หลังจากที่เด็กน้อยขอลงจากการอุ้มของพ่อ ทันทีที่เท้าเธอถึงพื้น เด็กน้อยก็เดินมายิ้มหวานหยุดยืนตรงหน้าของเย่วซินพร้อมกับแนะนำตัวเองอย่างฉะฉานว่า
“สวัสดีค่ะ คุณน้าหนูชื่อ หยางลี่มี่ อายุสี่ขวบกว่า ๆ จะห้าขวบแล้วค่ะ และเป็นลูกสาวของพ่อซีห่าวคนนี้ค่ะ” พร้อมกับชี้นิ้วป้อม ๆ ไปที่พ่อของเธอ
เมื่อทุกคนได้ยินเด็กสาวตัวน้อยแนะนำตัวเอง ก็ได้แต่อมยิ้มด้วยความเอ็นดู
ส่วนเย่วซินนั้นเมื่อได้ยินเด็กตัวน้อยแนะนำตัวเองแทบจะเป็นทางการ เธอก็ได้พูดตอบออกไปด้วยรอยยิ้มว่า
“น้าชื่อ เย่วซินอายุสิบหกปีกว่า ๆ จะสิบเจ็ดปีแล้วค่ะ น้าเป็นน้องสาวของพี่ใหญ่ห่าวอู๋คนนี้”
และเธอก็ได้เลียนแบบเด็กน้อยพร้อมกับชี้ไปที่ห่าวอู๋
หลังจากผ่านการแนะนำตัวของหนึ่งสาวกับหนึ่งเด็กน้อยเสร็จแล้ว ทุกคนจึงนั่งล้อมเป็นวงกลมเพื่อที่จะกินอาหารกัน เธอแบ่งซาลาเปาไส้หมูสับให้พี่ชายใหญ่สองลูก ไส้หวานหนึ่งลูก
จากนั้นเธอก็ได้แบ่งให้ซีห่าวเท่ากันกับพี่ใหญ่ พร้อมกับตักเกี๊ยวน้ำให้อีกถ้วยใหญ่ด้วย
เธอหันมาถามเด็กน้อยว่า
“ลี่มี่หิวหรือยัง มานั่งข้างน้าดีกว่า น้าจะได้ป้อนเกี๊ยวให้แทนพ่อของหนู พ่อของหนูจะได้ทานอาหารไงคะ”
พอเย่วซินพูดจบ หยางลี่มี่แทบจะถลามาหาเธอทันที เพราะที่บ้านของเธอนั้น ไม่มีใครพูดดีกับเธอเลยนอกจากพ่อของเธอ แม้แต่ตอนที่แม่ของเธอยังอยู่ แม่ของเธอก็ไม่เคยพูดดีกับเธอเลยสักครั้ง
บางครั้งมีแอบตีเธอด้วย แต่เมื่อสามเดือนก่อนพ่อของเธอได้กลับมาอยู่ที่บ้าน จากนั้นไม่นานแม่ของเธอก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านนั้นอีก
“ลี่มี่หิวแล้วค่ะ” หยางลี่มี่ตอบออกไปพร้อมกับยิ้มหวาน
“ถ้าอย่างนั้นน้าป้อนนะ มานั่งที่ตักน้าดีกว่า”
เธอพูดพร้อมกับอุ้มหยางลี่มี่มานั่งบนตัก เธอหยิบซาลาเปาไส้หวานแล้วบิแบ่งครึ่งให้กับเด็กน้อย เด็กน้อยรับมากินพร้อมรอยยิ้ม
“กินกันดีกว่าพี่ซีห่าว เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อน ซินซินน้องสาวผมทำอาหารอร่อยมากนะพี่”
หลังจากที่นั่งมองน้องสาวคุยกับเด็กน้อยเสร็จแล้ว จึงได้เอ่ยชวนซีห่าวกินอาหารต่อ เพราะกลัวจะหมดเวลาพักไปเสียก่อน
“พี่เกรงใจนายนะ ห่าวอู๋ให้ลี่มี่กินเถอะ พี่ค่อยกลับไปกินที่บ้านเอา”
ซีห่าว ตอบกลับด้วยความเกรงใจพร้อมกับมองดูเย่วซินป้อนอาหารลูกสาวตัวน้อยของเขาไปด้วย
“พี่กินเถอะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก พี่ดูสิ สองคนนั้นพูดคุยป้อนอาหารกันสนใจเราสองคนเสียที่ไหน”
ห่าวอู๋บอกออกไป เขารู้ว่าหยางซีห่าว เป็นคนขี้เกรงใจแค่ไหน และเป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
ส่วนสาเหตุที่ซีห่าวได้มาลงงานที่แปลงนานั้นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน ซีห่าวที่เป็นทหารได้ลาออกกลับมาที่บ้าน เพราะได้รับบาดเจ็บกลับมา แล้วมาเจอกับภรรยาตัวเองเล่นชู้กับชายคนอื่น
ตอนเขากลับมา และต้องมาเจอกับภรรยาที่ไม่สนใจไม่ใส่ใจลูก มัวแต่เอาเวลามาแต่งตัวสวยแล้วออกไปข้างนอกทุกวัน จนเมื่อเขาตามไปดู เลยได้เห็นกับตาตนเองว่าภรรยาของเขามีคนอื่น พอเขากลับถึงบ้านเขาขอหย่าทันที โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของใคร เขาจะเป็นคนดูแลลูกสาวตัวน้อยเอง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสามเดือนกว่าแล้ว
ด้วยตัวของซีห่าวเอง ไม่ได้รักใคร่ตัวภรรยาตั้งแต่แรก ภรรยาคนนี้เขาแต่งงานด้วยเพราะเป็นหลานสาวทางบ้านของฝั่งแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงเขาเป็นคนจัดการเรื่องงานแต่งให้ เขาลากลับมาเพียงแค่แต่งงานเท่านั้น เขาเข้าหอกับภรรยาเพียงคืนเดียว หลังจากนั้นเขาก็กลับไปค่ายทหารเพื่อปฏิบัติภารกิจด่วน
ซีห่าวรู้ว่าภรรยาเขาท้อง ก็ตอนที่แม่เลี้ยงเขาเขียนจดหมายบอกให้ส่งเงินกลับมามากกว่าเดิมจากที่เคยส่ง จากนั้นเขาก็ติดภารกิจและไม่ได้กลับบ้านมาบ้านอีกเลย
ทว่าตัวเขานั้นก็ได้ส่งเงินเดือนมาให้ตลอดทุกเดือน ไม่มีเดือนไหนที่เขาขาดส่ง ถึงเขาจะไม่ได้อยู่ตอนลูกคลอดเขาแต่รักลูกสาวคนนี้มาก
กลับมาที่ปัจจุบัน
“ซินซิน พี่ลืมแนะนำน้องนี่คือพี่ซีห่าวหรือจะเรียกพี่ซีห่าวแบบพี่ก็ได้”
เขาหันหน้าไปบอกน้องสาว พร้อมกับ หันไปหาซีห่าวแล้วก็เอ่ยแนะนำ
“พี่ซีห่าวครับนี่คือเย่วซินน้องสาวของผมครับ”
“สวัสดีครับ/สวัสดีค่ะ”
“พี่ไม่ต้องทำหน้าสงสัยครับพี่ พี่อาจจะไม่เคยเห็นเธอเพราะปกติซินซินไม่ค่อยจะออกจากบ้านไปไหนหรอก นอกจากตอนที่ยังเรียน ซึ่งไปแค่ที่โรงเรียนแล้วก็กลับบ้าน อีกทั้งธอเพิ่งจะหายป่วยด้วย เลยไม่ค่อยมีใครจะเห็นเธอสักเท่าไร ยิ่งเป็นที่แปลงนานี้ เธอแทบจะไม่มาเลยครับ”
ห่าวอู๋บอกออกไปเมื่อเขาเห็นซีห่าวคิ้วชนกัน
“แล้วนี่ลี่มี่ต้องมาทำงานด้วยเหรอคะพี่ซีห่าว น้องตัวแค่นี้เอง”
“ไม่ใช่หรอก วันนี้ลี่มี่เกิดอาการงอแงขอตามมาด้วย ผมเลยต้องพามาด้วย” เขาตอบข้อสงสัยของเย่วซิน
“แล้วช่วงบ่ายนี้ล่ะคะจะทำอย่างไร ลี่มี่เพิ่งจะสี่ขวบกว่าเองเด็กอายุเพียงแค่นี้ต้องนอนกลางวันด้วยนะคะ เอาอย่างนี้ไหมพี่ไว้ใจฉันหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะดูแลลี่มี่ให้เอง พอพวกพี่เลิกงานพี่ซีห่าวก็ไปรับลี่มี่ที่บ้านไปพร้อมกับพี่ใหญ่เลย ยังไงฉันก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว อยู่บ้านคนเดียวก็เหงา”
เย่วซินอดที่จะสงสารเด็กน้อยไม่ได้ อายุแค่สี่ขวบกว่ายังต้องเข้าแปลงนากับพ่อ เธอไม่รู้หรอกว่าแม่ของเด็กคนนี้เป็นอย่างไร หากยังอยู่คงไม่ปล่อยให้ลูกที่แสนน่ารักช่างเจรจาเช่นนี้มาตากแดดตากลมเป็นแน่ต่อให้เธอจะไม่เคยมีสามีหรือมีลูกก็ตาม
ทว่าเธอเคยเลี้ยงน้องในบ้านเด็กกำพร้ามาก่อน ย่อมต้องเลี้ยงเด็กเป็น คราวนี้อยู่ที่พ่อของลี่มี่จะไว้ใจเธอให้เลี้ยงลูกเขาหรือเปล่านี่สิ
ซีห่าวเงยหน้ามองน้องสาวของสหายรุ่นน้อง เขาไม่คิดว่าจะมีใครที่เพิ่งรู้จักกันกล้าเอ่ยปากว่าจะช่วยเลี้ยงดูลูกให้ จึงคิดใคร่ครวญเล็กน้อย เขาเองสงสารลี่มี่ไม่น้อย อยู่บ้านก็โดนแม่เลี้ยงเขาดุด่า มาที่แปลงนาก็เจอแดดร้อน ทว่าเขายังไม่ทันตอบอะไร กลับได้ยินเสียงลูกน้อยตอบกลับไปเสียแล้ว
“ไปค่ะ ลี่มี่ไปบ้านพี่สาว พ่อให้ลี่มี่ไปไหม”
แม้ว่าจะตอบตกลงไปแล้ว เด็กน้อยยังคงหันมาขออนุญาตพ่ออีกครั้ง
ซีห่าวเมื่อเห็นแววตาของลูกน้อยที่จดจ้องเขาด้วยความหวัง จึงได้พยักหน้ากลับไป
“ลี่มี่ห้ามดื้อห้ามซนรู้ไหม เลิกงานแล้วพ่อจะรีบไปรับนะคะ”
“ลี่มี่รักพ่อนะ”
เมื่อพ่ออนุญาตเด็กน้อยจึงรีบวิ่งไปกอดคอพ่อ ก่อนจะหอมแก้มซ้ายขวาเป็นรางวัล
ทำให้สองพี่น้องบ้านจางยิ้มตามในความน่ารักของเด็กน้อย
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ฉันจะดูแลลี่มี่ให้เอง”
พูดจบจึงเก็บของและจูงมือเด็กน้อยกลับบ้านทันที
หลังจากที่จางเย่วซินเดินจากไป ห่าวอู๋หันไปมองซีห่าวพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่ไม่ต้องเป็นกังวล ซินซินเธอดูแลได้”
“พี่ไม่ได้กังวล แต่พี่กลัวว่าลี่มี่จะกวนเธอน่ะสิ นายบอกว่าเธอเพิ่งจะหายป่วยไม่ใช่เหรอ”
“ครับ แต่ผมคิดว่าซินซินคงจะหายดีแล้ว ดีเสียอีกมีลี่มี่อยู่ด้วย ซินซินจะได้ไม่เหงา แค่เห็นรอยยิ้มของน้องอีกครั้ง ผมควรจะขอบคุณพี่มากกว่าที่ยอมให้เธอช่วยดูลี่มี่”
ห่าวอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่น้องสาวคนนี้มีรอยยิ้มที่สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าเรื่องอะไรเขายอมทั้งนั้น
จากนั้นทั้งสองคนเอนกายลงนอนเอาแรง ก่อนที่จะมีเสียงแตรดังขึ้นในช่วงบ่ายอีกครั้ง
หลังจากพาหยางลี่มี่มาถึงบ้าน เย่วซินก็ได้เดินไปเตรียมน้ำเพื่อมาเช็ดตัวให้เด็กน้อย
“ลี่มี่รอแป๊บหนึ่งนะ น้าจะหาชุดให้เปลี่ยน”
จากนั้นเธอได้เดินเข้าไปในห้องเปิดตู้เสื้อผ้า ทำเป็นหยิบชุดเด็กผู้หญิงออกมาจากในตู้ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเธอหยิบออกมาจากมิติ
“ลี่มี่จ๊ะ มาปะแป้งหอมหอมแล้วเปลี่ยนชุดใหม่กันดีกว่านะ” เธอกวักมือเรียกเด็กน้อยที่นั่งรอเธออยู่ที่ห้องโถง
“ชุดสวยจังเลยค่ะน้าเย่วซิน น้าให้ลี่มี่จริง ๆ เหรอคะ”
เธอเห็นว่าชุดนั้นสวยมากจริง ๆ เด็กน้อยจึงได้ถามออกไป พอเธอได้ยินว่าให้เธอจริง ๆ เธอก็ร้องไห้ปนความดีใจ แต่ทันทีที่เย่วซินเห็นน้ำตาของเด็กน้อย เธอรีบถามเด็กน้อยพร้อมกับรีบกอดเธอทันที
“ลี่มี่เป็นอะไรไปคะ ร้องไห้ทำไม ไหนบอกน้าสิคะ ”
เธอถามเด็กน้อยพร้อมทั้งเอามือลูบหลังลี่มี่อย่างอ่อนโยน นั่นยิ่งทำให้หยางลี่มี่ร้องไห้หนักกว่าเดิม
ด้วยตัวลี่มี่เองไม่เคยได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นจากแม่ของเธอ หรือ คนในครอบครัวคนอื่น ๆ เลย นอกจากพ่อของเธอแล้ว ก็มีพี่สาวคนสวยนี่แหละที่กอดเธออย่างเต็มใจ ถึงเธอจะอายุแค่สี่ขวบกว่า ๆ เธอก็สามารถรับรู้ได้ว่าใครจริงใจกับเธอบ้าง
“ไม่มีอะไรค่ะ ลี่มี่ดีใจ” เธอตอบออกไปพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ร้องแล้วนะคนเก่ง เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วไปนอนที่ห้องน้ากันดีกว่านะคะ เดี๋ยวน้าจะชงนมให้กิน เพราะเด็กน้อยต้องกินนมจะได้โตเร็ว ๆ เข้าใจไหมคะ ”
พูดจบเธอได้เปลี่ยนชุดให้หยางลี่มี่พร้อมกับชงนมให้ดื่มจากนั้นจึงพาไปนอน
หลังจากที่หยางลี่มี่ตัวน้อยนอนหลับแล้ว เย่วซินจึงได้เดินออกมาที่หลังบ้านเพื่อที่จะดูแปลงผักว่า เธอยังสามารถปลูกผักหรือปลูกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง เพราะถ้าหากเธอไม่ปลูกผักเลยกลัวจะมีคนสงสัยว่าบ้านของเธอเอาอาหารมาจากไหน
จากที่สำรวจพื้นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้กลับเข้ามาในห้องนอน เมื่อเห็นว่า ลี่มี่ตัวน้อยยังนอนหลับอยู่ เธอได้นั่งมองเด็กน้อยแล้วคิดว่าทำไมลี่มี่จึงได้ออกมาที่คอมมูนกับพ่อของเธอ
แล้วแม่ของเด็กไปไหน จากอาการที่เห็นเด็กน้อยร้องไห้จนตัวโยนนั้นอีกเล่า หมายความว่าอะไรกันแน่ เด็กน้อยอายุจะห้าขวบแล้ว แต่ตัวกลับผอมแห้งยิ่งกว่าเด็กวัยเดียวกัน
“เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งสงสัย พี่ใหญ่กลับมาค่อยถามดีกว่า”
จากนั้นเย่วซินเดินเข้าครัวทำอาหารรอทุกคนกลับมากินกันช่วงเย็น