กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายสามแล้ว โชคดีที่ก่อนทางเข้าตำบลมีรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านขับผ่าน สามพี่น้องบ้านเฉินจึงขอติดรถกลับมาด้วยเพราะของหนักมาก มีทั้งเครื่องปรุง ไข่ แตงโม แอปเปิล เนื้อ และของอื่นๆ อีกมากมาย ยังดีที่มีกระสอบและตะกร้าใส่ไม่อย่างนั้นคนขับรถแทรกเตอร์คงมองเห็นของที่ซื้อมา
เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนลงจากรถคนแรก เธอหยิบเอาของที่สามารถถือได้ ที่เหลือปล่อยให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงจัดการ จากนั้นจึงเดินเข้าบ้านที่มีย่าเฉิน เฉินเหม่ยเย่ และเฉินชิงชิงนั่งเล่นกันอยู่
“ซื้ออะไรมาเยอะขนาดนั้น!” ย่าเฉินอุทานมองตะกร้าของที่หลานทั้งสามคนแบกมา
“อาหารค่ะ เอาไปไว้ในครัว” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ พร้อมหันไปบอกน้องชายที่แบกกระสอบอยู่ เธอจะคุยกับย่าเฉินสักหน่อยค่อยเข้าไปจัดการของในครัว
“ครับพี่”
เฉินเฟิ่นอี้หยิบคูปองและเงินจำนวนสามหยวน ยื่นคืนย่าเฉินที่มองมาอย่างสงสัย นี่คือเงินที่หักจากการซื้อเครื่องปรุง ส่วนเงินอื่นๆ เฉินเฟิ่นอี้เป็นคนจ่ายเอง ย่าเฉินให้เงินไปซื้อแค่เครื่องปรุง
“นี่คือเงินที่เหลือจากซื้อเครื่องปรุงค่ะ ส่วนของอย่างอื่นฉันซื้อเอง” เพื่อป้องกันการถูกด่าที่ซื้อของสิ้นเปลือง เฉินเฟิ่นอี้จึงบอกตั้งแต่แรก และหากยังด่าเธออีกก็ไม่ต้องรับประทาน
“หลานไปเอาเงินมาจากไหนกัน ของที่หลานซื้อมาหมดไปเยอะแน่ เงินแค่ห้าหยวนก็คงไม่พอ” ย่าเฉินถาม ลำพังไข่ไก่หนึ่งชั่งก็สองถึงสามเหมา มองดูแล้วไม่ต่ำกว่าห้าชั่งแน่ๆ ไหนจะแตงโมที่วางอยู่ตรงหน้าอีก ของพวกนี้บ้านเฉินไม่ซื้อ ยกเว้นเฉินหมิงลูกชายคนที่สามของบ้านจะนำกลับมา
“ฉันไม่รู้จะบอกยังไงค่ะ แต่เอาเป็นว่าฉันมีทางซื้อก็แล้วกัน ย่าไม่ต้องห่วงนะคะว่าพวกฉันจะไปขโมยมาหรือใครให้มา ฉันเป็นคนไปซื้อเองจริงๆ ค่ะ เฉินตงก็อยู่ด้วย” ส่วนเฉินไห่หลิวถูกล่อไว้ที่ร้านหนังสือ ประโยคหลังเฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เอ่ยต่อ
“เฟิ่นอี้ ย่ารู้ว่าหลานเก่ง หลานไม่ได้ทำผิดกฎหมายใช่ไหม” ย่าเฉินถามซ้ำเพราะกลัวหลานทำเรื่องที่ร้ายแรง
“ย่าคะ ฉันเพิ่งบอกไปเองนะคะว่าฉันไม่ได้ทำอะไรผิด อีกอย่างของมากขนาดนี้ถ้าทำผิดจริงๆ ฉันคงถูกจับไปแล้วค่ะ อ้อ จริงสิ เหม่ยเย่ เธอเข้าไปช่วยพี่ในครัวด้วยนะ ต้องเตรียมของทำอาหารเย็น” เฉินเฟิ่นอี้ตอบอย่างลื่นไหล เธอไม่ได้ทำผิดจริงๆ นี่ พร้อมทั้งชวนน้องสาวไปช่วยงานด้วย
“ได้ค่ะ”
“เอาเถอะ ถ้าใครถามก็บอกว่าย่าให้เงินไปซื้อก็แล้วกัน” เหตุผลของเฉินเฟิ่นอี้ฟังไม่ขึ้นจริงๆ ลำพังแค่ตะกร้าเดียวก็ใช้เงินหลายหยวนแล้ว ยังมีกระสอบใหญ่อีกสองกระสอบ เรื่องนี้คงต้องปรึกษากับตาเฒ่าดูแล้ว
“ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้หยิบขนมในกระเป๋าผ้าที่ซื้อติดมือมาให้เฉินชิงชิงที่เดินมาหา ขนมนี้เมื่อถูกน้ำมันก็จะละลายไปเองเธอจึงไม่ค่อยห่วง ก่อนที่จะนำกระเป๋าผ้าไปเก็บไว้ในห้องนอนและออกมาจัดการของในครัว
เฉินไห่หลิวกับเฉินตงออกไปเก็บฟืน แต่เฉินเฟิ่นอี้คิดว่าเฉินตงคงจะบอกอะไรสักอย่าง แต่เธอไม่ได้ห้ามเขา เพราะหากทั้งสองไม่บอกคนในบ้านก็ถือว่าไว้ใจได้ และเรื่องคูปองเธอก็มีเหตุผลแล้วจะกลัวอะไร อีกอย่างแค่อ้างว่าเงินเก็บก็ไม่มีคนสงสัย ทั้งย่าเฉินยังมีทางรอดให้เธอแล้วด้วย
“เนื้อ!” เฉินเหม่ยเย่อุทานอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นเนื้อหมูตรงหน้า ได้กินเนื้อหมูล่าสุดก็ตอนปีใหม่
เนื้อหมูซื้อมาจากแผงขายหมูที่เฉินไห่หลิวรู้จัก ง่ายๆ ก็คือเส้นสายของเขานั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้กลับมาสักชิ้นในเวลาแบบนี้ เฉินเฟิ่นอี้ได้เนื้อหมูมาสามชั่ง กระดูกหมูสี่ชั่ง และเครื่องในหมูสองชั่ง ในราคาห้าหยวน
“เบาๆ สิ เดี๋ยวบ้านอื่นได้ยินเธอจะไม่ได้กินนะเหม่ยเย่” เฉินเฟิ่นอี้เอ่ยเตือน
“ขอโทษค่ะ ฉันตื่นเต้นไปหน่อย” หล่อนพยักหน้าหงึกๆ พร้อมหาชามมาใส่เตรียมไว้
เฉินเฟิ่นอี้มองของที่ซื้อมา เครื่องปรุงบางอย่างในบ้านก็มีอยู่แล้วจึงนำไปเทใส่โหลครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งจะเก็บไว้ในตู้เพราะหากมีแขกมาเห็นเครื่องปรุงพวกเขาอาจขอไปได้ อันไหนที่ซื้อมาใหม่อย่างซีอิ๊ว เฉินเฟิ่นอี้ก็หาโหลเล็กที่มีในบ้านมาใส่ไว้
ไม่ต่างจากไข่ที่เอาใส่โหลเดิมไว้สองชั่งที่เหลือเก็บไว้ในตู้ แต่ตู้มันก็ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดที่จะเก็บได้ทุกอย่าง เป็นเฉินเหม่ยเย่ที่นำไปเก็บไว้ในห้องของหล่อน
ส่วนเนื้อสัตว์ที่ซื้อมาก่อนอื่นต้องล้างน้ำสะอาด เฉินเฟิ่นอี้ใช้เกลือล้างเพื่อลดกลิ่นคาวด้วย อากาศร้อนมากเนื้อสัตว์จึงอยู่ได้ไม่นาน เฉินเฟิ่นอี้จึงแล่เนื้อหมูสองชั่งเพื่อทำเนื้อตากแห้ง ส่วนอีกชั่งจะเอาไว้ทำอาหารเย็นนี้พร้อมกระดูกและเครื่องใน
เฉินเฟิ่นอี้ทำการล้างไส้หมูที่ถูกล้างทำความสะอาดมาแล้วบางส่วนแต่ยังไม่หมดเพราะล้างไม่เป็น และขั้นตอนนี้เธอเคยอ่านเจอในนิยาย เด็กสาวสกุลอะไรเซี่ยๆ สักอย่าง ก่อนนำไปต้มในน้ำเดือดที่ใส่เครื่องเทศลงไป พร้อมตับและปอด
แอปเปิลเฉินเฟิ่นอี้จะเฉาะเป็นของว่างวันนี้สักสามลูก ที่เหลือเก็บไว้ในห้องของเธอพร้อมแตงโม พรุ่งนี้อาหารมื้อกลางวันของบ้านเฉินจะมีแตงโมหวานๆ ด้วย
อาหารแห้งที่ซื้อมาเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการแบ่งเช่นเดียวกัน ครึ่งหนึ่งเก็บไว้ในตู้ อีกครึ่งเก็บไว้ในห้องนอนของเธอ อาหารแห้งเธอซื้อมาบำรุงปู่เฉินและย่าเฉินโดยเฉพาะ ทั้งสองมีอายุมากแล้วแต่ยังทำงานอยู่จึงต้องบำรุงมากๆ ก่อนจะล้มป่วย
“ให้ฉันเก็บผักมาไหมคะ เนื้อมีนิดเดียวคงไม่พอสำหรับคนในบ้าน ยิ่งวันนี้แดดยิ่งแรงกว่าทุกวันแล้วด้วย ฉันคิดว่าทุกคนคงเหนื่อยกันมาก กินข้าวให้อิ่มๆ คงนอนหลับสบาย” เฉินเหม่ยเย่ที่คำนวณจำนวนอาหารและคนเสร็จก็บอกพี่สาวที่กำลังต้มเครื่องในหมูอยู่ หล่อนสูดหายใจเพราะมันหอมมาก
“อืม เก็บมาก็ได้ เอาหัวไชเท้ามาด้วยนะสักสี่หัวก็ได้” ยังมีเครื่องในและน้ำซุปกระดูกหมูอีก เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กลัวว่าทุกคนจะไม่อิ่ม อีกอย่างก็ยังมีข้าว อ่า จริงสิ เธอลืมซื้อข้าวขาวกลับมาด้วย!
“ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้เตรียมของไว้ทำอาหารเย็นเสร็จก็แยกย้ายกับเฉินเหม่ยเย่ไปพัก เฉินเหม่ยเย่ออกไปหาย่าเฉิน ส่วนเฉินเฟิ่นอี้เข้ามาในห้องนอนของเธอ
หยิบของในกระเป๋าผ้าออกมาดู หลังจากทำการแลกเปลี่ยนไข่เธอก็กลับไปที่แผงขายหนังสือ ใช้คูปองอาหารแลกหนังสือที่เฉินตงมองๆ ไว้มาสองเล่ม และเล่มอื่นอีกสองเล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่เฉินตงจับนั่นแหละ โชคดีที่เฉินไห่หลิวไม่ได้ซื้อหนังสือจึงไม่ได้ซื้อมาเสียเที่ยว เธอจะเอาหนังสือพวกนี้ให้ทั้งสองคน
เทกระเป๋าผ้าออกมามองดูของด้วยความพึงพอใจ ตอนนี้เธอเหลือเงินสองร้อยหยวนนิดๆ ซึ่งสามารถใช้ได้อีกนาน แต่หากได้เข้าไปเรียนในอำเภอแล้วเฉินเฟิ่นอี้ต้องการบำรุงน้องชาย น้องสาว เธอจึงต้องเตรียมตัวหาเงินเอาไว้ เงินแค่นี้ไม่พอแน่
ก๊อก! ก๊อก!
“พี่สาวสามครับ”
“เข้ามา”
เป็นเสียงของเฉินไห่หลิว เฉินเฟิ่นอี้จึงเก็บตั๋วเงินกับคูปองและของบางส่วนเข้าในกระเป๋า ที่เหลือก็ปล่อยไว้ตรงหน้า ประตูถูกเปิดออก เฉินไห่หลิวเดินเข้ามากับเฉินตง
เฉินเฟิ่นอี้มองเฉินตงอย่างคาดโทษ ไม่คิดว่าเฉินไห่หลิวจะเข้ามาคุยเร็วขนาดนี้ คิดว่าจะรอให้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังซะอีก จึงตัดสินใจเดินไปปิดหน้าต่าง โชคดีที่ห้องนอนของเธออยู่ด้านในสุด ย่าเฉินกับเฉินเหม่ยเย่ที่อยู่หน้าบ้านจึงไม่ได้ยิน
“มีอะไร”
“เฉินตงบอกผมหมดแล้ว” เฉินไห่หลิวตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แอบคาดโทษน้องชายพ่วงเพื่อนสนิทที่พาพี่สาวเข้าไปสถานที่อันตรายอย่างตลาดมืด
“อ้อ” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้า
อ้อ? เฉินตงมองพี่สาวสามอย่างอึ้งๆ แค่อ้อนี่นะ! เรื่องนี้มีความผิดยังไม่รู้ตัวอีก เฉินเฟิ่นอี้สัมผัสได้แต่เธอไม่ได้สนใจ มองเฉินไห่หลิวที่ขมวดคิ้ว
“ที่นั่นอันตรายมากนะครับพี่ไม่ควรไป อีกอย่างให้เฉินตงหรือผมไปแทนก็ได้ไม่จำเป็นต้องไปเอง คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก เฉินตงก็เหมือนกันทำไมนายไม่รู้จักปฏิเสธบ้าง” เฉินไห่หลิวบ่นทั้งพี่สาวและน้องชาย
หรือนายจะกล้าปฏิเสธ เฉินตงบ่นในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เขาก้มหน้าลงเพราะมันเป็นความผิดของเขาจริงๆ ก็พี่สาวสามบอกเป็นของผู้ชายคนนั้นนี่ จึงลืมคิดไปเลย
“เอาล่ะๆ นายอย่าบ่นเขาเลย เป็นฉันที่บังคับเขาไปเองแหละ อ้อ หนังสือนี่พวกนายอยากได้ไม่ใช่เหรอ ฉันซื้อมาให้” เฉินเฟิ่นอี้หยิบหนังสือที่เอาเก็บในกระเป๋าแล้วออกมาทั้งหมด
หนังสือสี่เล่มถูกส่งให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตงคนละสองเล่ม ทั้งสองมองมาอย่างอึ้งๆ เพราะเป็นหนังสือที่ต้องการ และมันมีราคาเล่มละห้าหยวน จึงไม่ได้ซื้อมันมา
“หนังสือเล่มนั้น!” เฉินตงอุทาน ระหว่างดูหนังสือเขาได้เปิดดูด้านใน มีรอยขีดเขียนบ้างซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเป็นหนังสือเก่าที่ยังอ่านได้
“อืม”
“ขอบคุณครับ”
ทั้งสามสนทนาครู่หนึ่งก็แยกย้ายกัน เฉินไห่หลิวกับเฉินตงยังเหลือตักน้ำใส่โอ่ง ส่วนเฉินเฟิ่นอี้แยกเงินที่เธอใช้ได้ออกมาติดตัว ส่วนตั๋วเงินสองร้อยหยวน เฉินเฟิ่นอี้จะเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า ทุกคนได้รับอิสระในห้องของตัวเอง แม้กระทั่งการทำความสะอาดห้องก็ต้องทำเอง
“เอ๊ะ”
เฉินไห่หลิว เฉินตงได้รับหนังสือ เฉินชิงชิงได้ขนมแต่เธอลืมซื้อของให้เฉินเหม่ยเย่ด้วย! อาจเพราะของที่เหมาะกับหล่อนเฉินเฟิ่นอี้ไม่เห็นผ่านตาจึงลืมซื้อ เอาไว้เข้าไปอำเภออีกรอบจะซื้อให้หล่อนหน่อยก็แล้วกัน
เฉินเฟิ่นอี้เปิดตู้เสื้อผ้าของเธอด้วยความเมื่อยล้า ตู้นี้ไม่แน่ใจว่าทำมากี่ปีแล้วแต่ยังใช้งานได้อยู่ ก็แน่ล่ะ เฉินเฟิ่นอี้รักความสะอาด ทำความสะอาดห้องอยู่เสมอ ในตู้มีเสื้อสามตัว กางเกงสามตัว มีกางเกงขากระบอกด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลุงสามเป็นคนซื้อให้ ยังไม่รวมชุดทำงานและชุดอยู่บ้านอีกสองสามชุด
น่าอิจฉาเฉินเฟิ่นอี้จริงๆ ที่มีแต่คนรักและเอ็นดู ขนาดเสื้อผ้าของเฉินเหม่ยเย่ที่ถึงมีเท่ากัน แต่หนึ่งในนั้นยังเป็นชุดเก่าของเฉินเฟิ่นอี้ และทุกบ้านก็เป็นอย่างนี้ หากพี่ใส่ไม่ได้แล้วก็เอาให้น้อง