ปากว่าไม่แต่ใจแอบคิดถึง (50%)

1630 Words
ขณะนี้สารวัตรภาคินัย กำลังนั่งเปิดแฟ้มอ่านสำนวนคดีเก่าเกี่ยวกับคดียาเสพติด เขากำลังสงสัยว่าผู้ร้ายที่จับได้ในคุกอาจจะเป็นเครือข่ายเดียวกันกับพ่อค้ารายใหญ่ที่เขายังหาหลักฐานมามัดตัวไม่ได้ ดีไม่ดีนักโทษในเรือนจำอาจจะเป็นคนสั่งการหรือไม่ก็ตั้งตนเป็นหัวหน้าใหญ่เสียด้วยซ้ำ ก๊อกๆๆ… “สารวัตรครับ ขออนุญาตครับ” จ่าสมหมายเคาะประตูติดๆ กันสามที ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัดขออนุญาตเจ้าของห้องอย่างสุภาพ “เชิญ” เสียงทรงอำนาจเอ่ยให้ลูกน้องได้ยิน อึดใจต่อมาจ่าสมหมายก็เปิดประตูเข้ามา แล้วพาร่างท้วมของตนมายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของสารวัตรหนุ่ม “มีอะไรจ่า?” สารวัตรภาคินัยเอ่ยถามลูกน้องวัยใกล้เกษียณ ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากกองเอกสารที่เขากำลังให้ความสนใจอยู่ก่อนที่จ่าสมหมายจะเข้ามา “มีคนต้องการพบสารวัตรครับ” จ่าสมหมายรายงานด้วยท่าทางนอบน้อม “ใคร วันนี้ผมไม่ได้นัดใครไว้นี่นา” สารวัตรมือฉมังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ท้ายประโยคพูดเหมือนจะทวนความทรงจำของตัวเองซะมากกว่า “ผมเองก็ไม่ทราบครับ เพราะไม่คุ้นหน้า ว่าแต่สารวัตรจะให้เขาเข้าพบไหมครับ” จ่าสมหมายตอบตามความเป็นจริง เพราะผู้ชายหน้าเหี้ยมทั้งสองที่ยืนรออยู่หน้าห้องไม่เคยมาเยือนที่นี่มาก่อน  “อืม…เชิญเขาเข้ามาได้เลย” หลังจากคิดอยู่อึดใจสารวัตรหนุ่มก็พยักหน้าอนุญาต จากนั้นลูกน้องก็ออกไปทำตามคำของผู้บังคับบัญชา เชิญให้แขกทั้งสองเข้าไปในห้องทันที “สวัสดีครับ สารวัตรภาคินัย” ผู้เข้ามาใหม่เอ่ยทักราวกับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับเจ้าของห้อง ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคบพบหน้าคร่าตากันมาก่อนด้วยซ้ำ สารวัตรหนุ่มใช้สายตาคมกริบมองคนทั้งคู่อย่างพินิจพิจารณาตามนิสัยของตำรวจ ก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชิญให้นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “สวัสดีครับ เท่าที่ผมจำได้ เราไม่เคยมีเรื่องติดต่อหรือทำงานร่วมกันมาก่อนนี่ครับ” เอ่ยทักทายด้วยเสียงสุภาพพลางมองหน้าแขกทั้งสองนิ่งแน่วด้วยความสงสัย  “ก่อนหน้านี้ไม่ครับ แต่วันนี้มีแน่” ตอบอย่างมีเลศนัย จนคนฟังต้องขมวดคิ้วมุ่น แต่เขารู้สึกว่าภายใต้น้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพนั้นมันดูไม่ชอบมาพากล “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เข้าเรื่องของคุณเลยดีกว่า” สารวัตรภาคินัยเปิดประเด็นทันที เพราะเขาไม่ชอบการชักแม่น้ำทั้งห้า มันพลอยทำให้เสียเวลาอันมีค่าซะเปล่าๆ “นายของผมต้องการของที่สารวัตรได้มาเมื่อสามวันก่อนคืน” ชายหน้าเหี้ยมมองสารวัตรหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แล้วเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องการ “ของพวกนั้นมันเป็นของผิดกฏหมาย ผมคงจะคืนให้ไม่ได้” สารวัตรหนุ่มปฏิเสธเสียงเข้ม จนคนที่รอฟังคำตอบหันมาสบตากันด้วยความไม่พอใจ แต่ก็พยายามระงับอารมณ์ไว้อย่างสุดความสามารถ “อย่าเพิ่งปฏิเสธสิครับสารวัตร ดูนี่ซะก่อน” ยังคงปั้นเสียงให้ฟังดูสุภาพ เจ้าของหน้าเหลี่ยมๆ แสยะยิ้มให้สารวัตรหนุ่ม ก่อนจะยกกระเป๋าสีดำใบเขื่องขึ้นมาวางตรงหน้า จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาทำให้สารวัตรภาคินัยรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคนกำลังจะเสนออะไรให้แก่ตน “คงไม่จำเป็นหรอกมั้งครับ” บอกเสียงเรียบ แล้วเลิกสนใจกระเป๋าสีดำใบนั้น เพราะไม่คิดว่ามันจะมีความสำคัญอะไรกับเขา “สารวัตรจะไม่เปิดดูของฝากจากนายผมก่อนเหรอครับ เผื่อจะเปลี่ยนใจ” หนึ่งในสองยังคงตื้อให้สารวัตรภาคินัยเปลี่ยนใจยอมรับในข้อเสนอของตน เพราะนายสั่งมาว่างานจะต้องสำเร็จเท่านั้น ลูกค้าจะต้องได้รับของตามวันและเวลาที่นัดหมายไว้ “ไม่ล่ะ ฝากไปบอกเจ้านายของพวกคุณด้วยนะ ผมทำงานอยู่บนความถูกต้องและเถรตรง ไม่ชอบเป็นสุนัขรับใช้ให้ใคร” สารวัตรหนุ่มเหยียดยิ้มที่มุมปาก พร้อมย้ำในความตั้งใจของตน ท้ายประโยคไม่วายฝากข้อความกวนๆ ไปหาคนเป็นเจ้านายของผู้ชายทั้งสองให้ได้เจ็บใจเล่น “เหรอครับ งั้นสารวัตรก็ควรระวังตัวให้ดี เพราะอาจจะตายอย่างหมาข้างถนนก็ได้” ดวงตาดุดันจ้องใบหน้าของสารวัตรภาคินัยด้วยความไม่พอใจ ก่อนเสียงเหี้ยมจะข่มขู่อย่างกลายๆ แต่คนอย่างสารวัตรภาคินัยหาได้กลัวกับคำขู่นั้นไม่ ซ้ำยังส่งยิ้มยั่วยุอารมณ์ให้คนทั้งคู่ “งั้นก็เชิญคุณสองคนออกไปจากห้องทำงานผมได้แล้ว ก่อนที่จะโดนตั้งข้อหาติดสินบนและขมขู่เจ้าพนักงาน” น้ำเสียงฟังดูสุภาพทว่าดุดันในที นัยน์ตากร้าวกระด้างมองที่ชายทั้งคู่อย่างท้าทาย ซึ่งกริยาถือดีของสารวัตรหนุ่มทำให้ชายหน้าเหี้ยมพากันกำหมัดกัดฟันแน่น “แล้วสารวัตรจะเสียใจ ที่ปฏิเสธข้อเสนอของเรา” หนึ่งในสองเอ่ยกับเจ้าของห้องด้วยท่าทางคุกคาม ก่อนจะเปิดประตูเดินจากไป สารวัตรหนุ่มไม่จำเป็นต้องถาม ว่าเจ้านายของชายที่มายื่นข้อเสนออันน่าสะอิดสะเอียนให้เขาเมื่อสักครู่นี้เป็นใคร เพราะรู้ดีว่าของล็อตใหญ่ที่ตนและลูกน้องเพิ่งซ้อนแผนจับและยึดเอาของกลางมาได้ เป็นของแก๊งยากูซ่าเอโดะของญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นคนที่มาเจรจากับเขาก็ต้องเป็นคนของมาซาโตะ เอโดะ อย่างแน่นอน  เดี๋ยวนี้ยากูซ่าแก๊งนี้ชักจะเหิมเกริมขึ้นทุกวัน ซ้ำร้ายตอนนี้ลูกชายของมัน ไอ้อันธพาลตัวพ่อของญี่ปุ่น กำลังคุกคามครอบครัวของพี่ชายเขาอยู่ มันอ้างว่าชอบหลานสาวของเขา แต่สารสัตรหนุ่มก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง มันน่าจะมีตื้นลึกหนาบางหรืออะไรแอบแฝงจากการกระทำมากกว่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาจะต้องรู้ให้ได้ในเร็ววัน  ร่างท้วมของจ่าสมหมายลุกขึ้นยืนตัวตรงทำความเคารพทันที เมื่อเห็นว่าร่างผึ่งผายของสารวัตรภาคินัย มาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของตน  “จ่า บ่ายนี้ผมจะไม่อยู่นะ” ภาคินัยบอกผู้ใต้บังคับบัญชาเสียงเข้ม “ครับผม” จ่าสมหมายรับคำด้วยน้ำเสียงแข็งขัน ก่อนจะตะเบ๊ะท่าทำความเคารพอีกครั้ง เมื่อสารวัตรหนุ่มก้าวขาผ่านหน้าโต๊ะทำงานของตนไป รถโฟร์วีลสมรรถนะสูงของสารวัตรภาคินัยมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา เขาต้องไปดูพื้นที่คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว เพื่อจำลองภาพเหตุการณ์ว่าเป็นไปตามที่จำเลยได้ให้การไว้หรือไม่ ขับรถออกมาจนเกือบจะถึงที่หมายก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล จากสัญชาตญาณของตำรวจมือดีทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามีคนสะกดรอยตามตนมา และยิ่งแน่ใจมากขึ้นเมื่อชะลอให้แซงแต่รถคันดังกล่าวกลับไม่แซง มือหนาหยิบปืนออกจากเอวเพรียวมากำไว้แน่น ทันใดนั้นรถคันข้างหลังก็เหยียบคันเร่งขึ้นมาตีคู่ ก่อนจะมีเสียงปืนรัวกระหน่ำใส่รถเขาไม่ยั้ง ปังๆๆๆๆ… สารวัตรภาคินัยยกปืนขึ้นยิงตอบโต้คู่ต่อสู้เช่นกัน เสียงปืนยังดังสนั่นไปตามความยาวของถนนอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่บริเวณนี้ไม่ใช่เขตชุมชน เพราะไม่งั้นคงจะมีประชาชนตาดำๆ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนจากน้ำมือคนชั่วพวกนี้เป็นแน่ หรือคิดอีกทีก็อาจจะเป็นโชคดีของเขา หากเป็นเขตชุมชนเขาก็คงจะเร่งความเร็วแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นเป้านิ่ง ง่ายต่อการสังหารของพวกคนเลว  ภาคินัยจำได้ดีว่าหนึ่งในสามของคนร้ายที่อยู่ในรถคือคนที่มาเจรจาต่อรองกับตนเมื่อเช้านี้ พอตาคมกริบชำเลืองกลับไปมองยังถนนเบื้องหน้าอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าอีกหนึ่งร้อยเมตรจะเป็นทางโค้ง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจขับรถของตนเข้าเบียดรถของคนร้าย ส่งแรงเหวี่ยงให้รถคันนั้นเสียการควบคุม ส่วนรถของเขาก็หักหลบมาอีกทางและชะลอความเร็วลง เมื่อเห็นว่าข้างหน้าตนคือทางโค้ง แต่ดันไม่สามารถเหยียบเบรคชะลอความเร็วเพื่อจะเข้าโค้งได้ทัน ชายทั้งสามก็เบิกตาโพลง ใบหน้าที่เคยดุดันแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไร้สีเลือดฉับพลัน  เอี๊ยด!!! โครม!!! เสียงเหยีบเบรคดังสนั่นหวั่นไหว แต่ถึงจะเบรคจนตัวโก่งอย่างไรก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งอะไรได้ในวินาทีนั้น รถของผู้ร้ายทั้งสามแหกโค้ง เสียหลักตกลงไปข้างทาง ที่บริเวณนั้นมีลักษณะเป็นความลาดชันเหมือนกับหน้าผาลูกย่อมๆ พอดี จากนั้นไม่นานก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนจะมีควันผสมกับเปลวไฟลอยโขมงขึ้นมา  “คนอย่างพวกแกพบจุดจบแบบนี้ก็ดีแล้ว แผ่นดินไทยจะได้สูงขึ้น” พึมพำอยู่คนเดียว  สารวัตรภาคินัยลงมายืนมองรถของคนร้ายด้วยแววตาเฉยชาไร้อารมณ์ จนเวลาผ่านไปสักระยะเขาถึงต่อสายประสานไปยังหน่วยกู้ภัยให้มาดูที่เกิดเหตุ จากนั้นก็ก้าวขาขึ้นรถที่จอดขวางทางการจราจรอยู่ หักพวงมาลัยกลับเข้าสู่วิถีของท้องถนน มุ่งตรงไปยังจุดหมายที่ตนได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนแรก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD