ณ ภูเขาสูงแห่งหนึ่ง มีสองผู้เฒ่าซึ่งเป็นสามีภรรยากัน กำลังเดินหาของป่าและสมุนไพรเพื่อนำไปขายในตัวเมือง
“ยายเฒ่ากลับกันเถิด” เสียงชายชราที่อยู่ไม่ไกลดังลอยมาตามลม
หญิงชราที่กำลังเก็บผักป่าอยู่ก็เห็นด้วยกับผู้เป็นสามี เพราะถ้าช้ากว่านี้จะมืดค่ำเสียก่อน “อืม ไปกันเถิด”
สองสามีภรรยาผู้เฒ่าเดินเคียงข้างกันลงจากเขา บนหลังมีตะกร้าใส่ผักป่าและสมุนไพรที่หาได้ทั่วไป
อุ๊แว๊ อุ๊แว๊~
หญิงชราชะงักฝีเท้าเมื่อนางได้ยินเสียงของเด็กร้องดังมาให้ได้ยิน
“เป็นอันใดไปยายเฒ่า” ชายชราผู้เป็นสามีเมื่อเห็นว่าภรรยาของตนไม่ขยับเดินตามมาเสียทีก็ถามขึ้น
“ตาเฒ่า เจ้าไม่ได้ยินเสียงอันใดหรือ”
“เสียงอันใดของเจ้า อยู่ในป่าในเขาเจ้าอย่าพูดเช่นนี้” ว่าแล้วก็ขนลุกซู่
“ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงเสียงเด็กร้อง” นางรีบบอกสามีก่อนที่เขาจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
“ข้าไม่เห็นจะได้ยินเสียงอันใดเลย”
“เช่นนั้นหรือ” หญิงชราถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ เจ้าหูแว่วหรือเปล่ายายเฒ่า ไปๆ รีบลงเขากันเถิดเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน”
“ไปๆ”
แต่ก้าวขาได้เพียงคนละก้าวเท่านั้น
อุ๊แว๊ อุ๊แว๊~
สองสามีภรรยาผู้เฒ่าหันมองหน้ากัน นั่นแปลว่าทั้งคู่ได้ยินเสียงร้องพร้อมกัน
“เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่ๆ ข้าได้ยินแล้ว”
“ข้าว่าเราลองเดินไปดูดีหรือไม่” เพราะตอนนี้เสียงร้องดังขึ้นอีกแล้ว
“ข้าว่า...” ชายชราตั้งใจจะห้ามภรรยาตน
“ถ้าเจ้าไม่อยากไปก็ยืนรออยู่ตรงนี้ ข้าไปเอง” หญิงชราไม่ฟังคำห้าม เดินไปทางที่ได้ยินเสียงร้อง
ชายชรายืนถอนหายใจให้กับความเอาแต่ใจของยายเฒ่า ตั้งแต่สมัยยังสาวจนตอนนี้ผมขาวแล้วก็ยังเอาแต่ใจตนเอง แล้วเขาจะทำอันใดได้ นอกจากเดินตามนางไป
หญิงชราเดินจนมาถึงต้นกำเนิดของเสียงร้อง ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้นางพูดไม่ออก เด็กน้อยตัวแดงๆ ผิวยับย่น อยู่ในห่อผ้าเก่าๆ ที่ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น นางไม่สามารถทนดูต่อไปได้ รีบเดินไวๆ เข้าไปหาเด็กน้อย
นางอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา มืดก็ปัดมดที่กัดตามตัวไปด้วย “ตาเฒ่า” เงยหน้าขึ้นเห็นสามีเดินเข้ามาจึงเอ่ยเรียก
“เด็กคนนี้”
“เสียงร้องที่ได้ยินมาจากเด็กคนนี้ เจ้าดูสิตาเฒ่า ใครช่างเอาเด็กมาวางทิ้งไว้ที่นี่” เอ่ยไปแล้วก็ยิ่งสงสารเด็กน้อง นางกับสามีแต่งงานอยู่กินกันมาหลายสิบปี แต่กลับไม่มีลูกด้วยแม้แต่คนเดียว ส่วนคนที่มีลูกได้กลับทิ้งลูกไว้เช่นนี้ ช่างใจร้ายยิ่ง เมื่อได้อุ้มเด็กทารกคนนี้ก็รู้สึกอยากจะเอากลับไปเลี้ยงเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ยังเล็กยิ่งนัก” ชายชราเอ่ย เขาเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ดูผิวที่ยับย่นแล้ว คงจะเกิดได้เพียงไม่นาน
“เราเอานางไปเลี้ยงได้หรือไม่”
“แล้วถ้าพ่อแม่ของเจ้าหนูมาตามหาแล้วไม่เจอ พวกเขาจะทำอย่างไร” เขารู้ว่าความฝันของภรรยาคือการมีลูก แต่พวกเขาก็จนปัญหาเพราะไม่ว่าจะพยายามอย่างไร เขากับภรรยาก็ไม่มีลูกสักที จนตอนนี้ก็อยู่กันเพียงสองตายาย
“ถ้าคนพวกนั้นต้องการเด็กน้อย คงไม่วางทิ้งไว้เช่นนี้หรอก” นางแย้งขึ้น
ชายชราคิดตามแล้วก็เห็นด้วยกับภรรยา ถ้าเขากับภรรยาไม่ได้ขึ้นเขามา ไม่รู้ว่าชะตากรรมของเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร จุดที่โดนมดกัดก็ขึ้นรอยแดงๆ แล้ว
“เช่นนั้นก็พาเด็กน้อยกลับบ้านเรากันเถิด”
“ขอบใจเจ้า” หญิงชราดีใจเป็นอย่างมาก ถ้าวันหนึ่งครอบครัวของเด็กคนนี้มาตามหา นางก็พร้อมที่จะส่งคืน แต่ตอนนี้ขอให้นางได้เลี้ยงดูให้ได้มีชีวิตรอดก่อนก็แล้วกัน
“อุ๊แว๊ อุ๊แว๊”
“ไม่ร้องนะๆ เดี๋ยวยายจะพาเจ้าไปกินนม”
สองผู้เฒ่ากับหนึ่งเด็กทารกเดินลงมาจากเขา ระหว่างทางก็เดินสวนกับชาวบ้าน พวกเขาทำแค่เพียงมองด้วยความสงสัยเท่านั้น ไม่ได้เข้ามาซักถามอันใด เพราะแค่เรื่องของตนเองก็เหนื่อยจะแย่แล้ว จะเอาเรื่องของผู้อื่นมาทำให้เหนื่อยอีกทำไม
เมื่อกลับมาถึงบ้านดินหลังน้อย ชายชราก็นำตะกร้าของตนที่ใส่สมุนไพรและของภรรยาที่ใส่ผักป่าไปวางบนแคร่
“ยายเฒ่าเจ้าพาเด็กน้อยไปอาบน้ำ และพาไปบ้านสะใภ้จูเถิด สะใภ้จูเพิ่งคลอดบุตร นางคงมีน้ำนมให้เจ้าหนูนี้กิน เจ้าพานางไปกินสักหน่อยแล้วให้ค่าน้ำนมกับนาง” ชายชราหันมาบอกภรรยาที่นั่งอุ้มเด็กน้อยไม่ปล่อย เจ้าหนูก็เหมือนจะรู้ความไม่ร้องไห้งอแงเลยแม่แต่น้อย
“ได้ๆ กลับมาข้าจะทำกับข้าวให้เจ้า”
หญิงชราเดินมาที่โอ่งใส่น้ำหลังบ้าน ตักน้ำใส่ถังนำผ้ามาชุบน้ำและเช็ดตามตัวให้กับเด็กน้อย
“ไอหยา เจ้าเป็นสตรีหรือนี่” หญิงชรายิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ ใครกันช่างใจร้ายพาเด็กทารกมาทิ้งไว้ในป่า “เป็นอย่างไรสบายตัวหรือไม่” เด็กน้อยจ้องตาแป๋วมองหญิงชราตรงหน้า
การได้อาบน้ำให้เด็กตัวเล็กๆ มันรู้สึกดีเช่นนี้นี่เอง เด็กน้อยก็ดูจะชอบใจเช่นกัน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว หญิงชราก็อุ้มเด็กน้อยไปบ้านของสะใภ้จู
“กลับมาแล้วหรือยายเฒ่า” ชายชราที่นั่งล้างผักอยู่ เงยหน้าขึ้นมาเห็นภรรยาของตนเข้าพอดี
“อืม สงสัยแม่หนูน้อยจะหิวน่าดู” ตอนที่ได้กินนม แม่หนูน้อยกินไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว “สะใภ้จูยังให้เสื้อผ้าเด็กมาด้วยนะตาเฒ่า”
“ดีแล้วๆ ข้าอุ่นกับข้าวที่เหลือไว้แล้ว เจ้าไม่ต้องทำอันใดแล้ว มากินข้าวกันเถิด” ชายชราลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปนั่งบนแคร่
ตอนนี้บนแคร่ไม่ได้มีเพียงแค่สองสามีภรรยาเท่านั้น แต่ยังมีเด็กตัวเล็กๆ นอนหลับอย่างสบายใจอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน
“ตาเฒ่า ข้าคิดว่าข้าจะเลี้ยงแม่หนูคนนี้” หญิงชราบอกความคิดของตนให้ผู้เป็นสามีรับรู้
“แล้วถ้าครอบครัวนางมาตามหานางล่ะ”
“ถ้ามีคนมาตามหา ถึงเวลานั้นข้าก็จะส่งนางคืน แต่คนดีๆ ที่ไหน จะปล่อยให้ลูกของตนเองนอนในป่าเพียงลำพัง ทั้งยังโดนมดกัดอีก” ถ้านางกับสามีไม่ไปเจอ คงได้กลายเป็นอาหารของสัตว์เป็นแน่
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
“วันข้างหน้าถ้าไม่มีใครมาตามหานาง ข้าจะรับนางเข้าตระกูล เอาชื่อนางเข้าหนังสือตระกูล”
“เจ้าอยากทำอันใดก็ทำเถิด” เขาย่อมตามใจภรรยาอยู่แล้ว
“ข้าตั้งชื่อให้นางแล้วด้วยนะ” กินข้าวไป นั่งมองเด็กน้อยตัวเล็กไป ช่างมีความสุขเสียจริง
“ชื่ออันใดเล่า” ชายชราไม่ห้ามในสิ่งที่ภรรยาจะทำ เพราะเขาก็อยากมีลูกเช่นกัน
“เป่าเปา” เป่าเปาที่แปลว่าที่รัก นางอยากให้เด็กน้อยคนนี้เติบโตขึ้นมาเป็นที่รักของทุกคน
“เป็นชื่อที่ดี”