เข้าค่าย#2

1164 Words
“โซ่ ถึงคิวแกแล้ว” ตะวันวาดเอ่ยท้วงเมื่อเห็นว่าเพื่อนเหม่อมองออกไปข้างนอกจนไม่ยอมวางของลงหน้าเคาน์เตอร์ “อื้อ” โรสลินหันมารับคำเพื่อนแล้ววางขนมพร้อมกับน้ำผลไม้ลง ทั้งสองคนรีบวิ่งไปขึ้นรถบัสเมื่อเห็นว่าหลายคนขึ้นรถกันไปจนเกือบหมดแล้ว สายตาของโรสลินยังคงมองออกไปนอกกระจกด้วยความคลางแคลงใจเรื่องผู้ชายคนนั้น เธอกวาดสายตามองรอบ ๆ บริเวณนั้นอีกหนแต่ก็ไม่พบชายหนุ่มคนดังกล่าว ในขณะที่รถเคลื่อนออกและเธอกำลังจะถอดใจ ชายหนุ่มคนนั้นก็ยืนหันหน้ามาทางกระจกที่เธอนั่งอยู่ หน้ากากอนามัยที่ปิดหน้าไปครึ่งหนึ่ง และแว่นกันแดดทำให้โรสลินไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขาเป็นใคร ทว่าเธอได้ละทิ้งความสงสัยและให้ความสนใจกับขนมปังเนยในมือแทน เพราะไม่ว่าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ออกอย่างแน่นอน รถบัสคันใหญ่ได้จอดนิ่งสนิทลงที่ตีนเขาน้ำค้างในช่วงยามเย็นแสงตะวันคล้อยต่ำ คุณครูผู้จัดกิจกรรมใช้โทรโข่งในการปลุกนักเรียนทุกคนบนรถ บางคนที่นอนขลุกอยู่ใต้ผ้าห่มส่วนตัวที่บนที่นั่งนั้นแทบไม่อยากลุก แต่ก็จำใจต้องลุกอยู่ดี ตะวันวาดที่นอนคอพับคออ่อนอยู่ตื่นขึ้นเพราะแรงเขย่าของเพื่อนรักอีกครั้ง หนนี้เธอนอนไปนานมากจนปวดตัว เด็กสาวหาวออกมาหวอดใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามเพื่อนสนิทลงไปจากรถ หลังจากทุกคนได้ไล่ความง่วงไปบางส่วนแล้ว คุณครูผู้จัดกิจกรรมก็เรียกให้ทุกคนไปนั่งรวมกันที่ใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ ก่อน เพื่อจะได้นัดแนะกำหนดการก่อนการเดินทางขึ้นดอยในวันรุ่งขึ้น คืนนี้เหล่านักเรียนผู้ร่วมกิจกรรมกว่าสามสิบชีวิตจะได้นอนหลับพักผ่อนที่ตีนเขา และเริ่มต้นเดินทางขึ้นดอยเมื่อแสงทองของเช้าวันใหม่มาเยือน หลังได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่เป็นเวลาหนึ่งคืน เช้าวันใหม่ เหล่านักเรียนผู้ร่วมกิจกรรมบิซิเนสแอนด์กรีนทริปได้มารวมตัวกันอีกครั้งบริเวณใต้ต้นไม้ตำแหน่งเดิม “นักเรียนทุกคนก็คงพอจะรู้นะคะ ว่าบนดอยเนี่ย ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และมีไฟฟ้าให้ใช้น้อยมาก เพราะฉะนั้น หากไม่จำเป็นไม่ต้องใช้โทรศัพท์นะคะ เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นก็พอค่ะ ระหว่างทำกิจกรรมก็ห้ามเอาออกมาใช้เด็ดขาดเลย ถ้าครูเห็นครูจะทำการยึดทันทีค่ะ” เด็กนักเรียนผู้ร่วมกิจกรรมส่งเสียงตอบรับ แต่ก็แฝงด้วยอาการไม่พอใจอยู่เล็กน้อย แม้การงดใช้ระหว่างกิจกรรมหรือการเรียนจะเป็นเรื่องปกติ แต่มาถึงสถานที่แบบนี้ทั้งที มันก็ต้องมีการถ่ายรูปเช็กอินลงในโซเชียลบ้างไม่ใช่หรือ “ส่วนเรื่องที่สองคือ เรื่องของการขึ้นดอย เนื่องจากไม่สามารถขับรถบัสขึ้นไปได้ ทางเดียวที่จะขึ้นไปได้คือการเดิน นักเรียนทุกคนจะต้องยกกระเป๋าเดินขึ้นไปเองนะคะ” ทุกคนส่งเสียงประท้วงออกมาอย่างไม่พอใจทันที พวกเขาแต่ละคนต่างรู้ว่าสถานที่จัดกิจกรรมคือบนดอย แต่หลายคนก็ไม่ได้คาดคิดว่าถึงกับต้องเดินแบกกระเป๋าขึ้นเขาด้วยตัวเอง “ครูขา กระเป๋าหนูหนักมากเลยนะคะ จะให้ขนขึ้นไปได้ยังไง อีกอย่าง ทางมันชันมากเลยนะคะ” “นั่นสิคะคุณครู หนูหลังหักตายก่อนจะได้เข้าค่ายพอดี” “ไม่มีกระเช้าหรือรถไต่เขาอะไรสักอย่างจริง ๆ เหรอคะ” ฝั่งนักเรียนชายเพียงส่งเสียงพูดคุยกันล้งเล้ง ต่างจากนักเรียนหญิงที่หลายคนเริ่มจะถอดใจเสียแล้ว พวกเธอส่วนหนึ่งคิดตรงกันถ้าให้เดินขึ้นเขาก็คงไม่หนักหนา น่าจะไม่ต่างกับการเดินทางไกลในวิชาลูกเสือเนตรนารี แต่การต้องแบกกระเป๋าขึ้นเขาน่าจะลำบากมากโข เพียงครู่หนึ่ง รถกระบะคันหนึ่งก็ขับลงมาจากเขาและจอดใกล้ ๆ กับจุดที่นักเรียนทุกคนนั่งอยู่ สาวสวยคนหนึ่งรีบเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับออกแล้วตรงดิ่งมาหาคุณครูผู้รับผิดชอบกิจกรรมทันที “สวัสดีค่ะครูฝน คือพวกหนูขอโทษนะคะที่เลต” หญิงสาวคนนั้นเอ่ย ดูจากการแต่งกายแล้วก็พอจะเดาออกทันทีว่าเป็นนักศึกษา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ครูกำลังกำชับข้อควรปฏิบัติกับน้อง ๆ อยู่พอดี” ครูฝนว่าแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ “เอ่อ... ครูมีเรื่องอยากถามน่ะค่ะ เส้นทางขึ้นดอย ถ้าไม่ให้ใช้วิธีเดินแล้วจะมีวิธีอื่นมั้ยคะ” “ก็มีนะคะ ให้ใช้รถกระ…” ยังไม่ทันที่เธอคนนั้นจะพูดจบประโยค ประตูฝั่งคนขับก็เปิดออกพร้อมกับร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ก้าวลงจากที่นั่งคนขับนั้น “ถ้าน้องเขาไม่เดิน ก็เข้าร่วมกิจกรรมของค่ายไม่ได้หรอกครับ คุณครูพากลับไปเถอะครับ ฝืนไปก็เสียเวลาเปล่า ๆ” วาจาบาดลึกนั้นดังมาจากคนที่โรสลินคุ้นเคยเป็นอย่างดี พี่ภีม! โรสลินอ้าปากค้างเมื่อลูกชายของเพื่อนแม่ที่เจอหน้ากันนับครั้งไม่เกินสองฝ่ามือในช่วงปีที่ผ่านมา กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอในฐานะของพี่ค่าย “...” นักเรียนทุกคนเงียบกริบ ดวงตาคมของเขาทอดมองทุกคนไปเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงที่โรสลิน ฝั่งเด็กสาวก็ชั่งใจอยู่นานว่าควรจะทักพี่ชายคนสนิทคนนี้อย่างไรดี... แต่ในสถานการณ์แบบนี้คงไม่เหมาะจะออกปากทัก ครั้นหันมองหน้าเพื่อนร่วมกิจกรรมคนอื่น ๆ ดูเหมือนว่าจะมีคนจำหนุ่มรุ่นพี่ได้ไม่น้อย “เอ่อ... ขอโทษนะคะครูฝน” นักศึกษาสาวคนนั้นยกมือไหว้ปลก ๆ แล้วรีบเดินไปดึงแขนเพื่อนทันที “ไอ้ภีม! น้องกลัวหมดแล้วเนี่ย!” เธอว่าพลางส่งสายตาปรามไปยังเพื่อนชายที่ยืนทำหน้าดุใส่น้องค่าย ธาวินไหวไหล่อย่างไม่สนใจและพูดเรื่องเดินขึ้นดอยต่อ “ค่ายนี้ไม่ได้บังคับคนมาเข้าร่วมแต่เป็นการลงชื่อด้วยความสมัครใจ และตอนนี้น้อง ๆ มาถึงที่แล้ว ช่วยให้ความร่วมมือด้วยครับ เส้นทางขึ้นดอยมันไม่ไกลมากนักหรอกครับ ของมันหนักก็ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนไปในตัว รถกระบะที่พี่เอาลงมาก็เพื่อรับคุณครูของน้อง ๆ ขึ้นไป ส่วนพี่จะเดินไปพร้อมกับพวกเรา เท่าเทียมดีมั้ยครับ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD