4
“ต้องขอโทษคุณพี่กับหนูขวัญด้วยนะคะ ที่มาร์ชเขาขอตัวไปทำงานก่อน นึกว่าจะอยู่คุยกับหนูขวัญถึงบ่ายแก่ๆ แล้วค่อยไปทำงาน”
ศจีขอโทษขอโพยสองแม่ลูก เนื่องจากงานนี้นางเป็นตัวตั้งตัวตีให้ทั้งสองฝ่ายมาพบหน้ากัน
“ไม่เป็นอะไรค่ะคุณน้อง คนดังก็อย่างนี้แหละคะ หาเวลาเป็นส่วนตัวยาก คุณพี่เข้าใจค่ะ”
ลักขณาจีบปากจีบคอพูด แต่ในใจไม่คิดเช่นนั้น
“คุณลักขณาคิดได้อย่างนี้ผมก็สบายใจครับ ลูกชายของผมเป็นคนดัง งานรัดตัว เวลาเป็นส่วนตัวแทบจะไม่มี ถ้าคนที่มาเป็นลูกสะใภ้ของผมเข้าใจในจุดนี้ได้ ยิ่งดีใหญ่ชีวิตครอบครัวมันถึงจะราบรื่น แต่ถ้าจะมาเกี่ยวดองด้วยเรื่องเงินเรื่องทองนี่คงยากหน่อย เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ลูกชายเขาให้ผมเก็บไว้ดูแลทั้งหมด โดยเก็บไว้เฉพาะใช้ส่วนตัวเท่านั้น”
วิมุตพูดดักคออย่างรู้เท่าทันความคิดของสองแม่ลูก แม้ว่าเขาจะออกจากราชการมาได้สองปี แต่หูตาของเขาก็ยังดีอยู่ รู้ว่าใครเป็นอะไรอย่างไร เขาไม่พูดเพราะไม่อยากให้ภรรยาเสียใจ อยากให้นางรู้ด้วยตัวเองจะดีกว่า สองแม่ลูกสะอึกเล็กน้อยกับคำพูดของวิมุต ดูท่าทางงานนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด คนที่นี่ฉลาดพอดูออกว่าคนที่หลอกง่ายที่สุดคงจะเป็นศจี
“จริงค่ะ ดิฉันก็คิดเหมือนท่านนายพล การเป็นภรรยาที่ดีต้องรู้จักปรับตัวกับทุกสิ่งที่อยู่รอบด้าน ยิ่งเป็นภรรยาของคนดังด้วยแล้วต้องทำใจให้หนัก อดทนให้มาก เพราะสามีของเราเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ทั้งหลาย ส่วนเรื่องเงินเรื่องทองคงจะไม่มีปัญหาหรอกค่ะ เพราะดิฉันก็มีเหลือเฟือ”
ลักขณาเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของวิมุต เกทับเรื่องเงินในกระเป๋าที่มีมากมาย ทั้งๆ ที่ตอนนี้มีเงินติดตัวไม่ถึงหนึ่งพันบาท
“ใช่ค่ะคุณลุง เป็นภรรยาของคนดังต้องอดทน เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของขวัญเลยค่ะ ถึงไม่มีเงินแต่ถ้าขวัญรักขวัญต้องยอมรับกับคำว่าอดทนและลำบาก ซึ่งขวัญเองไม่เคยกลัวเลยค่ะ”
ขวัญดาวพูดเพื่อให้ความเชื่อมั่นในตัวของเธอและมารดามีมากขึ้นในสายตาของวิมุต
“เอาเถอะครับการดูละครมันต้องดูให้จบมันถึงจะรู้บทสรุปทุกอย่าง ที่ผมพูดไม่ใช่ว่าผมจะแดกดันใคร หรือดักคอใคร ผมพูดในฐานะที่ผมเป็นพ่อของมาร์ช ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังของเมืองไทย ผมไม่อยากให้ชีวิตครอบครัวของลูกชายผมต้องพังพินาศเพราะคำว่าไม่เข้าใจ ไม่มีเวลาให้กัน ซึ่งคู่รักหลายคู่ที่อยู่ในวงการบันเทิงมักเลิกราด้วยเหตุผลนี้กันหลายคู่ หวังว่าคุณหญิงลักขณากับหนูขวัญคงจะไม่ถือโทษโกรธผมที่พูดตรงๆ แบบนี้นะครับ”
วิมุตอยากจะพูดว่า ไม่อยากได้ลูกสะใภ้ที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่ชื่อเสียงของลูกชาย แต่อยากได้ลูกสะใภ้ที่มอบความรักให้ลูกชายจากใจจริงมากกว่า นึกในใจถึงพูดออกไปขวัญดาวก็ไม่มีสิ่งที่เขาคาดหวังไว้อยู่แล้ว
“คุยอะไรกันคะเนี่ย ศจีไม่เห็นรู้เรื่องเลย ไปนั่งคุยกันต่อที่ห้องนั่งเล่นดีกว่าค่ะ”
“คุณไปคุยกันต่อเถอะ ผมขอตัวไปสวดมนต์ก่อนก็แล้วกัน วันนี้รู้สึกว่าตัวเองบาปยังไงก็ไม่รู้”
นายพลวิมุตเดินออกไปจากห้องอาหารทันทีที่พูดจบ เขารับรู้ความอึดอัดที่ลูกชายมีได้เป็นอย่างดี เพราะตอนนี้เขารู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
“ท่าทางคุณลุงจะไม่ชอบขวัญกับคุณแม่นะคะ” ขวัญดาวอิดออดพูดอย่างน่าสงสาร
“คิดอะไรแบบนั้นจ๊ะ...คุณลุงก็นิสัยแบบนี้แหละ คุยกับใครเขาไม่ค่อยเก่ง ถ้าคุยกับคนดูพระเครื่องด้วยกันอย่าให้บอก คุณกันเป็นวันก็ไม่จบ เราไปนั่งคุยจิบน้ำชากันดีกว่านะ”
สองแม่ลูกเดินตามศจีไปที่ห้องนั่งเล่น หัวข้อการสนทนามีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องของวิศรุต ขวัญดาวถามข้อมูลจากศจีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะหลอกถามเรื่องที่อยู่ของคอนโดหรู เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อชายหนุ่มได้ โดยให้เหตุผลว่าเผื่อวันดีคืนดีเธอจะไปทำเซอร์ไพรส์ให้กับชายหนุ่ม และช่วยดูแลวิศรุตแทนศจีในทุกๆ เรื่อง ซึ่งตรงกับความคิดของศจีที่จะให้ทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน จึงให้คำตอบทุกอย่างที่ขวัญดาวเอ่ยถาม เมื่อได้ข้อมูลอย่างมากมายมาเก็บไว้ในสมองแล้ว อีกสักพักสองแม่ลูกก็ลากลับบ้านทันที
มนตราเดินหน้าง้ำหน้างอตามหลังพี่สาว เข้ามาในคอนโดหรูสุดอลังการของซูเปอร์สตาร์หน้าปีศาจ สาเหตุที่เธอหน้าคล้ายกับจวักแบบนี้ เนื่องจากเมื่อเช้ามายานำสมุดโน้ตซึ่งในนั้นมีคิวงานต่างๆ ตลอดทั้งหนึ่งสัปดาห์ที่เธอไม่อยู่ มาให้มนตราดู พอรู้ว่าต้องเดินทางไปต่างจังหวัดพร้อมกับวิศรุตในวันศุกร์นี้ ทำให้มนตราไม่อยากรับงานนี้เลย
“เดินเร็วๆ หน่อยสิมน”
พี่สาวหันมาเร่งน้องสาวที่กว่าจะก้าวเท้าแต่ละก้าว เชื่องช้าอย่างกับเต่าคลาน
“ไม่เห็นต้องรีบเลย พ่อเจ้าประคุณมีงานตอนเย็นไม่ใช่เหรอ นี่เพิ่งบ่ายโมงเอง ไม่รู้ว่าจะรีบอะไรกันนักกันหนา คอนโดไม่ได้โดนธรณีสูบเสียเมื่อไหร่” มนตราอดบ่นไม่ได้
“ไม่ต้องบ่นรับปากพี่แล้วก็ต้องทำ”
มายาหันมาพูดเสียงเขียวกับผู้เป็นน้อง ที่เริ่มงอแงมากขึ้นเรื่อยๆ มนตราเร่งฝีเท้ากระแทกเดินนำหน้าพี่สาวตรงไปที่ลิฟต์ มายาเริ่มรู้สึกว่าคิดผิดที่ให้มนตรามาทำงานแทนตน แต่ก็ยังดีกว่าไหว้วานคนอื่น ในที่สุดสองสาวพี่น้องก็เดินทางมาถึงห้องพักหมายเลข 4801 ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร อีกทั้งมีเพียงห้องเดียวด้วย
“อู้หู!!...ทำไมมันกว้างใหญ่อย่างนี้ล่ะ...ใหญ่กว่าบ้านของเราอีกนะพี่ยา ดูสิเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย เห็นวิวรอบกรุงเทพฯ เลย แจ๋วจริงๆ ห้องของนายมาร์ชเนี่ย”
มนตราพูดกับพี่สาวด้วยความตื่นเต้น เกิดมาในชีวิตไม่เคยเห็นห้องใครสวยเท่าห้องนี้มาก่อนเลย ในความคิดของมนตราคำว่าคอนโดคือห้องสี่เหลี่ยม มีห้องน้ำ มีระเบียงสั้นๆ เหมือนกับคอนโดที่เพื่อนสนิทอาศัยอยู่ ทว่าที่นี่ไม่ใช่มันดูกว้างใหญ่ มีห้องพักส่วนตัวถึงสามห้อง มีห้องโถงขนาดใหญ่ ห้องนั่งเล่นที่แยกออกไปต่างหาก ห้องครัวที่มีขนาดกะทัดรัดมีอุปกรณ์การทำอาหารพร้อมสรรพ ที่เธอชอบมากที่สุดน่าจะเป็นระเบียงด้านนอก ความกว้างของตัวระเบียงนั้นใหญ่พอๆ กับบ้านของเธอ ที่ระเบียงมีต้นไม้ที่ไม่น่าจะมีในอาคารสูงแต่ที่นี่มีนับสิบต้น
“ดูพอหรือยัง...มานี่พี่จะพาไปห้องของคุณมาร์ช”
มายาจูงมือน้องสาวไปที่ห้องของวิศรุตซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล ดูสงบลึกลับ และน่าค้นหา ก่อนที่มายาจะอธิบายการทำงานในแต่ละวันให้มนตราได้รับฟัง