บที่ 6เข้าอำเภอ

2269 Words
[ภารกิจที่ 35 : ขายคูปองรับ 200 แต้ม] เฉินเฟิ่นอี้ที่กำลังหุงข้าวทำอาหารเช้าให้คนในบ้านสะดุ้งเมื่อกระดานใสปรากฏตรงหน้า เหลือบมองเฉินเหม่ยเย่ที่คนหม้อน้ำซุปผักอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจ วันนี้โรงเรียนในตำบลปิดการเรียนการสอนหลังจากสอบเสร็จแล้ว อีกสามวันจะมีการสอบเทียบ และเปิดโรงเรียนอีกครั้งคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้พร้อมโรงเรียนในอำเภอ ระหว่างนี้เด็กๆ ในบ้านก็ต้องออกไปทำงานเก็บแต้มในแปลงนาช่วยผู้ใหญ่ แต่จะมีการสอบเทียบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงกันว่าไม่ต้องช่วยงานในแปลงนา เอาเรื่องเรียนไว้ก่อนซึ่งเธอก็เห็นด้วย การสอบแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแต่เธอจะได้เปรียบคนอื่นบ้างเรื่องที่ไม่ใช่คนในโลกใบนี้ ผู้ใหญ่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืด อาหารมื้อเช้าที่เฉินเฟิ่นอี้ทำไว้ให้ก็คือคะน้าผัดไข่ไก่ ส่วนของพวกเธอก็เพิ่งจะมาทำเพราะเฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าหากทำเยอะจะเสร็จไม่ทันทุกคน “เหม่ยเย่เธอไปเรียกเฉินตงมาหาพี่หน่อย” เฉินเฟิ่นอี้บอกน้องสาว เธอกำลังทำอาหารอยู่หากไปเองกลัวว่ามันจะไหม้เอาได้ “ได้ค่ะ” เฉินเหม่ยเย่เดินออกจากครัวเพื่อไปเรียกเฉินตงที่คงอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน เฉินเฟิ่นอี้จึงใช้โอกาสนี้ลอบสอบถามระบบที่ไม่ค่อยจะตอบเธอ จริงๆ หากเธอเรียก มันก็จะตอบแต่กลัวว่าจะเป็นประสาทเสียก่อน “นี่ๆ ระบบ ฉันอยากรู้ว่าทำไมแต้มคะแนนครั้งนี้ถึงเยอะขนาดนี้ นายเคยบอกไม่ใช่เหรอว่ามีแค่หนึ่งถึงสิบแต้ม” ใช่แล้ว นี่คือเหตุผลที่เฉินเฟิ่นอี้สะดุ้ง คะแนนสองร้อยแต้มมันเยอะกว่าคะแนนรวมของเธอในตอนนี้อีก! ครึ่งต่อครึ่งเลยด้วยซ้ำ (ระบบ : การซื้อขายมีความเสี่ยง ภารกิจนี้เป็นภารกิจอันตราย) “อันตราย?” เฉินเฟิ่นอี้กระพริบตาปริบๆ เมื่อกระดานใสเปลี่ยนข้อความและระบบไม่ยอมคุยกับเธอ ทั้งที่ปกติต้องโผล่ออกมาจิกกัดซึ่งถือว่าดีแล้ว กระดานใสกระพริบสองครั้งก่อนจะหายไป เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจให้กับความขี้เกียจของระบบ ใช่! เจ้าระบบเส็งเคร็งนี่ขี้เกียจตัวเป็นขน ทำให้รางวัลของเธอได้รับแต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ! ซึ่งที่เธอรู้ก็เพราะมันหลุดปากออกมาสองวันก่อนว่ายังไม่ได้เอารางวัลใหญ่ใส่ระบบสุ่มให้เพราะหลับอยู่ เธอมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแต่เจ้าระบบกลับไม่ยอมใส่รางวัลใหญ่ลงไปในระบบสุ่ม เฉินเฟิ่นอี้แทบร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด ทำงานหนักมาตั้งหลายครั้งแต่ได้รับแค่ถุงแป้งเป็นของรางวัล “มาแล้วค่ะ” เฉินเหม่ยเย่เดินออกไปไม่นานก็กลับเข้ามาพร้อมเฉินตงที่เดินงัวเงียเข้ามา “พี่สาวสามมีอะไรเหรอครับ” เฉินตงนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กก่อนเอ่ยถาม เมื่อครู่เขาเผลอหลับจนน้องสาวเข้าไปปลุกจึงตื่น “พี่อยากเข้าอำเภอ นายพาพี่ไปได้หรือเปล่า” เธอไม่อ้อมค้อมรีบถามทันที ส่วนเรื่องการไปตลาดมืด ไปถึงที่นั่นเฉินเฟิ่นอี้จะให้เขาพาไป หากบอกว่าจะไปตลาดมืดตอนนี้เกรงว่าเขาจะปฏิเสธเอา “เข้าอำเภอ? ไปซื้อของเหรอครับ” ปกติคนที่ออกไปซื้อของในตำบลหรือในอำเภอส่วนมากถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่ในบ้านก็จะเป็นเฉินไห่หลิวกับเฉินตง เพราะเดินเท้าไปตำบลใช้เวลาเกือบสี่สิบนาที ส่วนเข้าอำเภอใช้เวลาสองชั่วโมง ผู้หญิงบ้านเฉินจึงเลือกที่จะไม่ไปซื้อเอง “อืม” เครื่องปรุงที่มีอยู่ก็หมดแล้ว เฉินเฟิ่นอี้อยากได้เครื่องปรุงเพิ่มและหาซื้อเครื่องปรุงมาใช้ โดยเฉพาะน้ำมันที่เหลือแค่ไม่กี่ช้อน ทั้งที่หากคนในบ้านทำอาหารคงใช้ได้อีกหลายเดือน “ผมต้องถามเฉินไห่หลิวก่อน” เพราะในบรรดาพี่ชายน้องชาย ในตอนนี้เฉินไห่หลิวถือว่าอาวุโสที่สุด เพราะพี่ใหญ่เฉินไม่ได้อยู่ที่นี่ อีกทั้งหากให้เฉินไห่หลิวพาไป คนในบ้านจะอนุญาต “ได้” เฉินเฟิ่นอี้มองสองข้างทางที่มีร้านค้าต่างๆ แต่ต้องใช้คูปองถึงจะสามารถซื้อของได้ ซึ่งหลังจากทำอาหารเช้าเสร็จเฉินไห่หลิวกับเฉินตงก็ตกลงที่จะพาเธอเข้าอำเภอ หลังจากรับประทานมื้อเช้า ทำอาหารมื้อกลางวันให้ผู้ใหญ่บ้านเฉินและคนในบ้านแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงได้เวลาเข้าอำเภอสักที พวกเธอได้ขออนุญาตย่าเฉินพร้อมทั้งบอกว่าจะมาซื้อเครื่องปรุง ย่าเฉินจึงนำเงินมาให้เฉินเฟิ่นอี้ห้าหยวนและคูปองบางส่วน เฉินเหม่ยเย่ไม่ได้มาด้วยเธอกลัวว่าหล่อนจะเกิดอันตราย อีกอย่างก็ต้องช่วยย่าเฉินเลี้ยงเฉินชิงชิง “กินข้าวกันก่อนไหม” เพราะกว่าจะเดินทางถึงต้องใช้พลังงานมาก ถึงระหว่างทางจะมีรถแทรกเตอร์ขับผ่านแต่ก็มีคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้วย เหลือที่นั่งแค่ที่เดียวซึ่งเฉินเฟิ่นอี้ไม่ยอมขึ้นไปนั่ง และเลือกเดินกับน้องชายแทน “เราไม่มีคูปอง” เฉินไห่หลิวเตือน ถึงจะเคยรับประทานอาหารในร้านค้าของรัฐเพราะมันถูก แต่วันนี้พวกเขาไม่มีคูปอง เฉินเฟิ่นอี้รีบหาคูปองอาหารในกระเป๋าผ้าของเธอ ถ้าจำไม่ผิดเธอได้มาไม่กี่วันก่อนจำนวนห้าใบ ซึ่งหาไม่นานก็เจอเพราะมีคูปองที่ย่าเฉินให้มาด้วย “เจอแล้ว” “พี่เอามาจากไหน?” เฉินตงสงสัย พี่สาวสามไม่ได้ทำงานการที่มีคูปองจึงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งคูปองของบ้านหากไม่จำเป็นก็จะไม่เอาออกมาใช้ ส่วนคูปองที่ย่าเฉินให้มาเขามั่นใจว่าไม่มีคูปองอาหารแน่ “ลุงสามให้ไว้น่ะ จะกินหรือเปล่าล่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ไม่ใช่คนโง่ ย่าเฉินยื่นคูปองอาหารให้ก็จริงแต่มันมีแค่ใบเดียว ส่วนลุงสามเขาเอ็นดูเฉินเฟิ่นอี้มากกว่าหลานคนอื่นจะได้คูปองก็ไม่แปลก “ได้ครับ” เฉินไห่หลิวเดินนำเฉินตงและเฉินเฟิ่นอี้เข้าไปในร้านอาหารรัฐที่เขาเคยเข้า มันเป็นร้านที่ราคาถูก อร่อย ที่สำคัญยังให้เยอะมาก จานละไม่กี่เฟินเท่านั้นเอง ระหว่างเดินเข้าในร้านก็มีคนนั่งเต็มทุกโต๊ะ การันตีได้เลยว่าร้านนี้เป็นร้านอันดับหนึ่งในอำเภอ “นั่งรอตรงนี้ครับ ผมไปเอาให้เอง” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้านั่งลงตรงโต๊ะที่ว่างอยู่ ปล่อยให้น้องชายทั้งสองไปซื้ออาหารมาให้ เธอเป็นคนที่รับประทานอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากอีกทั้งยังต้องนั่งเฝ้าโต๊ะเอาไว้ด้วย “ดูสิเราเจอใคร” ระหว่างนั่งรอน้องชายไปซื้อข้าว เฉินเฟิ่นอี้ก็ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นหูเธอจึงเงยหน้าขึ้นมอง ตรวจสอบครู่หนึ่งจึงจำได้ว่ากลุ่มคนตรงหน้าเป็นใคร มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงสามคน สองคนในนั้นเป็นใครไม่ได้เลย หมิงหลานฮุ่ยกับอี้เหม่ยเฟิ่งอดีตคู่หมั้นหมายของเฉินเฟิ่นอี้กับญาติผู้พี่ที่เป็นอดีตคนสนิทนั่นเอง “เรียกฉันเหรอคะ” เฉินเฟิ่นอี้ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไม่ต่างจากใบหน้า เธอไม่ได้รู้จักกับพวกเขามาก แต่ในความทรงจำก็พอจะจำได้ว่าใครเป็นใครบ้าง ผู้ชายเป็นเพื่อนของหมิงหลานฮุ่ยส่วนผู้หญิงเป็นเพื่อนตอนประถมของอี้เหม่ยเฟิ่งที่ไม่ได้เรียนต่อ “ได้ยินว่าเธอล้มป่วยนี่ หายดีแล้วเหรอ” หนึ่งในกลุ่มผู้ชายเป็นคนเอ่ยปากถาม “ค่ะ” “แค่ถูกถอนหมั้นยังป่วย แบบนี้จะมีคนแต่งหล่อนเป็นสะใภ้เหรอ” เพื่อนของอี้เหม่ยเฟิ่งเหยียดยิ้มอย่างดูถูก แต่ก่อนเฉินเฟิ่นอี้ถูกนำมาเปรียบเทียบกับพวกหล่อน ดูตอนนี้สิเทียบพวกหล่อนไม่ติดเลย “มีอะไรกันเหรอครับ” เฉินตงเห็นว่ามีคนมามุงบริเวณที่พี่สาวนั่งอยู่ จึงรีบถือจานข้าวตนเองมาก่อนเฉินไห่หลิวที่กำลังจ่ายเงิน “ไม่มีอะไรหรอกเฉินตง” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า เธอมีเรื่องที่ต้องไปทำจึงไม่ต้องการจะสนทนากับใคร คนพวกนี้ก็เป็นได้เพียงเสียงนกเสียงกาสำหรับเฉินเฟิ่นอี้ อีกอย่างมันก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเอาคืน รอให้เธอมีทุกอย่างก่อนเถอะ “หลบด้วยผมจะนั่ง” เฉินตงโบกมือไล่หมิงหลานฮุ่ยที่ยืนขวางอยู่ ทั้งที่จริงเขาสามารถนั่งได้เลย เสียงกระซิบบางอย่างดังอยู่ข้างๆ เฉินเฟิ่นอี้ยกแก้วน้ำที่เฉินตงถือมาด้วยขึ้นจิบและฟังสิ่งที่ได้ยินไปด้วย โต๊ะทั้งหมดเต็มแล้วยกเว้นโต๊ะที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่ พวกเขาต้องการจะรับประทานอาหารที่นี่พอดี “ของพี่ครับ” “ขอบใจ” เฉินเฟิ่นอี้รับจานอาหารจากเฉินไห่หลิว เป็นข้าวราดแกงอะไรสักอย่างพร้อมหมูผัดถั่วงอก ซึ่งปริมาณเยอะมากเมื่อเทียบกับราคาสองเฟิน ‘เอายังไงดีคะ’ ‘แต่โต๊ะที่นี่มันเต็มแล้วนะ’ ‘ก็นั่งโต๊ะนี้’ ‘เธอจะบ้าหรือ!’ ‘โรงหนังใกล้เปิดแล้วนะ ถ้าไม่รีบพวกเราจะไปไม่ทัน' “เฉินเฟิ่นอี้” เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้าขึ้นมองอี้เหม่ยเฟิ่งที่เรียกเธอ เสียงกระซิบเมื่อครู่เธอได้ยินทั้งหมดแต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับ เพราะพวกเขายังไม่ได้ขอเธอ “พวกฉันนั่งด้วยสิ โต๊ะเต็มหมดแล้ว” [ภารกิจพิเศษ : ปฏิเสธอี้เหม่ยเฟิ่งรับ 100 แต้ม] ดวงตาเฉินเฟิ่นอี้เป็นประกายเมื่อเห็นภารกิจพิเศษและคะแนนที่ลอยอยู่ หากเธอทำภารกิจวันนี้ก็จะได้ถึงหกร้อยแต้ม! เธอส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “ไม่ได้หรอก น้องชายฉันไม่ชอบคนเยอะ” และมันก็เป็นเรื่องจริง เฉินไห่หลิวไม่ชอบคนเยอะ ขนาดเข้ามาในร้านนี้เขายังไม่ค่อยชอบเลยถ้าไม่ติดว่าเธอต้องการรับประทานอาหาร หากเป็นเมื่อก่อน ตอนนี้กลุ่มคนมาใหม่คงได้นั่งลงนานแล้วเพราะเฉินเฟิ่นอี้ไม่เคยปฏิเสธ ต่อให้เฉินไห่หลิวจะไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้ขัดใจพี่สาว และครั้งนี้ที่เฉินเฟิ่นอี้ปฏิเสธจึงสร้างความแปลกใจให้กับทุกคนโดยเฉพาะพี่น้องบ้านเฉิน ทั้งยังไม่สนใจหมิงหลานฮุ่ยเหมือนกับที่ผ่านมา “ผมต้องไปโรงหนังต่อ เฉินเฟิ่นอี้คุณให้พวกเรานั่งด้วยไม่ได้เหรอ” เพราะได้สัญญาณจากคนรักและเพื่อนสนิท หมิงหลานฮุ่ยที่ตอนแรกไม่ยอมพูดอะไรถึงกล้าพูดกับเฉินเฟิ่นอี้ เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา นี่คือหมิงหลานฮุ่ยอดีตคู่หมั้นของเฉินเฟิ่นอี้หรือ? หน้าตาก็งั้นๆ สู้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่อยากเชื่อว่าหล่อนจะตกหลุมรักผู้ชายตรงหน้า “ไปโรงหนังฉันต้องไปกับพวกคุณเหรอคะ? ถ้ารีบก็แค่หาร้านอื่นหรือไม่ก็รอโต๊ะว่าง” “นี่!” “หมิงหลานฮุ่ยไม่ต้องค่ะ ฉันว่าเราไปร้านอื่นกันดีกว่า” น้ำเสียงอ่อนโยนเรียกสติคนรักตนเองของอี้เหม่ยเฟิ่งสร้างความพึงพอใจให้กับหมิงหลานฮุ่ยเป็นอย่างมาก “ไปกันเถอะ” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้ามองหมิงหลานฮุ่ยที่เดินฟึดฟัดออกไปอย่างไม่เชื่อสายตาเท่าไร ในความทรงจำที่ได้รับมาหมิงหลานฮุ่ยผู้นี้เป็นคนใจเย็นมาก และเขาถูกเรียกว่าอัจฉริยะตั้งแต่ประถม ทำให้มีคนไปถามเกี่ยวกับเรื่องเรียนเยอะมากซึ่งเขาไม่เคยมีท่าทีแบบนี้ “หมิงหลานฮุ่ยนิสัยเสียจริงๆ” เฉินตงบ่น “เอาเถอะ อย่าไปยุ่งกับพวกเขาเลย” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า วันสอบเทียบพวกเธอก็คงต้องเจอกันอีกแน่ “จะไปสหกรณ์ต่อใช่ไหมครับ” เฉินไห่หลิวที่นั่งเงียบเอ่ยถามพร้อมกับรับประทานอาหารไปด้วย “อ้อ ใช่ พวกนายจะไปไหนกันต่อหรือเปล่า ร้านหนังสือก็อยู่ใกล้ๆ กันนี่” หลังจากซื้อของเสร็จเฉินเฟิ่นอี้จึงจะให้เฉินตงพาเข้าไปในตลาดมืด ส่วนเฉินไห่หลิวนั้นเขาเงียบมาก เธอจะล่อให้เขาเข้าไปที่ร้านหนังสือแทน “จริงสิ นายจะซื้อหนังสือนี่ไห่หลิว” “อืม”  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD