“เออ…เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย งั้นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวโดนสาวถึกทั้งสี่รุมว้าก มันจะไม่งามชิมิ” จีบปากจีบคอล้อเลียนคำพูดของสี่สาวดอกไม้เหล็กอย่างสนุกสนาน จนสายน้ำผึ้งอดหัวเราะท่าทีขี้เล่นไม่ได้
หลังจากนั้นสองสาวเล็กพริกขี้หนูสุดแสบ ก็รีบแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว เพื่อจะได้ไปให้ทันงานเลี้ยงอำลาเธอทั้งสองคน ซึ่งงานเลี้ยงส่งนี้เป็นอภินันทนาการจาก สี่สาวแห่งแก็งค์กระเทยอภิมหาถึก เพื่อนซี้สุดเลิฟนั่นเอง
สายน้ำผึ้งกับจอมใจ แม่สองสาวเพื่อนซี้สุดแสบ มาถึงร้านเนื้อย่างเกาหลี ที่สี่สาวแก็งค์กระเทยถึกได้นัดหมายไว้ ซึ่งร้านนี้พวกเธอเป็นขาประจำ แวะเวียนมาเกือบทุกอาทิตย์ จนซี้กับเจ้เจ้าของร้าน สองสาวได้แต่ชะเง้อคอมองหาเพื่อนรักทั้งสี่ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นแม้เงา
“นี่พวกมันสี่คน ยังไม่มาอีกเหรอวะ” จอมใจพูดขึ้นทันที เมื่อมองหาเพื่อนไม่เจอ
“อืม ยังไม่ชินอีกเหรอ ก็เป็นงี้ทุกที นี่ก็คงกำลังพากันแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่แน่ฉันว่า” สายน้ำผึ้งพูดอย่างไม่ค่อยเป็นเดือดเป็นร้อน ที่เพื่อนสาวทั้งสี่จะมาสาย เพราะเธอชินซะแล้ว
“งั้น…เราเข้าไปหาอะไรกินรองท้องก่อนดีกว่า ชักเริ่มหิวแล้วว่ะ” แล้วสองสาวก็เดินเข้าร้าน
“ต๊าย…ตาย…ดูซิ ใครมาอุดหนุนร้านเจ้อีกแล้ว” เจ้เจ้าของร้านสุดเอ็กซ์ ร้องทักเสียงแหลมมาแต่ไกล เมื่อเจอลูกค้าขาประจำ
“หวัดดีค่ะเจ้ วันนี้คนเยอะเหมือนเดิมนะคะ” สองสาวยกมือไหว้เจ้าของร้านอย่างมีสัมมาคารวะ
“หวัดดีจ๊ะสองสาว ว่าแต่วันนี้ทำไมมาสองคนได้ล่ะ อีกสี่นางหายไปไหน ไม่มาด้วยเหรอจ๊ะ” เมื่อเห็นแค่สองสาว ไร้เงาของสี่นางสุดถึก เจ้แกก็ถามหาทันทีอย่างแปลกใจ เพราะปกติพวกเธอต้องมาครบทีมเสมอไม่เคยขาด
“มาค่ะเจ้ แต่อาจช้าหน่อย สงสัยคงแต่งสวยอยู่มั้ง”
“ที่เดิม ใช่เปล่าจ๊ะ” นางถามเพราะจำได้ดีว่าสาวๆ แก็งค์นี้ชอบนั่งตรงไหนกัน
“วันนี้ขอเปลี่ยนบรรยากาศ เอาเป็นที่ไกลผู้คนหน่อยก็ดีค่ะ จะได้เม้าท์กันได้มันส์ๆ หน่อย” สายน้ำผึ้งเกรงว่าคงเสียงดังมากแน่ จึงบอกเปลี่ยนที่ด้วยกลัวรบกวนคนอื่น
“อื้ม ได้เลยจ๊ะ เจ้จัดให้ เอาเป็นตรงศาลาริมน้ำแล้วกันเนาะ” แล้วเจ้เจ้าของร้าน ก็รีบกระวีกระวาดไปสั่งเด็กในร้านจัดโต๊ะให้ทันที สองสาวจึงเดินไปตักอะไรมากินรองท้องรอ เพราะเก็บของตั้งแต่บ่าย ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง จึงหิวกันตาลาย
แก็งค์สี่สาวกระเทยถึก เดินทางมาถึงร้านเนื้อย่าง หลังจากที่สายน้ำผึ้งและจอมใจมาถึงได้เกือบครึ่งชั่วโมง วันนี้การแต่งตัวของพวกเธอมาในคอนเซ็ปต์เรนโบว์ เดินเข้ามาในร้านปุ๊บ คนที่อยู่ในร้านต่างมองกันเป็นตาเดียว บางคนถึงกับทำช้อนหลุดจากมือ อ้าปากค้าง ตะลึงจังงัง เห็นอย่างนั้นก็สร้างความพอใจให้สี่สาวสุดถึกเป็นอย่างมาก
“เห็นไหมยะพวกแก ฉันบอกแล้วคอนเซ็ปต์นี้เริ่ดย่ะ คนมองกันตาค้างทั้งร้านเลย” ลาภยศหรือแลรี่ ผู้มาในชุดเขียวอันรัดติ้วจนพุงชี้หน้า พูดขึ้นอย่างพอใจสุดๆ
“เออ…ชั้นก็ว่างั้นแหละ ดูสิหนุ่มๆ โต๊ะโน้น มองฉันตาเป็นมันเชียว” มาดแมนหรือแมนี่ผู้อยู่ในชุดแดงสุดเว่อร์พูดขึ้นทันที แล้วส่งยิ้มที่เธอคิดว่าเซ็กซี่ที่สุดในชีวิตไปให้หนุ่มๆ แต่หารู้ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้น ต่างพากันสุดสยอง กลัวจะนอนไม่หลับกันถ้วนหน้า ก็ศาลพระภูมิเคลื่อนที่ดันมาส่งยิ้มให้ซะนี่
“จะยังไงก็เถอะ วันนี้ฉันสวยที่สุดย่ะ” พสุธาหรือพริตตี้ ผู้มาในคอนเซ็ปต์สีชมพูสุดสั้นเสมอจิ๋ม พูดอย่างไม่ยอมแพ้
“ถึงแกจะสวย แต่ฉันเริ่ดกว่าแกย่ะ นังพริตตี้” ได้จังหวะนลทีหรือนลนี่ ผู้มาในชุดสีเหลืองชีฟองสุดพริ้ว ก็พูดข่มทันที
แล้วทั้งสี่สาวก็เริ่มทะเลาะกันว่าใครสวยกว่า ถึงจะเป็นกระเทยแต่ความสวยก็ไม่เคยปราณี เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้เจ้าของร้านต้องรีบมาดูทันที ว่าใครมาเปิดศึกมวยไทยที่ร้านแก เพราะกลัวลูกค้าแตกตื่นหนีหมด
“โอะ โอ๊ะ โอ๋...ไอ้เราก็นึกว่าใครจะมาพังร้าน ที่แท้ก็สี่สาวสุดสวยของเจ้นี่เอง” นางจีบปากจีบคอทักทายลูกค้าประจำอย่างเป็นกันเอง
“หวัดดีคร๊าเจ้” ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นเคารพเจ้ทันที
พอสี่สาวสุดถึกเดินจากไปเท่านั้นแหละ เจ้เจ้าของร้านถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางคิดไปว่า ‘เกือบโดนกระเทยรุมทึ้งให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งแล้วไหมล่ะกู พ่อคุณเอ้ย เอ้ย ไม่ใช่สิ แม่คุณเอ้ย ไอ้เราก็นึกว่าศาลพระภูมิเคลื่อนที่ แต่งตัวมา ช่างไม่เกรงใจเจ้าที่กันบ้างเลย นี่ไม่ใช่ท่านขวัญผวาแล้วเหรอ กลัวจะโดนคนมาแย่งที่’
เมื่อทั้งสี่เยื้องย่างร่างกายอันกำยำล่ำสัน มาถึงโต๊ะที่เพื่อนสาวทั้งสองนั่งรออยู่ก่อนแล้ว สองสาวเงยหน้าขึ้นสายตาปะทะเข้ากับชุดที่ทั้งสี่นางสวมใส่มาในค่ำคืนนี้ ต่างก็มองกันอย่างตาค้างเลยทีเดียว
“ไงจ๊ะ ชะนีน้อยไม่เคยเห็นกระเทยสวยบวกเริ่ดหรือยะ กระพริบตาปริบๆ กันเชียว” นลนี่จีบปากจีบคอถามเพื่อนสาวทันที
“พวกแกจะให้ฉันสองคนพูดความจริง หรือโกหกล่ะ” แม่จอมแสบถามขึ้น ด้วยหน้าดำหน้าแดงเพราะกลั้นขำจนปวดกระพุ้งแก้ม
“เอาความจริงซียะ กระเทยรับได้ ไม่วอรี่อยู่แล้ว” แลรี่ตอบเร็วไว
“งั้นพวกฉันขอเม้นท์แบบรายตัว เอ้ย...แบบทีละคนเลยแล้วกัน” สายน้ำผึ้งพูดขึ้น แล้วสองสาวก็เริ่มสาธยายถึงการแต่งตัวอันแซ่บเว่อร์ของสี่สาว
“คนแรกเลยนะ พริตตี้ ชื่อนี่ไม่ได้สมกับตัวแกเล้ย ฉันว่าชื่อพสุธามันก็ดีอยู่แล้ว แล้วนี่แต่งตัวยังกับจะไปเป็นหางเครื่องหมอลำซิ่ง สั้นซะจนหวอจะเปิดอยู่แล้ว อุ๊ย…ฉันลืมไปแกไม่มีหวอนี่หว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พูดจบจอมใจก็หัวเราะเสียงดัง
“ต๊าย…นั่นปากเหรอจ๊ะ นังชะนีจอมแสบ” สาวถึกนามว่าพริตตี้แหกปากด่าเพื่อนรัก ด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ส่วนแกนังแลรี่ ฉันนึกว่าไปเดินลุยน้ำแล้วโดนกรีนแมมบ้าฉกตูด เขียวอื๋อมาเชียว”
“กะเทยถึกรับไม่ได้คร๊า อ๊าย!” แม่สาวแลรี่ร้องออกมาอย่างเสียงดังลั่น
“และสุดท้าย แกสองคนนะ นลนี่กับแมนี่ ฉันนึกว่าสัญญาณไฟจราจรเดินได้”
“แต่งตัวมานี่ไม่ได้เกรงใจเจ้าที่ท่านเลย มลภาวะทางสายตาชัดๆ เห็นแล้วสยอง บรื๋อ…” แล้วเสียงหัวเราะของสายน้ำผึ้งกับจอมใจก็ดังขึ้นพร้อมกัน
“ปากดีเหมือนกันนะเราแม่ผึ้งน้อย เจ้าที่โกรธก็ดีสิยะ บางทีท่านอาจจะเมตตาเสกพวกชั้นจากกระเทยถึก ให้กลายเป็นชะนีเหมือนพวกหล่อนก็ได้นะยะ สาธุขอให้เป็นอย่างนั้นทีเถอะ แม่จะได้ยกซดผู้ชายอย่างหายห่วงหน่อย” แมนี่โต้กลับพร้อมยกมือขึ้นพนม
“ใช่ๆๆ ชั้นก็อยากจะมีวันนั้น” ทั้งสามสาวต่างประสานเสียงกันอย่างเห็นด้วยกับแมนี่
“เหรอจ๊ะ ฉันนึกว่าตั้งแต่เกิดมา พวกแกยังไม่เคยกินผู้ชายเป็นภักษาหารเลยด้วยซ้ำ” จอมใจถามคำถามกระแทกใจสี่สาวกายชายใจหญิงทันที จนพวกนางต้องร้องวี้ดออกมา
“ตายแล้วนังชะนี แรงนะยะ ถึงฉันจะไม่สวยเท่าชะนี แต่ก็มีลีลาดีไม่แพ้ใคร” พริตตี้แอ่นอกเชิดหน้าบรรยายสรรพคุณของตนอย่างไม่ยอมแพ้
“ถ้าพวกแกอยากกินผู้ชายอย่างปลอดโปร่งโล่งสบาย ก็ไปทำศัลยกรรมที่เกาหลีซะสิยะ จะได้เป็นชะนีอย่างเต็มภาคภูมิซะที” จอมใจชี้ทางสว่างให้
“ก็อยากจะแปลงเพศเหมือนกันแหละชะนี แต่ยังหาผู้ชายมาลงหลุมของเราไม่ได้ ชิมิพวกเรา”
“อือ ใช่ๆๆ” สามสาวต่างน้อมรับคำพูดอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย
จากนั้นเสียงหัวเราะครื้นเครง ก็ดังออกมาจากศาลาริมน้ำเป็นระยะ คุยกันเพลินจนดึกดื่นเที่ยงคืน หันซ้ายแลขวามองไปรอบๆ ร้าน โต๊ะอื่นต่างก็ทยอยกลับกันหมดแล้ว ทั้งหกสาวจึงชวนกันกลับไปนอนบ้าง
วันที่สองสาวต้องจากเมืองไทย ทั้งสี่สาวต่างพร้อมใจมาส่งเพื่อนรักถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งสี่สาวแก็งค์กระเทยถึกต่างแหกปากร้องไห้ลั่นสนามบิน จนสองสาวต้องเข้าไปปลอบกันแทบไม่ทัน จากนั้นไม่นานเสียงเรียกผู้โดยสารก็ดังขึ้น ทั้งสองสาวจึงกอดอำลาเพื่อนรักทั้งสี่ แล้วเดินไปขึ้นเครื่องมุ่งตรงสู่ประเทศอิตาลี พวกเธอไม่รู้หรอกว่าการไปทำงานในครั้งนี้ ทั้งสองจะได้เจอกับอะไรบ้าง แต่โชคชะตาได้ขีดเส้นรอไว้แล้ว คงไม่อาจฝืนชะตาฟ้าลิขิตไปได้