ห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกงานของคนในหมู่บ้าน หลังจากเลขาธิการจดชื่อว่าใครได้กี่แต้ม ทุกคนก็ทยอยกลับบ้าน บ้านไหนที่จัดการเสร็จก่อนคนอื่นก็รีบร้อนกลับบ้าน เพราะผู้หญิงต้องไปทำงานบ้านและอาหารมื้อเย็น ต่างจากบ้านเฉินที่รอให้คนน้อยค่อยไปต่อแถวจดชื่อ ที่บ้านมีคนทำอาหารรอแล้ว
“วันนี้เด็กๆ ไปสอบ ฉันหวังว่าทุกคนจะสอบผ่านหมดนะคะ จะได้ไปเรียนพร้อมกัน” สะใภ้สี่เฉินเอ่ยระหว่างยืนรอต่อแถวสมาชิกบ้านอื่น
“อืม เฟิ่นอี้จะได้สอนน้องๆ ได้” สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย เรื่องการเรียนของเฉินเฟิ่นอี้บ้านเฉินต่างรับรู้กันดี ขนาดเฉินไห่หลิวที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะยังไม่สู้หล่อน
“ฮ่าๆ หลานสาวต้องสอบผ่านแน่ครับ หล่อนสอนการบ้านน้องสาวแทบทุกวัน ไหนจะอ่านหนังสือหนักอีก” พี่รองเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ใช่” ปู่เฉินเห็นด้วย
“เหล่าสะใภ้อี้มีเรื่องอะไรกันเหรอ เห็นกลับจากสอบ ก็ตรงมาหาคนบ้านอี้เลย” สะใภ้สี่กล่าวด้วยความสนใจ หล่อนเป็นคนบ้านอี้มาก่อน เห็นแบบนี้จึงรับรู้ได้ว่าเกิดเรื่องขึ้น และรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“จะอะไรก็เถอะ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอก ขอแค่พวกหล่อนไม่ไปทำอะไรให้สูกสาวของเราก็พอ” น้องชายสี่เฉินบอกภรรยา แต่ก่อนเรื่องบ้านอี้เขาไม่เคยขัด แต่สิ่งที่บ้านอี้ทำกับลูกสาวของเขา เขาย่อมไม่ชอบอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะภรรยาของเขาเป็นคนบ้านอี้มาก่อน ตอนนี้คงมีเรื่องกันแน่นอน
“ฉันรู้แล้วค่ะ” สะใภ้สี่ถอนหายใจให้กับคำพูดของสามี หล่อนโตมากับคนในบ้านอี้ ถึงจะไม่ได้ถูกรักมากแต่นั่นก็เป็นบ้านพ่อแม่ของหล่อน จะให้ตัดก็ตัดกันยาก
“ไปๆ อย่ามัวแต่เถียงกันเลย ฉันเหนื่อย อยากพักแล้ว”
“ฉันบอกให้พ่อหยุดลงแปลงนาได้แล้วก็ไม่เชื่อ”
“บ๊ะ!”
ต่อแถวไม่นานก็ถึงคิวบ้านเฉิน วันนี้บ้านเฉินได้แต้มค่าแรงสี่สิบห้าแต้ม หรือเป็นเงินราว ๆ หนึ่งเหมาห้าเฟิน แต่หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จจะไม่ได้แบ่งเป็นเงินทั้งหมด เพราะทางหมู่บ้านจะแจกจ่ายเป็นธัญพืชที่ได้รับจากการเก็บเกี่ยว ส่วนเงินก็มีแบ่งให้แต่ไม่ได้เยอะ
“คุณแม่จะปล่อยพวกมันไปเหรอคะ! เรื่องนี้ฉันไม่ยอมนะ คุณแม่ต้องไปบอกลูกสาวของคุณแม่ให้ยกเลิกคะแนนสอบ! บ้านอี้ของพวกเราลงแรงไปมาก ทำไมเด็กสารเลวนั่นไม่ตายๆ ไปเลย!” สะใภ้ใหญ่บ้านอี้บอกกับย่าอี้ที่ยืนมองสมาชิกบ้านเฉินกลับไป
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะคุณ! หากคนอื่นได้ยินเรื่องนี้จะว่ายังไง ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าพูดถึงอีก” พี่ใหญ่อี้รีบด่าภรรยาที่หลุดปากออกมา เพราะแบบนี้ไง เวลามีเรื่องอะไรจึงไม่ต้องการบอกหล่อน
“ทำไม หรือคุณกลัว? คุณอย่าลืมนะว่าพวกเราลงแรงกันไปเท่าไหร่ จะยอมให้เด็กนั่นมาแย่งหมิงหลานฮุ่ยไปจากลูกสาวคุณหรือไง อี้เหม่ยเฟิ่งของฉันทั้งสวยทั้งเก่ง” สะใภ้ใหญ่อี้ไม่ยอมสามีหล่อนสวนกลับทันที หล่อนเป็นหลานสาวของผู้ใหญ่บ้าน จึงไม่เกรงกลัวสามี
“จะเถียงกันทำไม! เถียงแล้วได้อะไร นู่น เฉินเฟิ่นอี้อยู่ที่บ้านเฉิน” ย่าอี้มองลูกชายกับสะใภ้เถียงกันด้วยความโมโห หมิงหลานฮุ่ยก็ยังไม่มาหมั้นหมายอี้เหม่ยเฟิ่งตามที่ตกลงกันไวัเสียที
“ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้กำลังหั่นแตงโมเตรียมไว้ให้สมาชิกบ้านเฉินที่ไปทำงานกลับมาเหนื่อยๆ เป็นเวลาเดียวกับที่สมาชิกบ้านเฉินกลับมาถึงบ้าน เฉินตงจึงถูกใช้ให้ไปตักน้ำในโอ่งใต้ดินมาให้ทุกคนได้ดื่ม เนื่องจากบ้านเฉินมีจำนวนสมาชิกเกือบยี่สิบคน แคร่ไม้หน้าบ้านจึงมีอยู่หลายตัว
“เป็นยังไงกันบ้างคะ เหนื่อยกันไหม ฉันเห็นว่าแตงโมยังเหลืออยู่เลยเอามาผ่าให้ทุกคนได้รับประทานค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยยกถาดแตงโมมาตั้งบนแคร่ ด้านบนของแตงโมยังมีไม้แหลมสีขาวที่เหลาทำความสะอาดแล้วเสียบอยู่
“ไม่ต้องๆ ลูกก็เพิ่งกลับมาถึงเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” น้องชายสี่อี้ปฏิเสธลูกสาวแต่ก็เอื้อมมือมาจิ้มแตงโมเข้าปาก
“ค่ะพ่อ แต่ฉันได้พักแล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าให้พ่อของเธอที่นั่งอยู่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข น่าเสียดายที่ขาดลุงสาม พี่ชาย และพี่สาวอีกสองคน
ทุกคนจะรับประทานอาหารหลังหกโมงเย็น ระหว่างที่นั่งพักจึงสนทนากันไป เพราะงานบ้านล้วนทำเรียบร้อยหมดแล้ว ตั้งแต่ที่เฉินเฟิ่นอี้ฟื้นขึ้นมารอบนี้ ต้องบอกว่าทุกคนสบายเพิ่มขึ้นมาก
“สอบเป็นยังไงบ้างล่ะ น่าจะผ่านไหม” ปู่เฉินหันไปถามหลานชายที่นั่งเงียบกันอยู่ ส่วนเฉินเฟิ่นอี้ถึงไม่ถามก็เดาได้ว่าต้องสอบผ่านแน่นอน
“คุณปู่ต้องช่วยผมนะครับ! พ่อบอกว่าถ้าผมสอบไม่ผ่านจะหักขาผม โธ่ ข้อสอบตั้งร้อยข้อนะ!” เฉินตงรีบวิ่งมาหาปู่เฉินพลางทำหน้าตาน่าสงสาร
“ไอ้เด็กนี่!”
“ฮ่าๆ”
“พ่อ!”
ทุกคนหัวเราะเมื่อเห็นว่าเฉินตงถูกพ่อของเขาทุบหลัง แถมเฉินตงยังโวยวายเล่นใหญ่เล่นโตไปฟ้องย่าเฉินอีก มีคนเคยกล่าวว่าความสุขมาเร็วแต่ก็ผ่านไปเร็วเช่นเดียวกัน
“หัวเราะสนุกกันเชียวนะ มีเรื่องอะไรกัน ให้ฉันรู้ด้วยสิ”
เสียงของย่าอี้ทำให้ทุกคนหยุดหัวเราะและหน้าเริ่มนิ่ง ทั้งๆ ที่บ้านอี้ควรกลับไปทำอาหารเย็น แต่กลับยกโขยงกันมาที่บ้านเฉินอย่างเอิกเกริก
“มาทำไม” เป็นย่าเฉินที่เอ่ยปากถาม ส่งหลานชายคนเล็กคืนผู้เป็นแม่ก่อนจะมายืนเผชิญหน้ากับบ้านอี้อย่างไม่เกรงกลัว นางกับตาเฒ่าเป็นถึงหัวหน้าครอบครัวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามาก จะยอมให้คนบ้านอื่นมารังแกบ้านเฉินของพวกนางได้ยังไง
“ฉันก็มาทวงความยุติธรรมให้หลานสาวของฉันน่ะสิ! เฉินเฟิ่นอี้หลานสาวของพวกเจ้าลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว แต่วันนี้กลับมีรายชื่อเข้าสอบได้ยังไง” ย่าอี้เท้าเอวถามเสียงดัง ดังชนิดที่ว่าได้ยินไปถึงบ้านอื่นๆ จึงพากันออกมามองดูด้านนอกบ้าน
“ความยุติธรรม? หึ ยายแก่อี้คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คนอื่นถึงต้องทำตามสิ่งที่เจ้าบอก ความเป็นแม่หรือความเป็นยายเหรอ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ” ย่าเฉินส่ายหน้า
เฉินเฟิ่นอี้กระซิบเฉินเหม่ยเย่ให้พาเฉินชิงชิงและเฉินจางไปหลังบ้าน หล่อนรีบทำตามทันที เฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการให้ทั้งสามคนเห็นสถานการณ์แย่ๆ แบบนี้
“ใช่ อี้เยว่! พาลูกของเธอไปยกเลิกคะแนนสอบซะก่อนที่คะแนนสอบจะออก ไม่อย่างนั้นอย่ามาเรียกฉันว่าแม่อีก” ย่าอี้หันไปกดดันลูกสาวคนเดียวของนาง
“แต่แม่คะ เฟิ่นอี้ก็เป็นหลานสาวของแม่นะคะ” สะใภ้สี่บ้านเฉินร้องไห้ พี่สะใภ้พูดยังไม่เหมือนแม่ที่บังคับหล่อน
“เหม่ยเฟิ่งก็เป็นหลานสาวที่ฉันภาคภูมิใจ! เพราะลูกสาวของเธอ หมิงหลานฮุ่ยจึงไม่ยอมมาหมั้นหมายเหม่ยเฟิ่ง! เหม่ยเฟิ่งเป็นหลานสาวบ้านเดิมของเธอนะ ตอนนี้หล่อนได้ชื่อว่าเป็นคนรักของหมิงหลานฮุ่ยแล้ว ถ้าหมิงหลานฮุ่ยไม่มาหมั้นหล่อนจะมีใครอยากแต่งงานด้วยอีก!” เสียงสะอื้นของหลานสาวคนโปรดทำให้ย่าอี้หันไปกอดปลอบหล่อน
“แล้วชื่อเสียงเฉินเฟิ่นอี้ของบ้านเฉินล่ะ? เป็นหลานสาวของพวกเจ้าแท้ๆ ที่แย่งคนรักของคนอื่นไป ยังมีหน้ามาโทษคนอื่นอีก เป็นเพราะเฟิ่นอี้หรือ ที่หมิงหลานฮุ่ยไม่ยอมหมั้นหมาย ย่อมไม่ใช่ ลองถามหลานสาวของพวกเจ้าดูสิว่าได้ทำอะไรให้เขาหรือไม่” ปู่เฉินที่นั่งฟังถามขึ้น มาทวงความยุติธรรมให้หลานสาวตัวเอง แล้วหลานสาวของบ้านเฉินล่ะ ทั้งโดนแย่งคู่หมั้นทั้งป่วย ยังจะมาถามหาความยุติธรรมอะไรกันอีก
“พี่หมิงหลานฮุ่ยบอกว่าเพราะบ้านเฉินไม่ยอมคืนของหมั้นหมายของเฉินเฟิ่นอี้ค่ะคุณย่า” อี้เหม่ยเฟิ่งที่สะอื้นเอ่ยบอก เขาบอกเธอมาแบบนั้นจริงๆ
“ตลกเกินไปแล้ว วันนั้นพี่ก็มาด้วยนี่ พ่อของหมิงหลานฮุ่ยบอกว่าไม่ต้องคืนของหมั้นหมายให้ ถือว่าเป็นค่าปลอบใจ พี่ยังบอกว่าดีอยู่เลย” เฉินตงสวนกลับโดยไม่มีใครห้ามทัน
อี้เหม่ยเฟิ่งสะอึก มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ต้องทำยังไงก็ได้ที่ไม่ให้เฉินเฟิ่นอี้ได้เรียนต่อ ไม่อย่างนั้นหล่อนแย่แน่ อี้เหม่ยเฟิ่งรีบหันไปสบตากับผู้เป็นแม่
“เหลวไหล! เฉินตงนายก็เป็นเพียงเด็กเมื่อวานซืนจะไปรู้เรื่องผู้ใหญ่ได้ยังไง”
“พี่นั่นแหละเหลวไหล! ป่าวประกาศไปทั่วว่าลูกสาวได้หมั้นหมายกับหมิงหลานฮุ่ย แต่วันนี้กลับมาโทษลูกสาวของฉันว่าเป็นเพราะหล่อน เหม่ยเฟิ่งจึงไม่ได้หมั้น! ฉันรักและเอ็นดูหล่อนเหมือนลูกแต่หล่อนกลับหักหลังพวกเรา พี่ยังจะให้ฉันก้มหัวให้อีกเหรอคะ” สะใภ้สี่ต่อว่าพี่สะใภ้ของหล่อนท่ามกลางความอึ้งของสมาชิกบ้านอี้
“อี้เยว่”
เพียะ!
“แม่ตบหน้าฉันทำไม” เหมือนฟ้าถล่มลงตรงหน้าของสะใภ้สี่บ้านเฉิน ต่อให้หล่อนทำให้คนในบ้านไม่พอใจแต่ก็ไม่มีผู้ใดลงมือทุบตี เนื่องจากเป็นลูกสาวคนเดียว
“อะ…อี้ ยะ เยว่”
“แม่คะ”
เฉินเฟิ่นอี้รีบเข้าไปพยุงร่างกายของผู้เป็นแม่ที่น้ำตาไหลพร้อมเสียงสะอื้น เธอเข้าใจดีว่ามันยากที่จะตัดขาดกับบ้านเดิมได้ แต่ถ้าแม่ของเธอยังยอมบ้านอี้อยู่ก็จะถูกกดดันอยู่เรื่อยๆ
“ยายแก่อี้! เป็นบ้าไปแล้วหรือ นั่นลูกสาวของเจ้านะ!” ย่าเฉินเดือดดาล
“แม่สั่งสอนลูกมันจะไปผิดอะไร”
“พอเถอะค่ะ ฉันว่าเรื่องนี้พวกคุณควรไปคุยกับครอบครัวของหมิงหลานฮุ่ยเองนะคะ ส่วนเรื่องสอบครูใหญ่อนุญาตให้ฉันเข้าสอบได้ค่ะ ถ้ามีปัญหาก็ไปถามเขา” เฉินเฟิ่นอี้พูดขึ้น เธอไม่เรียกยายเหมือนที่เคยเรียก
“เฉินเฟิ่นอี้!”
“ใช่ค่ะ แม่พาพี่ชาย พี่สะใภ้ และหลานกลับไปเถอะค่ะ ต่อจากนี้เราอย่ายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย เรื่องที่ผ่านมาฉันจะลืมไปก็แล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น” สะใภ้สี่เช็ดน้ำตาในอ้อมแขนของลูกสาวคนโต โดยมีสามียืนอยู่ข้างๆ
“เธอหมายความว่ายังไง!” ย่าอี้ชะงักกับสิ่งที่ลูกสาวพูด ต่อจากนี้เราอย่ายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย? นี่คือคำพูดตัดขาดชัดๆ นางไม่เคยเจอและไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีลูกที่ขอตัดขาดจากบ้านเดิม
“เธอเป็นบ้าไปแล้วเหรอน้องสาวสามี! พูดแบบนี้จะตัดขาดกับบ้านอี้สินะ” สะใภ้รองอี้ถาม
“ใช่”
“แม่!”
“แม่ครับ”
ย่าอี้ได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูดถึงกับเป็นลม ยังดีที่สะใภ้ใหญ่อี้ยืนอยู่ข้างๆ รับตัวทัน เสียงร้องของสมาชิกบ้านอี้ดังขึ้น ก่อนจะมีลูกชายมาพยุงผู้เป็นแม่
“น้องสาวสี่ เธอพูดอะไรออกมา!” พี่ใหญ่อี้หันมาตวาดน้องสาวที่มองแม่ด้วยความเป็นห่วง
“ฉันบอกไปแล้วไม่คืนคำค่ะ ต่อจากนี้ฉันจะไม่กลับไปเหยียบบ้านอี้อีก”
“อี้เยว่!”
“ฉันขอร้องเถอะค่ะพ่อ พ่อก็เห็นแล้วว่าเรื่องมันเป็นยังไง ฉันแต่งออกมาแล้วนะคะ อีกอย่างเฟิ่นอี้ก็เป็นลูกสาวของฉันและเป็นหลานสาวของพ่อนะคะ พ่อเข้าข้างเหม่ยเฟิ่งฉันไม่ได้ว่าเพราะหล่อนเป็นหลานสาวใน แต่นี่ก็ลูกสาวของฉัน” สะใภ้สี่ส่ายหน้า ปู่อี้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของหมู่บ้าน การวางตัวของเขาจึงไม่เหมือนคนอื่น ต่อหน้าผู้คนหล่อนจึงกล้าพูด
“ดี ดีจริงๆ ได้! ต่อจากนี้บ้านอี้กับลูกสาวอย่างเธอจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก! ถ้าเดือดร้อนก็อย่าวิ่งไปหา พ่อเหม่ยเฟิ่งพยุงแม่แกกลับ” ปู่อี้ประกาศตัดขาดลูกสาว ก่อนที่จะหันไปสั่งลูกชายแบกภรรยากลับบ้าน
“ครับพ่อ”
ลับหลังบ้านอี้ สะใภ้สี่ของบ้านเฉินที่ถูกลูกสาวพยุงก็ทรุดลงกับพื้น หล่อนร้องไห้ท่ามกลางสมาชิกในบ้านและสายตาที่มองมาอย่างเวทนา เฉินเฟิ่นอี้จึงให้พ่อของเธอช่วยพยุงผู้เป็นแม่กลับห้องนอน เธอเชื่อว่าสักวันท่านต้องทำใจได้