่งใคร เพราะฐานะของแกต่ำที่สุดในบ้าน จำใส่กะลาหัวของแกเอาไว้นังหมาหัวเน่า!” สองแม่ลูกหัวเราะประสานกัน ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้หนึ่งธิดานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
บอกตัวเองเสมอว่าจะไม่ร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลไปมากกว่านี้ แต่มันกลับยิ่งไหลอาบแก้มนวลหนักขึ้นไปอีก น้อยใจในวาสนาของตัวเองนัก มือน้อยค่อยๆ ขยี้ผ้าในกะละมังไปพร้อมๆ กับเสียงสะอื้น บางครั้งเธอก็นึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง หรือที่บิดาไม่รักเธอ เป็นเพราะเธออาจจะไม่ใช่ลูกของท่านหรือเปล่านะ คิดไปต่างๆ นาๆ ยามที่หัวใจเจ็บปวดสับสน
มือที่เคยนิ่มนั้นค่อยๆ หยาบกร้านตามกาลเวลา ตกเย็นอาหารประทังความหิวคือข้าวเปล่ากับไข่ต้มหรือน้ำปลา ในขณะที่สองแม่ลูกใจร้ายกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย สิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจของเธอชุ่มชื่นขึ้นมาได้ก็คือการได้อ่านจดหมายของหาญ
แม้เธอจะไม่ใช่คนมีปากมีเสียงในบ้านหลังนี้ แต่ความเงียบหรือการก้มหน้ายอมรับก็ทำให้เธอได้สังเกตอะไรหลายอย่างจากสองแม่ลูก หนึ่งธิดาเก็บความสงสัยมากมายนั้นเอาไว้ ทั้งคนแปลกหน้าที่มาหาปานดาวเป็นระยะๆ และการเลี้ยงดูน้องสาวที่แปลกไปจากที่ควรจะเป็น ในขณะที่บิดาของเธอเอาแต่ทำงานและประเคนเงินให้สองแม่ลูก
สุทธิดาโตขึ้นยิ่งก้าวร้าว ปานดาวตามใจบุตรสาวของตัวเองทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ประเคนหาให้ แถมยังใช้เงินฟุ่มเฟือยซื้อของไร้ประโยชน์ หนึ่งธิดามองสองแม่ลูกใช้เงินแล้วใจหายแทนบิดา แต่ท่านให้อำนาจการใช้เงินกับมารดาเลี้ยง เธอเลยได้แต่สงบปากสงบคำเอาไว้เท่านั้น บางครั้งก็คิดไปว่าปานดาวเข้ามาเพื่อผลาญสมบัติของบิดามากกว่าจะมาช่วยกันเก็บรักษาหรือหาเงินเข้าบ้านอย่างเช่นภรรยาที่ดีควรจะทำ
ถึงน้องสองที่รักของพี่
ชีวิตที่บ้านไร่ของพี่ค่อนข้างจะมีความสุขเพราะสิ่งที่คิดหวังเอาไว้เป็นไปตามหวัง พี่ลองทำแบบที่สองแนะนำ ค่อยๆ ทำไปทีละอย่าง พี่เลยตัดสินใจเลี้ยงกบก่อนเป็นอันดับแรก เพราะที่นี่อยู่ในป่าอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ พี่ใช้ไฟล่อแมลงเม่าให้บินมาเหนือสระเพื่อเป็นอาหารของพวกกบ พวกมันกินพวกไส้เดือน ผัก และปลา พี่ก็หามาให้มันกิน พอดีวันก่อนพี่ขับรถเข้าเมืองเจอพ่อค้าที่เขารับซื้อกบส่งขายให้ร้านอาหารดังๆ หลายร้าน พี่เลยสามารถนำกบที่เลี้ยงส่งขายได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีคนซื้อ สองสบายดีไหมครับ พี่โทร. ไปหาที่บ้าน คนรับใช้บอกว่าสองออกไปข้างนอกไปเรียนอะไรตั้งหลายอย่างคงจะไม่ค่อยมีเวลา ขอแค่สองตอบจดหมายพี่แบบนี้ พี่ก็ดีใจมากแล้ว ครั้งหน้าพี่จะเลี้ยงหมูแล้วนะ ที่นี้มีกล้วยเถื่อนเยอะมาก เอามาหั่นตำกับรำจากโรงสีให้มันกิน ประหยัดมากๆ ไม่ต้องซื้ออาหารสำเร็จรูป พวกชาวบ้านละแวกใกล้ๆ มีงานเขาก็จะมารับซื้อ พวกไม้ยืนต้นที่จะปลูกขาย ตอนนี้พี่เริ่มเตรียมพื้นที่แล้วนะ ไม่นานคงได้ปลูกเสียที พี่เริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เกือบครบทุกบ้านแล้วนะ ในหมู่บ้านมีไฟฟ้าใช้กันแล้ว พี่ปลูกไม้ล้มลุกเกือบสามร้อยไร่ เป็นพืชหมุนเวียนขายส่งตลาด พวกหน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้หวาน มันเทศ มันสำปะหลัง พืชผักสวนครัวที่กินได้ด้วย โชคดีที่คุณตามีคนรู้จัก สอบถามกันไป หาตลาดกันไป ก็มีคนรับไปจนหมดเพราะปลอดสารพิษ พืชผักพวกนี้อายุสั้นเก็บขายได้เรื่อยๆ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในไร่ ตอนนี้พี่กำลังจะลงพวกมะพร้าว หมาก อินทผาลัม เสาวรสอีก 100 ไร่ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องขอบคุณคุณตาของพี่ ท่านเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินให้พี่ได้ลงทุน พี่ถ่ายรูปส่งมาให้สองดูด้วย บรรยากาศของไร่พี่ เอาไว้พี่จะเขียนจดหมายมาหาอีกนะ
พี่หาญ
หนึ่งธิดาเอาจดหมายของหาญมาแนบอก มองภาพวิวทิวทัศน์ของไร่ที่หาญส่งมาให้แล้วยิ้มกว้างในทันที เธอมั่นใจและเชื่อใจว่าเขาต้องทำได้ แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ อาจเพราะคุณตาของหาญสนับสนุนด้านการเงิน หาญมีความใฝ่รู้และมานะอดทน แค่เงินอย่างเดียวคงไม่ได้ช่วยอะไร หากหาญไม่มุ่งมั่นและตั้งใจที่จะทำมันอย่างจริงๆ จังๆ สิ่งที่หาญมักเขียนมาในจดหมายเสมอคือลูกน้องที่ดี เขาโชคดีที่ไปอยู่ในหมู่บ้านหนองบัวไผ่ คนที่นั่นขยันและมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยหรือกินแรงเพื่อนร่วมงานเลย
หนึ่งธิดาดีใจที่หาญมีความสุขกับชีวิตบ้านไร่ ก่อนจะรีบเขียนจดหมายตอบเขากลับไปในทันที