หรือพระพรหมจะลิขิต (100%)

2026 Words
“พ่อจะไม่ลองชิมฝีมือมณีหน่อยเหรอคะ” มณีญาเอ่ยถามบิดาเบาๆ พร้อมทำท่าชูกล่องยำผักบุ้งกรอบที่เธออุตส่าห์ไปหัดทำกับป้าแม่บ้านอย่างสุดฝีมือให้ดู “ไม่ล่ะลูก บอกตรงๆ พ่อกลัวท้องเสีย” คนถูกชักชวนส่ายหน้าปฏิเสธ ท้ายประโยคไม่วายเย้าแหย่ลูกสาวด้วยท่าทางอารมณ์ดี “พ่อน่ะ มณีงอนแล้วนะ” มณีญาทำเป็นหน้าบึ้งใส่บิดา ทั้งที่จริงแล้วเธอไม่ได้โกรธเคืองที่พ่อพูดจากระเซ้าเย้าแหย่เลยสักนิด “เฮ้ย…พ่อแค่ล้อเล่นนะยัยตัวแสบ” นายภาฤทธิ์เห็นมณีญาทำแก้มป่อง สะบัดหน้างอง้ำให้ ก็รีบเอ่ยแก้ตัวกับลูกสาวทันที “ไม่รู้ล่ะ มณีงอนพ่อแล้ว” คนมีแผนการเจ้าเล่ห์อยู่ในใจแสร้งทำเป็นยอมรับว่าตนกำลังงอนบิดาจริงๆ แอบหลบซ่อนแววตาแพรวพราวเอาไว้ใต้แว่นหนา “อ้าว…แล้วผมต้องทำยังไงล่ะคุณ ลูกสาวเราถึงจะหายงอน” ดูท่าว่าลูกสาวจะไม่หายเคืองตนง่ายๆ คนไม่รู้จะทำยังไงจึงต้องหันไปปรึกษาภรรยาสุดที่รัก หาทางออกให้กับตัวเอง หารู้ไม่ว่าตนได้หลงกลลูกสาวเข้าแล้ว “ถ้าพ่ออยากให้มณีหายงอน พ่อต้องไปดูต้นทางให้เราสองคน เผื่อหมอมาแม่จะได้ไม่โดนดุที่แอบกินอาหารรสจัด” มณีญาไม่รอให้พ่อคิดหาวิธีมางอนง้อ แต่บอกในสิ่งที่พ่อจะต้องทำเป็นการตอบแทนซะเอง “โอ้…ที่แท้ก็มีแผนจะหลอกใช้พ่อนี่เอง ยัยตัวแสบ” เห็นแววเจ้าเล่ห์ถึงกับยิ้มด้วยความขบขัน ลูกสาวของเขายังซุกซนเป็นเด็กๆ ไม่เคยเปลี่ยน “แล้วพ่อจะทำเพื่อสุดสวยทั้งสองได้ไหมล่ะคะ” เลิกคิ้วถามบิดาด้วยรอยยิ้มหวาน แล้วมีหรือคนรักลูกรักเมียจะกล้าปฏิเสธการขอร้องแกมบังคับของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน “ได้อยู่แล้วครับคนสวย” คำตอบของคุณพ่อที่ยังคงเค้าความหล่อทำเอาสองสาวถึงกับมองหน้ากันยิ้มๆ “งั้นก็ขออันเชิญคุณภาฤทธิ์สุดหล่อ ไปเฝ้าหน้าประตูระหว่างที่เราสองคนแม่ลูกกำลังโซ้ยของอร่อยด่วนเลยเจ้าค่ะ” มณีญาพูดกลั้วหัวเราะ แล้วผายมือไปทางประตู “ฮ่าๆๆ ครับๆ ได้ครับคุณลูก” เสียงหัวเราะดังลั่น ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะทำตามความต้องการของลูกโดยการลากเก้าอี้ไปนั่งเฝ้าประตูดูต้นทาง เมื่อสองแม่ลูกเห็นว่าทางสะดวกจึงลงมือทานอาหารเช้าด้วยความสุข ทานกันไปก็พูดคุยกันไปด้วยท่าทางกระหนุงกระหนิงน่ารัก จนคนที่โดนไล่ให้มาเป็นยามต้องคลี่ยิ้มออกมาอย่างสุขใจ อึดใจต่อมาเขาก็รู้สึกปวดท้องอยากจะเข้าห้องน้ำ “มณีพ่อไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะลูก” บอกลูกสาวก่อนจะลุกจากเก้าอี้เร็วไว  “ว้า…ยามเฝ้าประตูเราไม่อยู่แล้วค่ะแม่ แบบนี้เราต้องเร่งทำเวลาแล้วล่ะค่ะ ก่อนที่หมอจะโผล่มาตอนที่เรากำลังเอายำรสแซ่บเข้าปาก” ทำเสียงเหมือนเสียดายที่พ่อจะไม่อยู่ประจำการเฝ้ายาม หันมาชักชวนให้แม่เร่งมือจัดการกับอาหารตรงหน้า ก่อนที่จะโดนหมอจับได้ แอ๊ด!!! เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้มณีญาและนางวาสนาถึงกับพากันสะดุ้งโหยง สองสาวต่างวัยหันขวับไปมองที่ประตูโดยไม่ได้นัดหมาย “อุ๊ย…สวัสดีค่ะลุงหมอ” มณีญาอุทานด้วยท่าทางตื่นๆ รีบเอากระปุกยำผักบุ้งกรอบลงไปซุกซ่อนในตะกร้าพัลวัน พร้อมกันนั้นก็เอ่ยทักทายคุณหมออย่างเป็นกันเอง “สวัสดีหลาน ไม่เจอกันนานเลยนะเรา” ภาคิน อัศวโพคิน หมอวัยใกล้เกษียณเอ่ยทักหลานสาวด้วยรอยยิ้ม สายตาคนแก่มองมณีญาอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะทั้งสองไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว  “ค่ะ มณีไม่ค่อยได้ไปแถวรามอินทรา เลยไม่ได้แวะเข้าไปเยี่ยม คุณป้าสบายดีหรือเปล่าค่ะ”  “สบายดีลูก” นายแพทย์ผู้มากความสามารถตอบคำถามหลานสาวเสียงทุ้ม ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดเมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคย เพราะภรรยาของเขาก็ชอบกินยำผักบุ้งกรอบเช่นเดียวกับน้องสะใภ้ “เอ๊ะ…กลิ่นทะแม่งๆ เหมือนยำผักบุ้งกรอบเลย แอบเอายำผักบุ้งกรอบมาให้คนป่วยกินหรือเปล่าเนี่ย” สูดจมูกดมกลิ่นให้แน่ใจ แล้วหรี่ตามองมณีญาราวกับจะจับผิด “ไม่มี๊! ไม่มี ลุงหมอเอาอะไรมาพูด นั่นมันกลิ่นขนมรสยำแซ่บที่มณีซื้อมากินต่างหากล่ะคะ” ตัวแสบรีบปฏิเสธเสียงสูงกลบเกลื่อนความจริง ทำท่าทางหน้าซื่อตาใสประกอบคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ   “ขนมยี่ห้อนี้มันคงจะเหมือนยำมากสินะ ถึงได้ติดอยู่ที่มุมปากเรา” หมอยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก แอบขันที่หลานสาวยังคงมีแววซุกซนเหมือนเด็ก ฉลาดที่จะเอาตัวรอดได้ตลอด “ค่ะ แหะ แหะ” หญิงสาวรีบตวัดลิ้นเลียแผล่บเข้าปาก ก่อนจะหัวเราแหะๆ ยิ้มแหยๆ หน้างามแดงก่ำอายที่พูดปดแบบซึ่งๆ หน้า “เป็นไงบ้างวันนี้ คนป่วยมีอาการผิดปกติอะไรไหม” คุณหมอเลิกสนใจหลานสาวมากเล่ห์ หันมาถามคนป่วยถึงอาการทั่วไปที่ปรากฏ “ไม่มีแล้วค่ะ” นางวาสนาส่ายหน้าบอกพี่ชายของสามี “งั้นผมขอตรวจหน่อยนะ” หมอเอ่ยขออนุญาตคนไข้ ก่อนจะวัดชีพจรผู้ป่วยแล้วฟังอัตราการเต้นของหัวใจ ประกอบกับดูผลเลือดที่พยาบาลเอามาให้ “อ้าว พี่หวัดดีครับ” คนที่เพิ่งออกมาจากไปปลดทุกข์ในห้องน้ำเอ่ยทักพี่ชายเสียงทุ้ม “อืม…หวัดดี” คุณหมอภาคินเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือแล้วทักทายน้องชายกลับ จากนั้นก็ก้มลงไปเปิดดูผลการตรวจรักษาย้อนหลัง “อาการเมียผมเป็นไงบ้างครับพี่ ใกล้จะกลับบ้านได้หรือยัง?” นายภาฤทธิ์เดินเข้ามาถามไถ่ถึงอาการของนางวาสนา เห็นเมียบ่นอยากกลับบ้านทุกวันเขาก็อดที่จะสงสารและเห็นใจไม่ได้ “อืม…พรุ่งนี้ก็น่าจะกลับได้แล้ว เพราะระดับน้ำตาลในเลือดก็ปกติดี ความดันเป็นที่น่าพอใจ แถมไตยังไม่ขับโปรตีนออกมาอีก” เปิดดูผลการตรวจปัสสาวะและผลเลือดของเมื่อวานนี้ แล้วตอบคำถามน้องชาย โดยอ้างอิงการวินิจฉัยจากทางห้องปฏิบัติการ คำตอบของหมอทำให้ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกถึงกับส่งยิ้มให้แก่กันด้วยความยินดี มณีญายังคงอยู่กับพ่อและแม่ที่โรงพยาบาลจนพลบค่ำ เมื่อคิดว่าสมควรแก่เวลาก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจ เก็บของลงตะกร้าเตรียมตัวกลับบ้าน เสร็จก็หันมาพูดกับบุพการีทั้งสอง “พ่อขา แม่ขา มณีจะกลับแล้วนะคะ” มณีญาเห็นว่าตนคงไม่สามารถที่จะอ้อยอิ่งอยู่กับพ่อและแม่ต่อไปแล้ว จึงเอ่ยกับท่านทั้งสองเสียงอ่อย “ไปเถอะลูกค่ำแล้ว เดี๋ยวรถจะติดกว่าจะถึงบ้าน” นางวาสนามองหน้าลูกสาวเหมือนจะร้องไห้ กลั้นใจพูดแต่ยังไม่วายเสียงสั่ง “คืนนี้อย่านอนดึกนะลูก พรุ่งนี้ต้องไปขึ้นเครื่องแต่เช้า” คนป่วยเอ่ยเตือนลูกสาวเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามณีญาไม่เคยลืมเวลา แต่นางก็อยากจะทำหน้าที่แม่เป็นครั้งสุดท้าย เพราะไม่รู้ว่าจะได้พูดอย่างนี้กับลูกสาวอีกทีเมื่อไหร่ “ค่ะแม่” มณีญาพยักหน้าหงึกหงัก มองแม่กับพ่อตาละห้อย อุตส่าห์คิดว่าตัวเองจะได้อยู่ไทยดูแลท่านทั้งสองตลอดไป แต่ที่ไหนได้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับพลิกผัน ทำให้ต้องระเห็จไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองอีกครั้ง แถมไปครั้งนี้ยังเป็นการไปแบบลับๆ อีก “แม่ไม่อยากให้มณีไปเลย ไปอยู่คนเดียวแล้วใครจะดูแล แล้วเวลาป่วยใครจะพาไปหาหมอ” นางวาสนาพร่ำพรรณาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “แม่ขา อย่าคิดมากสิคะ มณีโตแล้วนะคะ” มณีญาสวมกอดร่างอวบอิ่มของมารดา แล้วเอ่ยปลอบคนที่กำลังน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ “แม่รู้ลูก แต่แม่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี” นางกอดลูกสาวแน่น ไม่อยากจะคลายอ้อมกอด ไม่อยากจะปล่อยให้ผู้เป็นดั่งดวงใจจากไป ปากก็พร่ำบอกเป็นห่วงไม่หยุดหย่อน “อย่ากังวลไปเลยค่ะ หากเกิดอะไรขึ้นมณีก็ยังมียัยแก้มอยู่นะคะ อย่าลืมสิคะ” ปั้นยิ้มให้มารดาเกิดความโล่งใจ โดยยกเอาเพื่อนรักมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งบิดาและมารดาก็รู้ดีว่าตระกูลของสามีของเพื่อนรักมีอิทธิพลมากแค่ไหน “พรุ่งนี้เช้าพ่อกับแม่คงไม่ได้ไปส่งหนูที่สนามบินนะลูก เพราะกว่าแม่เขาจะออกจากโรงพยาบาลก็คงจะประมาณเที่ยง” ผู้เป็นพ่อบอกลูกสาวเบาๆ ใจจริงเขาอยากจะไปส่งลูก จนกว่าจะเห็นเธอเดินไปขึ้นเครื่องอย่างเช่นทุกครั้ง แต่ก็ทำไม่ได้อย่างใจคิด เพราะติดที่ไม่กล้าทิ้งภรรยาให้นอนอยู่ที่โรงพยาบาลคนเดียว “ไม่เป็นไรค่ะ มณีไปเองได้ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” มณีญาเข้าใจในเหตุผลอันจำเป็นของพ่อ จึงไม่คิดที่จะคาดหวังว่าท่านจะไปส่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “ไปอยู่คนเดียวดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” นางวาสนาเป็นห่วงมณีญาอย่างสุดหัวใจ หัวใจผู้เป็นแม่แทบขาดรอนๆ หากลูกสาวของนางจะจากไปทำงานอย่างเช่นเมื่อห้าปีก่อน นางคงจะไม่ห่วงมากมายขนาดนี้ แต่นี่มันไม่ต่างอะไรกับการไปลี้ภัย “ค่ะแม่” ไม่เกี่ยงงอนที่จะรับทุกคำของแม่ ไม่ว่านางวาสนาต้องการให้ทำอะไรมณีญาก็พร้อมที่จะน้อมรับทั้งนั้น หากนั่นมันจะเป็นหนทางให้คนป่วยสบายใจ “พ่อขอให้มณีได้เข้าไปทำงานกับองค์การนาซ่านะลูก” นายภาฤทธิ์กอดลูกสาวสุดที่รักไว้แนบอก พร้อมอวยพรให้ลูกได้ในสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา “ขอบคุณมากค่ะพ่อ” เสียงหวานของคนที่ซบอยู่กับอกอุ่นฟังดูอู้อี้ หญิงสาวหวังในใจลึกๆ ว่าตัวเองจะได้งานเฉกเช่นคำอวยพร เพราะถ้าได้ทำงานที่นั่นพวกอันธพาลก็จะไม่สามารถตามราวีเธอได้ “ถ้าไปถึงฝรั่งเศสแล้ว อย่าลืมโทรมาบอกพ่อกับแม่ด้วยนะลูก” นางวาสนาบอกลูกสาวเสียงละห้อย เตือนให้ลูกทำอย่างเช่นทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปไกลบ้าน “ค่ะ พ่อกับแม่รักษาสุขภาพด้วยนะคะ มณีเป็นห่วง” เอ่ยกับผู้ให้กำเนิดทั้งสองด้วยความเป็นห่วงไม่ต่างกัน ทั้งที่ท่านทั้งสองก็แก่แล้ว แทนที่ลูกสาวอย่างเธอจะได้อยู่ดูแล “จ้ะลูก หนูก็เหมือนกันนะลูก” พยายามที่จะทำใจปล่อยลูกสาวไป เพราะถ้านางแสดงท่าทางร้องห่มร้องไห้มณีญาจะต้องไม่สบายใจเป็นแน่ “ค่ะแม่ มาให้คนสวยกอดทีนึง” สาวน้อยจอมอัจฉริยะรับคำอย่างหนักแน่น พูดจบก็ตรงเข้าไปกอดและหอมแก้มที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาของนางวาสนา จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับผู้เป็นพ่อ ฟอด!!! “มณีไปแล้วนะคะ” หญิงสาวมองหน้าพ่อกับแม่นิ่งนาน แล้วกลั้นใจกล่าวอำลาเสียงใส แสร้งปั้นหน้าให้ยิ้มแย้มเข้าไว้ ทั้งที่ในใจอยากจะร้องไห้โฮ มณีญาน้อยใจให้กับโชคชะตาของตัวเองยิ่งนัก ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ดลบันดาลความซวยลงมาให้กับเธอไม่หยุดหย่อน “เดินทางปลอดภัยนะลูก” สองสามีภรรยาอวยพรให้บุตรสาวเสียงสั่นเครือ   จากนั้นมณีญาก็ขับรถกลับบ้านด้วยความกังวลใจ ได้แต่ภาวนาว่าถ้าเธอไปจากไทยแล้ว พวกยากูซ่าจะไม่มาตามรังควานพ่อกับแม่ของเธออีก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD