เมื่อรถยนต์เข้ามาจอดในบ้านของเด็กหญิง โรสลินได้เอ่ยชวนให้เขาลงไปกินน้ำทานขนม ระหว่างทางเดินไปห้องนั่งเล่นเธอก็เปรยขึ้นว่า “พี่ภีม สติกเกอร์เต็มเสื้อเลยนะเนี่ย” พลางจิ้ม ๆ ไปบนแผ่นพลาสติกเคลือบด้านหนึ่งด้วยกาวเหนียวอย่างล้อ ๆ
“กลับบ้านไปก็ให้แม่บ้านจัดการให้” ธาวินว่าพลางดึงสติกเกอร์อันหนึ่งออกจากแขนเสื้อฝั่งขวาแล้วไปแปะบนมือของน้องน้อย “เราล่ะ ทำไมไม่เห็นมีใครแปะสติกเกอร์ให้เลย ได้ไปโรงเรียนจริงมั้ยเนี่ย หืม?” ธาวินยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเด็กหญิงออกอาการเขินจนหน้าแดง เขาจ้องหน้าเธออย่างชอบใจพร้อมคิดว่า ‘เธอช่างน่ารัก’
“ไปจริง ๆ!!!” โรสลินมีใบหน้าเหนียมอายแล้วขึ้นเสียงกลบเกลื่อน นิ้วชี้เล็ก ๆ ยกขึ้นจิ้มไปที่หน้าอกของพี่ชายคนสนิท “เพื่อนห้องโซ่แค่ไม่เล่นสติกเกอร์ต่างหาก อีกอย่าง ถ้าเพื่อนเอาสติกเกอร์มาแปะ ก็เกรงใจป้าแม่บ้านที่ต้องมาแกะออก แต่ก็เอาเถอะ ไม่มีใครมาแปะให้โซ่ ก็ไม่เห็นเป็นไร”
ธาวินเลิกคิ้วแล้วก็ขำออกมาในลำคอ “ไม่คิดว่าจะมีคนแอบติดให้เลยรึไง ติดแบบไม่รู้ตัวน่ะ”
โรสลินส่ายหัวออกมาแทบจะในทันทีหลังจากที่เด็กหนุ่มพูดยังไม่จบประโยค “ไม่มีใครเขามาแปะให้โซ่หรอกน่า เอ่อ... พี่ภีมรอโซ่อยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวโซ่มา” เธอจับให้พี่ชายนั่งลงบนโซฟา ก่อนตัวเองจะรีบวิ่งออกไปหยิบช็อกโกแลตที่ตนเตรียมไว้ออกมาให้เขา
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ”
ธาวินมองกล่องของขวัญทรงสี่เหลี่ยมผูกโบสีแดงด้วยความประหลาดใจ “อะไรน่ะ”
“ของขวัญวาเลนไทน์ไงคะ พี่ภีมเอาไปเปิดดูที่บ้านก็ได้”
“ที่เปิดที่นี่ไม่ได้หรือ”
คนฟังนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนสั่นศีรษะ จากนั้นพูดย้ำว่า “พี่ภีมไปเปิดที่บ้านเถอะค่ะ” โรสลินกลัวปฏิกิริยาตอบรับของเขา เธอดีใจที่ธาวินไม่รับของขวัญวาเลนไทน์จากใครเลย ถึงกระนั้นก็แคลงใจ ที่เขาไม่รับเพราะไม่ชอบของเหล่านั้นหรือเปล่า พลอยหวั่นกลัวไปอีกว่าแม้แต่ของที่เธอให้เขาก็จะไม่ชอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงเสียใจมาก จึงเลี่ยงเสียดีกว่าหากไม่รับรู้ก็คงไม่รู้สึกอะไรมากนัก
“พี่ภีมกลับบ้านได้แล้ว เย็นละ เดี๋ยวคุณป้าก็บ่นหา” เธอเอ่ยปากไล่เพราะไม่อยากให้เขารบเร้าเรื่องของขวัญ
“บ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง ไม่เห็นต้องรีบเลย” ธาวินว่าแต่ก็ยอมลุกเดินตามแรงดึงของคนที่อายุน้อยกว่า โรสลินหันไปบอกแม่บ้านแถวนั้นให้แจ้งคนรถที่จะไปส่งธาวิน ครั้นเดินมาถึงบันไดหน้าบ้าน จึงมีรถยนต์จอดรออยู่แล้ว
“รีบกินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน แล้วอย่านอนดึกนะครับ พี่ไปละ เป็นเด็กดีนะ” ธาวินบอกลา
“โอเคค่ะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” โรสลินยกมือขึ้นโบกให้กับพี่ชายคนสนิท ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าแช่มชื่นหัวใจเต้นรัว
ช่วงเย็นหลังทานข้าวกับครอบครัวเรียบร้อย โรสลินก็กลับขึ้นห้อง
เธอตั้งใจว่าจะทำการบ้านวิชาคำนวณให้แล้วเสร็จ ก่อนที่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาภาษาอังกฤษ
ความอิ่มจากการทานอาหารมาเต็มท้องทำให้หนังตาของเด็กหญิงหย่อนลง ความง่วงเข้าเกาะกุมจนต้องนั่งเอนหลังแอบงีบไปบนพนักพิงของเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
จังหวะนั้นสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างแวววาวอยู่ในตะกร้าใส่ผ้าเตรียมซักหน้าห้องน้ำ โรสลินขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเดินไปดูที่มาของประกายวาวแววนั้น
“หือ?...” เด็กหญิงหยิบเสื้อนักเรียนตัวที่ตนเองเพิ่งใส่ไปโรงเรียนขึ้นมา ที่มาของแสงวิบวับที่ว่านั้นคือสติกเกอร์รูปหัวใจสีแดงอันเล็กที่แปะติดอยู่บนเสื้อด้านหลัง โรสลินเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง เธอนึกถึงสัมผัสของพี่ชายคนสนิทที่กดลงมาบนหลังของเธอในวันนี้ทันที
“พี่ภีม” แก้มขาวขึ้นสีเลือดฝาดขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอเม้มริมฝีปากแน่น แม้จะยังไม่เชื่อตนเองในทันที แต่นอกจากธาวินแล้ว วันนี้ทั้งวันไม่มีใครมาแตะตัวเธออย่างแน่นอน
โรสลินค่อย ๆ ใช้เล็บแกะสติกเกอร์ออกมาแล้วแปะลงไปบนสมุดบันทึกประจำวันของตนเอง หัวใจเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะด้วยความขวยเขิน เด็กหญิงรีบเก็บเสื้อนักเรียนใส่ลงในตะกร้าแล้วมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อที่จะได้เขียนบันทึกไดอารี่ของตนเองด้วยความรู้สึกเบิกบานในอกอย่างห้ามไม่ได้
❤️
สติกเกอร์รูปหัวใจจากพี่ภีม
ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ ว่าจะใช่พี่ภีมหรือเปล่าที่เป็นคนมาติดให้ แต่ว่าวันนี้ทั้งวันนอกจากพี่ภีมแล้วก็ไม่มีใครมาแตะหลังเรานี่นา โอ๊ย เขินจะแย่ ทำไมถึงมาติดให้เราล่ะเนี่ย หรือว่าสงสารที่ไม่มีใครติดให้เราเลย อ่า ถ้าเพราะเหตุผลนี้ละก็... น่าอายแย่เลย
ปีต่อ ๆ ไป โซ่จะทำช็อกโกแลตไปให้กินอีกนะคะ
ขอบคุณมาก ๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับของขวัญวาเลนไทน์ค่ะ
จบปีการศึกษานั้น ธาวินต้องเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เธอและเขาจึงไม่ได้ไปโรงเรียนพร้อมกันอีก ในช่วงเทอมแรกโรสลินรู้สึกโหวงเหวงมากทีเดียวที่ไม่มีพี่ชายคนสนิทอยู่ร่วมโรงเรียนอีกแล้ว นอกจากนั้นธาวินยังเล่าอีกว่า ที่มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมมากมายสำหรับนักศึกษา ทำให้โรสลินได้พบหน้าพี่ชายคนละสายเลือดแทบนับครั้งได้ในแต่ละเดือน มิหนำซ้ำยามได้พบเจอกันแต่ละครั้ง พี่ชายก็เล่าแต่เรื่องในมหาวิทยาลัย เด็กสาวเศร้าใจไม่น้อยทว่าก็ได้แต่บอกให้ตัวเองปล่อยวางความเสียใจนั้น และเมื่อใดก็ตามที่ความ ‘คิดถึงพี่ภีม’ ของเธอท่วมท้น เด็กหญิงซึ่งเพิ่งเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อไปหมาด ๆ ก็จะเข้าครัวทำอาหารหรือขนมสักอย่าง เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการไปบ้านของธาวิน แม้ไม่มั่นใจว่าจะได้เจอเขาหรือไม่ก็ตาม
“หนูโซ่” ณัฐฐาร้องทักพร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“สวัสดีค่ะคุณป้า พอดีโซ่หัดทำสาคูน้ำกะทิค่ะ เลยเอามาให้คุณป้าช่วยชิม” เด็กสาวยิ้มหวานพร้อมบอกจุดประสงค์ที่มาเยือน “คุณลุงกับพี่ภีมอยู่หรือเปล่าคะ”
“คุณลุงอยู่จ้ะ แต่ภีมน่ะ รายนั้นมีกิจกรรมอะไรสักอย่างที่มหาวิทยาลัย”
“น่าเสียดายจัง หนูเอามาเผื่อพี่ภีมด้วย” โรสลินพยายามฝืนยิ้มแม้ว่าจะรู้สึกเสียดายมากกว่าที่แสดงออก
“ไม่เป็นไรจ้า เดี๋ยวป้าเก็บไว้ให้พี่เขาเอง แล้วนี่หนูจะมาอยู่นานไหมมีธุระอื่นหรือเปล่า อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนป้าก่อนได้ไหม ตั้งแต่ภีมเข้ามหาวิทยาลัย ป้าก็ไม่ค่อยได้เจอหนูโซ่เลย”
“ได้ค่ะ วันนี้โซ่จะอยู่กับคุณป้าทั้งวันเลยค่ะ” โรสลินยิ้มหวาน แม้จะผิดหวังทว่าเธอก็ได้แต่ทำใจ