บทที่ 27น่าสมเพช

2247 Words
ในที่สุดกิจกรรมที่พวกเฉินเฟิ่นอี้สนใจก็มาถึง จริงๆ จะเรียกว่ากิจกรรมก็ไม่ถูก มันเป็นการแข่งขันชิงทุนให้กับห้อง ซึ่งหากห้องไหนชนะการแข่งขันก็จะถูกตรวจสอบเอกสารว่าคนไหนบ้างที่ทางบ้านขัดสน คนที่ไม่ขัดสนก็จะได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่า ทุนการศึกษาที่เป็นรางวัลได้ยินว่ามีสองร้อยหยวน และพวกหนังสือ สมุด ปากกา รวมถึงสิ่งของที่ต้องใช้ในการเรียนต่างๆ ห้องอื่นก็จะได้รับเช่นเดียวกันแต่จะได้รับน้อยกว่าและไม่ได้เงินรางวัล การแข่งขันจะจัดขึ้นพรุ่งนี้ซึ่งมันกระทันหันเป็นอย่างมาก มีนักเรียนหลายคนแย่งชิงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันเพราะได้ยินว่าจะมีรางวัลพิเศษให้คนแข่งขันด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วม อย่างห้องเรียนมัธยมปลายของพวกเฉินเฟิ่นอี้ก็มีหลายคนที่ไม่ต้องการเข้าร่วม เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจหลังคุณครูประจำวิชาเดินออกจากห้อง คุณครูเพิ่งเข้ามาบอกเรื่องการแข่งขันและเน้นย้ำว่าต้องเอารางวัลมาให้ได้ แต่เขากลับไม่บอกว่าจะมีการแข่งขันอะไรหรือเลือกใครเป็นตัวแทนห้องทั้งสี่คน ส่วนเพื่อนในห้องก็ทำได้เพียงส่ายหน้า “คุณครูบ้าไปแล้ว ต้องชนะแต่ไม่มีรายละเอียดบอกนี่นะ!” เฉินตงบ่นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ แค่การเรียนที่สอนไม่ค่อยรู้เรื่องก็หนักแล้วยังต้องไปแข่งกับห้องอื่นอีก “ฉันว่าพวกเราดวงซวยแน่ๆ” มู่อวิ๋นบ่น ตัวเขาเรียนมัธยมต้นของที่นี่อยู่ห้องอันดับหนึ่งมาตลอด ไม่คิดว่าพอขึ้นมัธยมปลายแล้วจะถูกตัดหางปล่อยวัดแบบนี้ ถึงว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนหลายคนไม่ชอบห้องอันดับต้นเพราะอย่างนี้นี่เอง เฉินเฟิ่นอี้เหม่อมองหน้าต่างอย่างใช้ความคิด หากการแข่งขันครั้งนี้ห้องเรียนของเธอชนะ เหล่าคุณครูคงปฏิบัติต่อพวกเธอดีขึ้น แต่ใครกันล่ะที่จะลงแข่งแล้วชนะแน่ๆ หนึ่งในสี่คนที่ว่าไม่พ้นเธอกับเฉินไห่หลิว เฉินตงมีโอกาสที่จะได้เป็นตัวแทนแต่อาจถูกนินทาได้ว่าพวกเธออวดเก่ง และยังมีเพื่อนร่วมห้องอีกหลายคนที่เรียนเก่ง หากมีตัวกลางหรือมีเวลาให้จัดการตัวแทนห้องก่อนสักหลายวันจะไม่หนักใจเลย แต่นี้ประกาศวันนี้พรุ่งนี้เริ่มแข่งขัน ทั้งต้องแข่งขันกันทั้งโรงเรียนอีก มัธยมปลายมีโอกาสชนะมากกว่ามัธยมต้นเพราะเรียนมามากกว่า เสียงพูดคุยยังคงดังต่อเนื่องเกี่ยวกับการส่งตัวแทนเข้าร่วม วันนี้คุณครูปล่อยให้ปรึกษากันไม่ได้เรียน และอาจลากยาวถึงพรุ่งนี้ที่จัดการแข่งขัน ได้ยินว่าคนที่ให้ทุนกับโรงเรียนจะมาร่วมการแข่งขันพรุ่งนี้ด้วยจึงต้องจัดเตรียมสถานที่ “พี่ พี่ครับ” “มีอะไร” เฉินเฟิ่นอี้หันมามองตามเสียงเรียก เป็นเฉินไห่หลิวที่เรียกพร้อมสายตาทุกคนในห้องทั้งหมดมองมาที่เธอ “ทุกคนลงความเห็นกันว่าต้องส่งตัวแทนไป พวกเราจะเอายังไง” เฉินตงที่นั่งด้านหลังถามบ้าง “การแข่งขันชิงทุนครั้งนี้คือการแข่งขันอะไร เรายังไม่รู้เลย แล้วจะหาตัวแทนไปแข่งได้ยังไง” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า เธอเชื่อว่ามีหลายคนที่รู้แล้วว่าการแข่งขันนี้มีอะไรบ้างยกเว้นห้องเรียนของพวกเธอ “ใช่ คุณครูก็รีบร้อนเกินไป” มีหลายคนที่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกเขาไม่ได้รับรายละเอียดที่แน่ชัด มีแค่บอกว่ามีกิจกรรมชิงทุนและต้องชนะให้ได้ หากพวกเขาเป็นห้องอันดับต้นตอนนี้ครูคงบอกแล้วว่ามีการแข่งขันอะไรบ้าง ดีไม่ดีคงรู้ด้วยว่าจะชนะยังไงเลยด้วยซ้ำ “หลังจากพักกลางวันใครมีเพื่อนห้องอื่นบ้างลองสอบถามพวกเขาดู ช่วงบ่ายค่อยคุยกันอีกที” เฉินเหม่ยเย่อยู่ห้องเรียนอันดับหนึ่งคงรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่น้อย เฉินเฟิ่นอี้จะไปสอบถามหล่อนค่อยตัดสินใจ ที่แน่ๆ เธอก็คงต้องเข้าร่วม หากแพ้ขึ้นมาจะถูกทางโรงเรียนตัดหางปล่อยวัดมากกว่าเดิม “ได้” เฉินเฟิ่นอี้มองตารางเรียนคาบต่อไปของตนเอง ถึงวันนี้จะไม่มีการเรียนการสอนแต่นักเรียนทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องเรียนหากไม่ถึงเวลา อย่างคาบเรียนนี้มีเวลาพักสิบนาทีก่อนเรียนคาบเรียนต่อไป มีหลายคนแยกย้ายกันนั่งลงที่พื้นพร้อมจับกลุ่มพูดคุยกัน และมีบางคนทำงานที่ค้างเอาไว้ ส่วนพี่น้องบ้านเฉินกำลังนั่งจดตารางเวลาว่างที่จะรับสอนพิเศษ นับตั้งแต่เปิดเทอมมาก็เกือบหนึ่งเดือนแล้ว เงินที่ได้รับจากการทำอาหารในแต่ละวันก็ไม่ต่ำกว่าห้าหยวน แต่มันจะดีมากกว่านี้หากได้เพิ่ม ตารางการสอนพิเศษเฉินเฟิ่นอี้จะสอนสัปดาห์ละสามวันติดต่อกัน วันแรกของสัปดาห์และวันสุดท้ายก่อนจะหยุดเรียนจะถูกเว้นไว้ และหากมีคาบว่างอาจสอนเพื่อนๆ ในห้องเพิ่มเติม สามวันที่ว่าจะรับสอนวันละสองชั่วโมง หลักๆ คือมีภาษาต่างประเทศที่เฉินเฟิ่นอี้จะทำการสอน เฉินไห่หลิวจะรับสอนพิเศษคณิตศาสตร์ของเพื่อนร่วมห้องที่สนใจ เฉินตงขอช่วยงานพี่สาวและพี่ชาย เฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางได้ยินว่าเพื่อนร่วมห้องของทั้งสองคนก็อยากเรียนภาษาต่างประเทศและคณิตศาสตร์ด้วย เพราะตอนนี้เฉินเหม่ยเย่เรียนรู้ภาษาต่างประเทศเร็วมาก และเฉินจางที่เรียนคณิตศาสตร์ได้เร็วไม่ต่างจากพี่ชาย อันที่จริงต้องบอกว่าพี่น้องบ้านเฉินเก่งเรื่องการเรียนมาก เพราะยังไม่รู้ว่าผลการเรียนของทุกคนจะเป็นยังเมื่อพวกเธอสอนพิเศษ เฉินเฟิ่นอี้จึงจำกัดการสอนไว้แค่เจ็ดคน ในการสอนพิเศษภาษาต่างประเทศ ส่วนเฉินไห่หลิวรับสอนคณิตศาสตร์แค่เพื่อนร่วมห้องที่ต้องการเรียนสองคน พวกเธอปรึกษากันว่าจะรับสอนสัปดาห์ละสองหยวนเท่านั้น เพราะเป็นเพียงการทดลองเฉยๆ หากผลการเรียนดีขี้นเทอมหน้าจะเพิ่มราคาขึ้นอีก ในตอนนี้ต้องบอกว่าคนที่ต้องการเรียนพิเศษเต็มแล้ว ก็ไม่ใช่คนอื่นเป็นเจียวซี พวกเว่ยฟ่ง จี้หลัน และลูกพี่ลูกน้องของจี้หลัน จริงๆ เจียวซีอยากเรียนแต่มีเงินไม่พอ เฉินเฟิ่นอี้จึงให้หล่อนแบ่งชำระได้เรื่อยๆ รวมถึงคนอื่นด้วย แต่ยังไม่มีวันที่สอนแน่ชัด เฉินเฟิ่นอี้เก็บของใส่กระเป๋าผ้า กระเป๋ากล่องข้าวถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะ ไม่รู้ว่าพวกเธอนั่งปรึกษากันนานมากแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็มีเสียงระฆังพักกลางวันแล้ว วันนี้เฉินเฟิ่นอี้นอกจากทำข้าวกล่องให้ตนเองและน้องแล้ว ยังรับทำข้าวกล่องให้เพื่อนอีกเกือบสิบที่ โชคดีว่าทุกคนรู้ตัวว่าควรทำยังไงจึงมารอ และเฉินไห่หลิว เฉินตง รวมถึงเฉินจางทยอยเอาข้าวไปส่งตามสถานที่นัดหมาย “เจียวซีจะไปหาน้องสาวใช่ไหม” เฉินเฟิ่นอี้ที่เก็บของเสร็จแล้วถามเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ด้านข้าง ช่วงนี้เจียวซีไม่ค่อยได้มารับประทานอาหารมื้อกลางวันกับพวกเธอ เห็นว่าน้องสาวในบ้านยายของหล่อนป่วยจึงต้องไปดูแล “อืม จริงๆ หล่อนก็หายป่วยแล้วแหละ แต่ฉันอยากมั่นใจสักหน่อย” เจียวซียิ้มบาง น้องสาวบ้านยายของหล่อนอยู่ๆ ก็ป่วยขึ้นมา หล่อนจึงถูกต่อว่าที่ไม่ดูแล ช่วงนี้จึงต้องไปดู ไม่อย่างนั้นคงถูกต่อว่าอีก “หล่อนก็โตแล้ว ควรดูแลตัวเองได้แล้ว” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า หากน้องสาวของเพื่อนเธออายุเท่าเฉินเหม่ยเย่เธอจะไม่ว่าเลย แต่นี่หล่อนก็อยู่มัธยมปลายเช่นเดียวกัน “ช่างเถอะ” เพราะอาศัยบ้านยายอยู่เจียวซีจึงทำอะไรไม่ได้ ยิ่งเพิ่งพ้นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตไปหากหล่อนแยกตัวออกมาที่บ้านจะเดือดร้อน ตอนนี้จึงพยายามไม่สร้างปัญหาให้บ้านยายและยอมๆ ไปก่อน เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจมองเจียวซีที่ถือปิ่นโตออกจากห้องไป เพราะหล่อนไปรับประทานอาหารกลางวันกับน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ได้แบ่งอาหารของเธอให้หล่อน ลำพังแบ่งให้เจียวซีเธอแบ่งให้ได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้าเจียวซีนำไปรับประทานร่วมน้องสาวจะเป็นยังไง “น่าสงสารพี่เจียวซีนะครับ ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องเดินทางไปกลับหมู่บ้านและอำเภอทุกวัน ยังดีที่พวกเรามีลุงสามคอยช่วยเหลือจึงไม่ได้ลำบาก” เฉินตงกล่าวด้วยความสงสาร ยังดีที่พี่เจียวซีไม่เรื่องมากไม่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้ “พวกเราก็ช่วยอะไรหล่อนไม่ได้หรอก” เจียวซีเป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง หล่อนค่อนข้างจะเรียบร้อย ในโรงเรียนประจำตำบลหล่อนมักจะไม่มีตัวตน แต่ไม่ใช่กับห้องเรียนมัธยมปลายห้องนี้ ทุกคนสามัคคีกันมาก คงเป็นเพราะต้องร่วมชะตากรรมไปด้วยกันจนจบก็ได้ แถมไม่มีคนดูแคลนเรื่องฐานะอีก หากไม่ติดว่าเจียวซีขี้เกรงใจหล่อนก็ต้องถูกเลี้ยงข้าวทุกวันแน่ อย่างช่วงก่อนที่เจียวซีจะไปรับประทานอาหารกลางวันกับน้องสาว เว่ยฟ่งยังชอบให้เงินเธอทำอาหารมาให้เจียวซีอีกด้วย แต่เรื่องนี้เธอไม่ได้บอกหล่อนว่าใครจ่ายให้ บอกเพียงว่ามีคนจ่ายให้เท่านั้น ใช่ ดูเหมือนว่าเว่ยฟ่งจะตกหลุมรักเจียวซี ใครๆ ก็มองออกยกเว้นเจียวซีและเว่ยฟ่งที่คิดว่าเจียวซีช่วยสอนการบ้านจึงต้องตอบแทน วันนี้เฉินเฟิ่นอี้ให้เฉินไห่หลิวไปตามเฉินเหม่ยเย่กับเฉินจางที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากที่นั่งประจำของพวกเธอ เฉินเฟิ่นอี้ต้องการสอบถามเกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันจึงต้องเรียกมา จะไปหาก็เกรงว่าเพื่อนของน้องจะรับประทานข้าวอย่างเกร็งๆ เพราะเคยเป็นมาแล้ว รอบข้างม้านั่งมีนักเรียนหลายคนที่นั่งอยู่ บางคนรับประทานอาหารที่ห่อมาจากบ้าน บางคนก็ไปซื้อในโรงอาหาร บางคนก็นั่งเล่นกัน ซึ่งส่วนมากทุกคนจะนั่งม้านั่งประจำ ต่อให้ใครมาช้าก็จะรู้ที่นั่งตนเอง เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ที่ยืนอยู่ เป็นอี้เหม่ยเฟิ่งที่เหงื่อเริ่มไหลกับผู้หญิงสามคน น่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนใหม่ของหล่อน แต่เธอไม่เห็นหมิงหลานฮุ่ยกับคนอื่นๆ ที่ชอบเดินตามกัน “นี่น่ะเหรอน้องสาวของเธออี้เหม่ยเฟิ่ง ดูแล้วคงเป็นผู้หญิงหน้าด้านอย่างที่เธอว่าจริงๆ” ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะมีฐานะในกลุ่มของอี้เหม่ยเฟิ่งเริ่มพูด ทั้งยังแสดงสีหน้าแววตารังเกียจเฉินเฟิ่นอี้อีก เธอนั่งเงียบๆ เพื่อรอดูสถานการณ์ คนรอบข้างต่างหันมาสนใจ เฉินเฟิ่นอี้ไม่รู้ว่าอี้เหม่ยเฟิ่งนำเรื่องอะไรไปบอกอีกฝ่าย แต่คงเป็นเรื่องที่เอาดีเข้าตัวยกความชั่วให้คนอื่นแน่ เธอไม่รู้จักเพื่อนของอีกฝ่ายและตั้งแต่มาเรียนที่นี่ก็เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ได้ยินว่าหล่อนได้อยู่ห้องเรียนอันดับต้นด้วย “มีปัญหาอะไรกับฉันเหรอคะ ฉันจำได้ว่าไม่เคยรู้จักพวกคุณนี่” เฉินเฟิ่นอี้เริ่มเอ่ยปากถามบ้าง อี้เหม่ยเฟิ่งยังคงยืนเงียบสงสัยกำลังหาคำแก้ตัวให้ตนเองอยู่ “ได้ยินว่าเธออ่อยคู่หมั้นของอี้เหม่ยเฟิ่งนี่แต่เขาไม่เอา ช่างน่าสมเพชจริงๆ” เพื่อนอีกคนเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “เดี๋ยวนะ เฉินเฟิ่นอี้น่ะเหรออ่อยคู่หมั้นคนอื่น ฉันหูฝาดไปหรือเปล่า!” จี้หลันที่นั่งอยู่ไม่ไกลโพล่งขึ้นมา อย่างที่บอก เพื่อนร่วมห้องของเฉินเฟิ่นอี้กระจายตัวอยู่รอบๆ ม้านั่ง ทุกคนต่างหันมาสนใจเหตุการณ์นี้ ด้วยความถูกแบ่งห้องออกมาทุกคนจึงสนใจเพื่อนร่วมห้องของตนเองมากกว่าห้องอื่น จี้หลันกับซ่งเวยหลานลุกขึ้นจากม้านั่งมายืนข้างๆ หลังเฉินเฟิ่นอี้ที่ส่ายหน้าห้าม เพียงแต่พวกหล่อนไม่ได้สนใจเพราะเห็นๆ อยู่ว่าเฉินเฟิ่นอี้ตัวติดกับน้องชายแทบตลอดเวลา ไหนจะหาเวลาว่างมาสอนพิเศษให้พวกเธออีกจะเอาเวลาไหนไปอ่อยผู้ชาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD