ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเรื่องหลานสาวบ้านเฉินซื้อธัญพืชไปในราคาสามสิบกว่าหยวนก็ถูกพูดต่อๆ กัน มีหลายคนที่ส่ายหน้าให้กับความสิ้นเปลืองของบ้านเฉิน
แต่บ้านเฉินไม่ได้สนใจแม้จะตกใจก็ตาม ย่าเฉินทำการตักแบ่งธัญพืชให้หลานๆ และเฉินเฟิ่นอี้มีข้อแม้ว่าพวกเธอจะนำไปทุกอย่างยกเว้นข้าวขาว ทุกคนไม่เห็นด้วยเพราะเฉินเฟิ่นอี้เป็นคนซื้อมา ไม่มีใครถามว่าได้เงินมาจากไหน แต่ย่าเฉินเคยบอกเอาไว้ว่าลูกชายคนที่สามของนางเอาเงินให้หลานสาวใช้
เฉินเฟิ่นอี้ลงจากรถยนต์ที่ลุงใหญ่ไปหาเช่ามา โชคดีที่เป็นรถของคนรู้จักบ้านของสามีพี่สาวใหญ่ พี่เขยของเธอจึงไปยืมมาให้โดยไม่ต้องเช่า และเป็นคนขับรถพาพวกเธอมายังบ้านพัก
รถไม่ได้คันใหญ่ คนที่มาด้วยได้จึงมีเพียงลุงใหญ่ แม้กระทั่งย่าเฉินที่ควรมาด้วยยังไม่ได้มา ลุงใหญ่เดินทางสะดวกและเป็นคนติดต่อบ้านพักกับเพื่อนลุงสาม
เพื่อนของลุงสามยืนรอที่หน้าบ้านพร้อมผู้ชายที่ดูมีฐานะคนหนึ่ง ลุงใหญ่เดินเข้าไปทักทายเขาเหมือนจะรู้จัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะครั้งก่อนก็เคยเจอกันแล้ว พี่เขยใหญ่ช่วยเด็กชายบ้านเฉินยกของลงจากรถ ส่วนเฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่ยืนอยู่เฉยๆ ไม่มีใครยอมให้ช่วย
เฉินเฟิ่นอี้ที่เห็นว่าลุงของเธอกำลังคุยธุระกันอยู่ ที่เหลือก็พากันขนของลงจากรถ วันนั้นเธอลืมไปดูในครัวกับห้องน้ำจึงใช้โอกาสนี้เดินไปดู ได้ยินว่าด้านหลังมีแปลงผักให้ปลูกด้วย อย่างน้อยมันก็จะช่วยประหยัดได้
ด้านหลังมีห้องครัวต่อเติมออกมาจากตัวบ้าน แค่เปิดประตูครัวก็เจอเข้ากับประตูที่สามารถเปิดออกมาจากในบ้าน เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าไปสำรวจด้านใน ห้องครัวกว้างกว่าที่คิดพอสมควร อีกทั้งยังมีฟืนและถ่านให้ใช้อีก
เฉินเฟิ่นอี้มองครู่เดียวก็รู้ว่ามันเพิ่งถูกทำความสะอาดไปเมื่อไม่นาน ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่ามีตู้เย็นเก่าๆ ที่เสียบปลั๊กไฟเอาไว้ หรือเจ้าของบ้านจะเอามาให้ใช้ เธอส่ายหน้าพร้อมทั้งลองเปิดตู้เย็นดู ด้านในมันเย็นและสามารถแช่ของได้ ตู้เย็นก็เหมือนถูกทำความสะอาดหมดไม่มีกลิ่นเลยสักนิด
พอสำรวจจนพอใจเฉินเฟิ่นอี้ก็เดินไปดูห้องน้ำต่อ ด้านในสะอาดมาก ทำให้เฉินเฟิ่นอี้ต้องแปลกใจกับราคาที่ปล่อยเช่า ลุงสามของเธอมีเพื่อนที่ร่ำรวยขนาดนี้เลยหรือ ร่ำรวยไม่พอยังใจกว้างให้พักในบ้านหลังใหญ่
“พี่คะ ลุงใหญ่ให้มาตามค่ะ พี่เขยต้องรีบกลับตำบล” เฉินเหม่ยเย่เดินมาตามพี่สาวที่เดินสำรวจหลังบ้าน
“ได้”
เฉินเฟิ่นอี้ยังไม่ได้สำรวจแปลงผักก็ต้องเดินกลับไปยังหน้าบ้าน ทุกคนยังอยู่กันครบไม่ได้เดินไปไหน ลุงใหญ่จึงแนะนำเจ้าของบ้านให้พวกเธอได้รู้จัก
“คนนี้ลุงเหว่ยเทาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ และเป็นเพื่อนสนิทลุงสามของหลาน” ลุงใหญ่และนำให้รู้จักกับเธอ เด็กๆ คงทำความรู้จักกันไปแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันเฉินเฟิ่นอี้เป็นพี่สาวสามของเด็กๆ” เฉินเฟิ่นอี้ทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จัก อาหมิงชอบเล่าให้ฟังว่ามีหลานสาวที่น่ารักอยู่คนหนึ่ง คงเป็นเธอสินะ” ลุงเหว่ยเทาพยักหน้าพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เดี๋ยวนะ อาหมิง? หมายความว่าทั้งสองต้องสนิทกันมากแน่ๆ เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเล็กน้อยมองตรงที่เคยวางของอยู่หน้าบ้าน ตอนนี้คงถูกยกเข้าไปไว้ข้างในหมดแล้ว
“ลุงต้องพาพี่เขยของพวกหลานกลับแล้ว หากมีเรื่องอะไรก็ให้บอกลุงฟ่ง ไม่ก็ไปบอกลุงเหว่ยก็ได้ ลุงฝากพวกเขาไว้แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญไม่ต้องกลับบ้านในวันหยุดก็ได้” ลุงใหญ่บอก เนื่องจากกลัวว่าวันหยุดของเด็กๆ แทนที่จะได้นอนพัก กลับต้องเดินเท้าเหนื่อยๆ กลับบ้านอีก ทุกคนจึงกำชับคำพูดมา
“ค่ะ”
“อ้อ ย่าของหลานกลัวว่าถ้าให้เงินหลานจะไม่รับ ลุงจะเข้ามาหาเดือนหน้า ถ้าอยากได้อะไรก็ให้บอก แล้วก็ย่าของหลานฝากเงินมาให้” ลุงใหญ่รีบยัดกระเป๋าเงินใส่มือของเธอ คงกลัวว่าเฉินเฟิ่นอี้จะไม่ยอมรับ
“ย่าก็จริงๆ เลย” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าเมื่อเปิดดูกระเป๋าเงิน มีเงินอยู่ยี่สิบหยวนและคูปองหลายใบ อุตส่าห์บอกไม่ต้องให้เงินเพราะเธอมีใช้อยู่
“ฮ่าๆ เห็นว่าเจ้าสามกำชับเอาไว้ ดูแลกันดีๆ ลุงไปแล้ว เฉินไห่หลิว เฉินตงดูแลพี่สาวกับน้องด้วย” ลุงใหญ่หัวเราะก่อนจะหันไปย้ำกับหลานชายคนรองและลูกชายคนเล็ก
“ลุงใหญ่ไม่ต้องห่วงครับ”
“พ่อไม่ต้องห่วงนะ ผมดูแลพี่สาวดีอยู่แล้ว” เฉินตงพยักหน้า
“ฉันไปแล้วนะ ฝากพวกนายดูแลหลานให้ด้วย”
“ได้ครับ พี่ไม่ต้องห่วง”
รถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้าน เฉินเฟิ่นอี้ขมวดคิ้วแน่นเมื่อนึกขึ้นได้ รถยนต์คันหนึ่งไม่ใช่ราคาถูก หากเป็นในปักกิ่งหรือมณฑลใหญ่จะไม่สงสัย บ้านพี่เขยของเธอทำไมถึงรู้จักคนใหญ่คนโตได้
“พี่สาว”
เฉินเฟิ่นอี้สะบัดหน้าไปมาเมื่อถูกเรียก เงยหน้าขึ้นมองอีกทีเพื่อนของลุงสามก็เดินออกไปแล้ว เธอหันไปมองน้องๆ ที่หันมามองเธอเป็นตาเดียว เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจก่อนจะชวนเข้าไปในบ้านเพื่อดูว่าต้องซื้อะไรเพิ่ม
บ้านเฉินให้กระทะและหม้อมาอย่างละใบ หากหาซื้อใหม่ต่อให้มีเงินก็คงหาซื้อยาก เฉินเฟิ่นอี้ก็เห็นด้วยต่อให้เธอมีเงินแต่ก็ไม่ควรใช้สุรุ่ยสุร่าย แต่ไม่ได้ตะหลิวและพวกถ้วยชามมา
เด็กๆ บ้านเฉินต่างเดินมานั่งในห้องโถง มีโต๊ะให้นั่ง เฉินเฟิ่นอี้ได้สอบถามแล้วที่นี่สามารถทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นนำออกไปขายไม่อย่างนั้นจะถูกจับ
“เราต้องไปซื้อของเข้าบ้านเพิ่ม เฉินตงหากระดาษมาจดรายการของ” เฉินเฟิ่นอี้เปิดประเด็น
“คุณย่าให้เงินมาเท่าไหร่เหรอครับ ลุงใหญ่บอกว่าเดือนหน้าจะเข้ามาใหม่ ไม่ควรใช้จ่ายสิ้นเปลือง” เฉินไห่หลิวส่ายหน้า พวกเขามีทั้งหมดห้าคน ปกติได้วันละสองเฟินเพื่อซื้ออาหารกลางวัน แต่ในอำเภอมีราคาที่แพงกว่าและวันหนึ่งก็ตกหนึ่งเหมา เดือนหนึ่งก็ใช้เกือบห้าหยวน
“ไม่ต้องห่วง ย่าให้เรามาเยอะ ดีไม่ดีลุงสามอาจส่งเงินผ่านเพื่อนของเขามาให้เราก็ได้” เฉินเฟิ่นอี้กล่าวอย่างขบขัน แต่เธอไม่รู้เลยว่าในอนาคตลุงสามจะส่งเงินมาให้ทุกเดือนอย่างที่เคยพูด
เฉินไห่หลิวส่ายหน้าให้กับความฟุ่มเฟือยนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะพี่สาวสาม พวกเขาจึงได้รับประทานอาหารดีๆ และแข็งแรงขึ้นมามาก พร้อมทั้งรับกระดาษจากเฉินตงมาจดสิ่งที่ต้องซื้อแทน
เฉินเฟิ่นอี้เริ่มบอกสิ่งที่ต้องซื้อหลักๆ ยกเว้นของกินที่ต้องไปดูในร้านค้าว่าควรซื้ออะไร ตอนนี้ทุกคนยังเหนื่อยจากการเดินทาง อีกสักพักจึงจะออกไปซื้อของตามที่ได้จดไว้
ประตูบ้านและประตูรั้วถูกล็อกด้วยกุญแจอย่างดี บ้านข้างๆ ไม่มีเสียงพูดคุยเหมือนในหมู่บ้านก็ไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไร แต่พวกเธอเห็นเพื่อนบ้านที่มองมาหลายคน แค่ไม่ได้เข้าไปทักเพราะกลัวว่าจะมืดเสียก่อน
เฉินเฟิ่นอี้เดินนำน้องๆ เพื่อไปยังสหกรณ์ประจำอำเภอ ถึงคาดว่าของในสหกรณ์จะเหลืออยู่พอสมควร หลังจากซื้อของเสร็จจะแวะรับประทานอาหารที่ร้านค้าก่อนกลับบ้านพัก เฉินเฟิ่นอี้รู้สึกเหนื่อยๆ จากการเดินทางซึ่งทุกคนต่างเห็นด้วย
ภายในสหกรณ์เฉินเฟิ่นอี้ไม่เห็นฉางลี่เฟยและเธอก็ไม่ได้ถามหาหล่อนกับพนักงานที่ช่วยพูด อย่างน้อยแค่หล่อนไม่สร้างความรำคาญให้พวกเธอก็ดีแล้ว กลัวก็แต่ว่าจะเดือดร้อนไปถึงพี่สาวรองน่ะสิ
เพราะเฉินเฟิ่นอี้ต้องซื้อของหลายอย่าง ไม่สามารถให้เฉินตงถือคนเดียวได้จึงลากเฉินไห่หลิวมาด้วย แต่จะให้เธอทิ้งน้องสาวคนเล็กกับน้องชายไว้สองคนก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน สุดท้ายจึงลากกันมาเป็นพรวน และเหมือนเฉินไห่หลิวจะกลัวว่าเธอจะให้เฉินตงพาไปตลาดมืด จึงไม่ยอมแยกจากไปทั้งๆ ที่เห็นว่าจ้องร้านหนังสืออยู่
“แอปเปิลหนึ่งถุง พุทราหนึ่งถุง เอาสตรอว์เบอร์รี่กับองุ่นเพิ่มด้วยแล้วกัน” ทีแรกจะเอาแค่แอปเปิลและพุทราแต่มีผลไม้ที่เฉินเฟิ่นอี้อยากได้ด้วย สุดท้ายก็จับลงตระกร้า เสียดายที่ลุงใหญ่รีบกลับไม่อย่างนั้นคงซื้อนมไปให้ชิงชิงน้อยด้วย
“ซื้อเยอะเกินไปแล้ว”
เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจเมื่อถูกห้าม นี่แหละทำไมเธอจึงชอบไปไหนมาไหนกับเฉินตง เขาไม่อยากให้เธอซื้อแต่ก็ไม่ได้ห้าม แต่เฉินไห่หลิวกลับห้ามเธอซื้อและบ่นแม้จะมีเหตุผลก็ตาม
“วันหลังฉันจะไม่พานายมา” ซึ่งก็คือพรุ่งนี้ที่เธอจะไปตลาดมืดอีกครั้ง
“พี่สาวฉันอยากกินอันนี้ค่ะ” เฉินเหม่ยเย่ชี้ไปที่ถุงสาหร่ายอบแห้งห่อใหญ่
“ได้ หยิบมาเลย” เฉินเฟิ่นอี้มองเมินสายตาของเฉินไห่หลิวไป นานๆ มาซื้อพวกเครื่องปรุงทีเธอก็อยากซื้อแค่เดือนละครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ได้ห้ามเพราะเฉินตงเหยียบเท้าห้ามเขาไว้
เฉินเฟิ่นอี้หยิบของเพิ่มอีกหลายอย่างจนเต็มสองตะกร้า เห็นเฉินไห่หลิวทำหน้านิ่งๆ เธอจึงหยุดเลือกของและเอาไปจ่ายเงิน ไม่อย่างนั้นพวกเธอโดนกินหัวแน่ นี่น้องชายหรือพ่อกันนะ ขนาดพ่อแท้ๆ ของเฉินเฟิ่นอี้ยังไม่กล้าขัดใจเธอเลย
เงินจำนวนสิบกว่าหยวนถูกจ่ายไปด้วยสายตาละห้อยของเฉินไห่หลิว หรือเธอใช้เงินมากเกินไปจริงๆ เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าและช่วยน้องชายถือของ และไปรับประทานอาหารที่ร้านค้ารัฐแทน
“ไม่ต้องซื้ออะไรแล้วนะครับ แค่นี้ก็อยู่ได้เป็นเดือนแล้ว” เฉินไห่หลิวบอกเฉินเฟิ่นอี้ที่หันมองร้านค้าที่กำลังเดินผ่าน
“นายบ่นเก่งจริงๆ ไม่เหมือนเฉินตงที่ไม่ห้าม”
“ใช่ครับพี่สาวสาม พี่ชายบ่นเก่งจริงๆ” เฉินจางที่เป็นน้องชายยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พี่ชายรองของเขาบ่นเก่งจริงๆ
“เฉินจาง”
“อุ่ย”
“นายอย่าไปดุน้องเลย นายก็เหมือนกัน ใกล้เป็นพ่อของฉันขึ้นทุกทีแล้ว” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองทางและเดินต่อ
“พรุ่งนี้ผมจะไปโรงเรียนนะครับ เห็นว่าคุณครูเรียกพบ ใครไปก็กลับมาบอกเพื่อนได้” เฉินไห่หลิวบอก จริงๆ ก็แจ้งไว้ตั้งแต่วันมาสมัครเรียนแล้ว
“อืม นายพาเฉินจางกับเหม่ยเย่ไปด้วยก็แล้วกัน”
เฉินไห่หลิวหันไปมองหน้าเฉินตงที่ยิ้มแห้งอยู่ พูดอย่างนี้คงไม่พ้นไปตลาดมืดอีก สงสัยต้องจัดการเฉินตงใหม่ ไม่รู้ว่าเขาพาพี่สาวสามไปที่นั่นบ่อยแค่ไหน