“คุณเขม ดูหน้า ดูปากลูกสิคะ แทบจะไม่มีสี ถ้าตารันป่วยหนักกว่านี้จะทำใจได้ยังไง ฮึก... พูดมาก เตือนมากก็หาว่าบ่น รำคาญแม่แก่ๆ แล้วดูสิคะ ทำงานหนักจนล้มป่วยจนได้ อยากให้แม่ขาดใจหรือยังไง”
“คุณยายอย่าร้องไห้เลยนะคะ น้ารันเก่ง พรุ่งนี้ก็หายป่วยค่ะ”
“ไว้ลูกหายผมจะคุยกับลูกไม่ให้ลูกทำงานหนัก ไม่ให้ลูกเดินทางไปต่างประเทศเป็นว่าเล่นแบบเดิม”
“ตารันบ้างานเหมือนคุณพ่อของคุณ เย็นนี้คุณโทรไปบอกท่านเลยนะคะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงถ้าตารันไม่หายขาด มลจะไม่ยอมให้ลูกออกนอกประเทศ เรื่องงานเรื่องประชุมถ้ามีเข้ามาขอให้เลื่อนออกไป โธ่ ลูกชายแม่ เพราะอย่างนี้ แม่ถึงอยากให้ลูกแต่งงานมีภรรยาคอยดูแล ตัวก็ร้อน มีไข้หรือเปล่า ตารันป่วยเป็นอะไร หมอได้บอกไว้หรือเปล่า”
เลื่อนสายตาชุ่มน้ำไปทางน้ำเพชรกับอรรถพล เลขานุการคนสนิทของลูกชายที่อาสาเฝ้าไข้และหอบงานมาทำที่นี่
“คุณรัน/รัน...” อรรถพลกับน้ำเพชรพูดพร้อมกันเพราะคุณนฤมลไม่ได้ระบุชื่อว่าถามใคร สองหนุ่มสาวสบตาพริบตาเดียวอรรถพลเป็นฝ่ายเงียบให้น้ำเพชรที่เป็นหมอรายงานอาการ
“ตารันหน้ามืด เวียนศีรษะ มีไข้ เกิดจากพักผ่อนน้อย รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา อาการไม่ได้รุนแรงน่าห่วง เบื้องต้นแนะนำให้อยู่ดูอาการหนึ่งถึงสองวัน ถ้าดีขึ้นก็กลับไปพักที่บ้านได้ค่ะ”
“น้าใจไม่ดี แทบนับครั้งได้ที่ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล คอยดูนะ หายป่วยครั้งนี้ น้าจะบังคับให้ตารันย้ายกลับไปอยู่บ้านด้วยกัน”
“ท่าทางจะยาก ลูกเรารักอิสระไม่ชอบอยู่บ้านกับพ่อแม่”
“ไม่ชอบก็ต้องชอบค่ะ สร้างบ้านไว้หลังใหญ่โตอยู่กันสองตายายมีที่ไหน ตารันควรย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้วแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว เอ็มเองก็เหมือนกันนะ ทำงานหนักไม่แพ้ตารัน หัดรู้จักลาพักร้อนเอาเวลาไปพักผ่อน หรือไม่ก็หาผู้หญิงดีๆ มาแต่งงานสร้างครอบครัวได้แล้ว บ้างานมากๆ ระวังจะล้มป่วยตามตารันไปอีกคน ฉันรักเธอเหมือนลูกชาย หวังดี อย่าหาว่าฉันจู้จี้ขี้บ่นพูดมากเลยนะ ฉันฟังตารันบ่นมาพอแล้ว”
“ขอบคุณครับที่เป็นห่วงผม ผมไม่เคยมีความคิดเชิงลบกับคุณมล ยินดีรับฟังทุกคำแนะนำครับ”
ชายหนุ่มกับบิดาทำงานให้พวกท่านมานาน บิดาทำงานขึ้นตรงกับท่านประธานใหญ่ ส่วนเขาทำงานขึ้นตรงกับศรันย์ตำแหน่งรองประธาน ครอบครัวเขาเคยมีปัญหาการเงินก็ได้รับความเมตตาจากท่านช่วยเหลือ อรรถพลกับบิดารักและเคารพตระกูลเจ้านายมากยิ่งขึ้น
“เลขาฯ อีกคนของรันที่แกรนด์อรัญก็ทำงานดุไม่แพ้กันนะคะน้ามล เพชรเห็นทำงานตลอดเจ็ดวันไม่รู้ว่ามีวันหยุดหรือเปล่า” น้ำเพชรยืนกอดอกถัดเลขาหนุ่มไม่ถึงช่วงแขนพูดแทรกขยับรอยยิ้มพร่างพราว
“มีครับ ผมกับซีสลับกันหยุด มีแค่คุณรันทำงานทั้งสัปดาห์”
“บ้างานกันหมดทั้งเจ้านายลูกน้อง เพราะอย่างนี้ไงถึงไม่มีใครแต่งงานมีลูกมีเมียสักคน แม้กระทั่งยายพริ้ม เลขาฯ อีกคนของตารันก็ยังโสดทั้งที่อายุปาไปสามสิบกว่า คอยดูนะ เหลืออดวันไหนฉันจะจัดทริปมัดรวมกันลอยข้ามทะเลไปเลี้ยงแกะที่นิวซีแลนด์สักเดือน”
“แต่ในฟาร์มไม่มีสาวๆ นะคะน้ามล มีหวังเฉาตายกันพอดี”
น้ำเพชรติดตลก ยกมือปิดปากไม่ให้ใครเห็นรอยยิ้ม ทิ้งสายตาอ่อยเหยื่อไปทางชายหนุ่มรุ่นน้องที่โหนกแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดง
“แบบนั้นแหละยิ่งดีน้องเพชร กลับมาถึงบ้านจะได้ไม่เลือกมาก” ขยิบตาให้หลานสาวคนโต น้ำเพชรเข้าใจความหมายแอบแฝงก็ขำกลิ้ง
“คุณยายขา ให้หนูพราวไปด้วยก็ได้นะคะ น้ารัน น้าเอ็ม น้าซี แล้วก็น้าพริ้มจะได้ไม่เหงา หนูพราวเลี้ยงแกะเก่งน้า น้าเอ็ม”
เด็กหญิงไม่รู้ความหมายชูมือขึ้นสูงเสนอตัว คุณตาคุณยายมีบ้านและฟาร์มแกะทางใต้ในนิวซีแลนด์ หนูพราวเคยไปตอนปิดเทอมติดใจอยากไปอีก จะได้แวะไปเที่ยวบ้านน้าน้ำหวานน้องสาวคุณแม่ที่ย้ายไปอยู่ที่นั่น
“น่ารักอะไรอย่างนี้หลานสาวคุณยาย”
“ถ้าหนูพราวไป น้าเอ็มก็ไปครับ” เลขานุการหนุ่มส่งยิ้มให้แม่หนูน้อย แต่พอหันกลับมามองหน้าแม่เด็กกลับวางหน้าเรียบเฉย สวมบทบาทเลขาฯ หน้าหยิ่ง ที่นิ่งจนผู้หญิงหลายคนเห็นแล้วรีบวิ่งหนี
“เอ็ม เจ้านายเธอฟื้นสักครั้งหรือยัง”
“คุณรันได้สติก่อนมาถึงโรงพยาบาลครับท่าน แต่ขัดขืนไม่ยอมนอนจะกลับไปทำงาน ได้คุณเพชรช่วยกล่อมถึงสงบลง เพิ่งจะหลับไปไม่นานหลังจากที่พยาบาลเอาอาหารกลางวันกับยามาให้รับประทาน”
“งั้นเหรอ แต่เหมือนตื่นแล้วนะ เปลือกตาขยับแปลกๆ”
“คุณเขม ตื่นที่ไหนคะ ลูกยังหลับสบายอยู่เลย ให้ลูกพักค่ะ” คุณนฤมลเอ็ดสามีแสนรักที่เลียนแบบนิสัยชอบจับผิดลูกชายจากตัวเอง นอนแน่นิ่งผ่อนลมหายใจเข้าออกตามปกติอย่างนั้นจะรู้สึกตัวตื่นได้อย่างไร
“ใช่ค่ะคุณตา น้ารันของหนูยังหลับสบายอยู่เลยนะคะ คุณตาต้องพูดเบาๆ เดี๋ยวน้ารันตื่น” หนูน้อยแตะนิ้วชี้บนริมฝีปากทำเสียง ชูว์
“สงสัยคุณตาจะตาฝาดเพราะง่วงนอนแน่เลย หนูพราวก็ตาปรือแล้วลูก รอก่อนนะจ๊ะ คุณตาจะกล่อมนอน ทั้งสองคนมีอะไรทำก็ไปทำเถอะทางนี้ฉันกับคุณมลดูแลตารันเอง ส่วนหนูพราว ไว้น้องเพชรเลิกงานค่อยกลับมารับลูก”
“แต่ เอ่อ... เพชรคิดว่าโรงพยาบาลไม่น่าจะเหมาะกับหนูพราวนะคะ น้ามลน้าเขมพาหนูพราวกลับไปนอนกลางวันที่บ้านดีกว่า”
“เห็นด้วยครับ อยู่ที่นี่ หนูพราวอาจจะติดไข้จากคุณรันได้”
“แล้วถ้าหากหนูพราวไม่สบาย พี่ตุลย์ก็จะหาเรื่องเพชรว่าดูแลลูกไม่ดี ลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เลยนะคะคุณน้า”
“คุณตุลย์ชอบเอาชนะ ต้องหาเรื่องคุณเพชรแน่นอนครับ”
ผู้ใหญ่สองคนหันซ้ายมองหลานสาวคนโตหันขวามองเลขาฯ หนุ่มสลับกัน งงว่าเป็นอะไรถึงแข่งกันพูดเป็นวักเป็นเวน
“น้ามลกับน้าเขมพาหนูพราวกลับไปรอที่บ้านดีกว่านะคะ ไม่ต้องห่วงตารัน มีเอ็มกับเพชรช่วยดูแลสบายมากค่ะ”
“ผมจะอยู่ทำงานที่นี่ ขออาสาอยู่เฝ้าคุณรันเองครับ”
“ตอนกลางคืนล่ะ ไม่ต้องจ้างพยาบาลพิเศษนะ น้ามาเฝ้าเอง”
“ขอโทษนะคะน้ามล เพชรไม่ได้ปรึกษาก่อนว่าจ้างพยาบาลพิเศษ พยาบาลคนนี้สนิทกับเพชร เพชรขอร้อง เธอตอบตกลงแล้ว”
“เหรอจ๊ะ เอายังไงดีคะคุณเขม มลอยากอยู่ดูแลลูก”
“น้าเขม” น้ำเพชรทำตาปริบๆ ใส่คุณน้าผู้ชาย
คุณเขมราชเข้าใจความหมายจากการขยิบตาเพียงครั้งเดียว
“เอาตามที่น้องเพชรพูดก็ได้ เรากลับด้วยกันก่อนดีกว่า ไว้ค่อยกลับมาใหม่ พักนี้คุณเวียนหัวบ่อยเกิดติดไข้สุขภาพจะแย่ลงนะครับ”
“แต่มลอยากอยู่กับลูก อยากให้ลูกตื่นมาเจอแม่คนแรก” ผู้สูงวัยทำเสียงเล็กใส่สามีเหมือนคนหนุ่มสาวงอนง้อกันมากกว่าคนแก่ น้ำเพชรกับอรรถพลมองหน้ากันก่อนเบือนหนีคนละทาง เข้าไม่ถึงคนมีความรัก ท้องไส้เคลื่อนไหวแปลกๆ
“กลับด้วยกันเถอะนะครับ เราวิดีโอคอลมาเยี่ยมก็ได้ คุณไม่อยากไปบ้านหนูพิมเหรอ จัดดอกไม้ช่วยกันตั้งนานทิ้งไว้ข้ามวันจะเหี่ยวเอานะ”
“อุ๊ย เกือบลืมไปเลยว่าเรากำลังจะไปบ้านหนูพิม ถ้าอย่างนั้นไว้ตอนเย็นค่อยมาใหม่ มลจะทำกับข้าวมาให้ลูกด้วย หนูพราวจ๋า บ๊ายบายคุณแม่เร็วลูก กลับไปนอนกลางวันบ้านคุณยาย ตอนเย็นค่อยหาคุณแม่”
หนูน้อยว่าง่าย ทำตัวน่ารักบอกลาน้ารันที่นอนหลับ ก่อนบอกลาน้าเอ็มอีกคน ทั้งสามคนออกจากห้องพักฟื้นโดยมีน้ำเพชรเดินมาส่ง
“ผู้หญิงชื่อพิมที่คุณน้าทั้งสองพูดถึง หมายถึงพิมพ์มาดา ลูกสาวคุณนายเจ้าของร้านเพชรเหรอคะ หรือพิม เด็กบ้านอัศวเมฆินทร์”
“ต้องเป็นลูกสาวคุณนายปิ่นสิจ๊ะ จะหมายถึงเด็กคนนั้นได้ยังไง”
เจ้าแม่วงการแฟชั่นแต่งหน้าแต่งตัวสวยศีรษะจรดปลายเท้า มองค้อนหลานสาวเชิงเอ็ดว่าถามไม่เข้าท่า เรื่องอะไรท่านจะต้องไปหาพิยดาถึงบ้าน ทั้งๆ ที่รู้กันดีว่าท่านไม่ชอบคนในบ้านอัศวเมฆินทร์
“นั่นสิคะ เพชรก็นึกอยู่ว่ามันแปลกๆ ไม่น่าจะใช่”
“หนูพิม ลูกสาวคุณนายปิ่นแพลนไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก สมัครผ่านโรงเรียนสอนภาษาของตารันให้ช่วยเดินเอกสารกับเตรียมการทุกอย่าง ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาตารันต้องไปทำงานที่นั่น หนูพิมขออนุญาตแม่เดินทางไปไฟล์ทเดียวกัน ตั้งใจว่าจะให้ตารันพาไปตระเวนดูมหาวิทยาลัยกับอพาร์ทเม้นท์ที่จะเช่า พ่อแม่ฝ่ายนั้นฝากฝังให้ตารันช่วยดูแลน้อง แต่ตารันมันเป็นบ้า ฟาดงวงฟาดงาหาว่าผู้ใหญ่สองฝ่ายอยากจับคู่ พาลทำนิสัยแย่ด่าน้องเสียๆ หายๆ น้ากับแม่น้องค่อนข้างสนิทกัน กลัวจะมองหน้าไม่ติดเลยกะจะแวะไปหา”
“อย่างนี้นี่เอง โธ่... เจตนาโจ่งแจ้งเป็นใครก็มองออกค่ะ”
“อยากมองออกก็มองออกไป ยังไงก็โป๊ะแตกไปแล้ว” คุณนฤมลไม่อาย เชิดหน้าขึ้นสูง
“น้าไม่สบายใจ น้าควรทำยังไงตารันถึงจะแบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัวได้ เพราะอย่างนี้ไงน้าถึงอยากให้มันแต่งงาน”
“การแต่งงานไม่ใช่จุดหมายเสมอไปหรอกนะคะน้ามล ดูอย่างคู่เพชรสิ เพชรคบกับพี่ตุลย์มานานคิดว่าหนีกันไม่พ้นยังเลิกกันได้”
“อย่าเปรียบเทียบให้น้าท้อสิน้องเพชร ไม่ต้องถึงขั้นแต่งงานก็ได้ แฟนสักคนมันยังไม่มีเลย ขอให้มีในปีนี้เถอะจะผู้ชายผู้หญิงก็ให้มีสักคน น้าเปิดกว้าง ยอมรับลูกได้เสมอ”
“ตารันเนี่ยนะ น้ามลไปฟังใครมา”
“ตารันครบสามสิบสามแล้วนะน้องเพชร กะพริบตาทีเดียวก็สามสิบสี่ แต่ไม่เคยเปิดตัวว่าคบกับใคร น้าก็ต้องคิดไปเรื่อยสิ”
“ไม่มีทางค่ะ เพชรเอาหัวเป็นประกัน ชื่อเสียงเรื่องผู้หญิงเลื่องลืออย่างนั้นไม่มีทางเบี่ยงเบน น้ามลรออุ้มหลานได้เลย”
“เชอะ! หลานลูกกรอกเหรอน้องเพชร ไม่มีมาสักคน”
“โธ่ น้ามลก็ประชดเก่งเกินไป” คุณหมอสาวโคลงศีรษะในความปากจัดชอบประชดประชันของคุณน้าผู้หญิง ถ้าถามว่าศรันย์ได้นิสัยชอบเหวี่ยงมาจากใคร ตอบแบบไม่คิดได้เลยว่าล้วนถอดแบบมาจากแม่ “พูดถึงพิมคนนั้นแล้วมาพูดถึงพิมคนนี้บ้างดีกว่าค่ะ น้ามลเจอเธอแล้วใช่ไหมคะ เพชรมองจากมุมไกลไม่มั่นใจว่าได้คุยกันหรือเปล่า”
“เด็กพิมน่ะเหรอ คุยนิดหน่อย แค่ถามตามมารยาทว่ามาทำอะไรที่โรงพยาบาล แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นไม่ค่อยอยากคุยกับน้ามากนัก เอาแต่ก้มหน้า สงบปากสงบคำ พอน้องเพชรมาถึงก็เดินหนีไปเลย น้าไม่อยากขุ่นเคืองใจไร้สาระ แต่พอเห็นหน้าคนบ้านนั้นก็อดหงุดหงิดไม่ได้”
“ก่อนหน้าที่น้ามลจะเจอเด็กคนนั้น เธอเพิ่งเข้าไปคุยกับอาจารย์หมอมาค่ะ อาจารย์หมอเรียกเข้าไปพูดคุยแนวทางรักษาคุณไกรสร”
“เขาเป็นอะไรเหรอน้องเพชร” ชื่อเพื่อนเก่าที่เคยคบหากันมาหลายสิบปี ทำให้คุณเขมราชหยุดเดินกะทันหันและหมุนตัวกลับมา อุ้งมือใหญ่อ่อนแรงคลายกุมข้อมือหลานสาวจนเกือบหลุดออกจากกัน
“หัวใจล้มเหลวค่ะ เด็กคนนั้นพามาส่งโรงพยาบาลกับคนงานอีกคน แต่ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แค่ยังไม่ได้สติ อาจารย์หมอเรียกเด็กคนนั้นเข้ามาคุยด้วยและแนะนำให้รักษาท่านด้วยการผ่าตัดหัวใจเทียม แต่ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสูงมาก จะเอาปัญญาไหนมาจ่าย”
“หัวใจเทียม ค่าผ่าประมาณเท่าไหร่เหรอน้องเพชร”
“สูงมากกว่าสิบล้านค่ะน้าเขม แพง แต่เป็นวิธีเดียวจริงๆ เพราะอาจารย์หมอ เพชร กับหมอคนอื่นๆ รักษาท่านมาไม่รู้กี่ปี ทำมาหมดทุกหนทาง ซ้ำร้ายคุณไกรสรยังมีโรคภัยแทรกซ้อนมากมาย”
“เงินสิบล้านจะว่ามากก็มาก แต่ลูกสาวเขาอยู่จีน น่าจะมีเงินเก็บ”
“ไม่รู้สิคะ อาจารย์บารมีบอกเพชรว่าเคยคุยกับดุจเดือนแล้วเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้า แต่ดุจเดือนกลับเงียบไม่ตอบรับการรักษา ปล่อยให้พ่อตัวเองอาการทรุดหนัก ถ้าทำตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่แย่ลงอย่างนี้”
“ชีวิตมนุษย์เราตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน เมื่อวานยังรวยอยู่เลยมาวันนี้กลับสิ้นเนื้อประดาตัว” คุณนฤมลปลงสังเวช มองเห็นถึงสัจธรรมของชีวิต “คุณเขมอยากแวะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าสักหน่อยไหมคะ”
คุณเขมราชส่ายหน้าโดยไม่ทบทวน “ไม่ล่ะ เรากลับกันดีกว่า”
ท่านห่วงใยเพื่อนเก่า แต่ทิฐิในใจสูงเกินไปเลือกนิ่งเฉย จับมือหลานสาวเข้าไปรอในลิฟต์ อึดใจเดียวภรรยาตามเข้ามายืนข้างกัน
“คุณแม่ อย่าลืมมารับหนูพราวที่บ้านคุณตาคุณยายนะคะ”
“ได้จ้ะ หนูพราวอย่าดื้อนะลูก เป็นเด็กดีของคุณตาคุณยาย ตอนเย็นคุณแม่ไปรับ บ๊ายบาย” โบกมือลาลูกสาวสุดที่รักไม่นานประตูลิฟต์ปิดลง ย้อนกลับเข้ามาในห้องพักฟื้น ในนั้นน้องชายตัวแสบเอนตัวนอนเคาะแป้นพิมพ์ก๊อกแก๊กทำงานทั้งที่มีสายน้ำเกลือ
เจ้าน้องชายเข้าใจผิดว่าบิดามารดาย้อนกลับมาตลบผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหน้าอกแกล้งหลับ น้ำเพชรสบตาชายหนุ่มรุ่นน้องยกนิ้วชี้มาชิดปากให้เงียบๆ เข้าไว้ จับหมอนอิงได้เข้ากระหน่ำตีขานายตัวแสบจนมันดึงผ้าลงโวยวาย
“โอ๊ย อย่าตีๆ โธ่ พี่เพชรนั่นเอง พอก่อน ผมป่วย ไม่มีแรงสู้”
คนป่วยป่วยจริงไม่ได้แกล้ง โก่งคอไอแค๊กๆ หมดสภาพ หมุนต้นคอมองรอบห้องตรวจดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าบิดามารดามาด้วยหรือเปล่า แน่ใจว่ากลับไปแล้วถึงหัวเราะไม่มีเสียงทั้งที่หน้าตาซีดปานกระดาษ
“อย่ามาสำออย คนป่วยที่ไหนเขาลืมตาข้างหนึ่งมาส่งสัญญาณให้ช่วยไล่พ่อแม่กลับบ้านฮะ นิสัยเสียนะรัน พวกท่านเป็นห่วงรันจะแย่”
“พ่อไม่เท่าไหร่ แต่แม่นี่สิ พูดมาก พูดไม่หยุด ผมขี้เกียจฟัง อยากพักเงียบๆ พี่เพชรโทรไปบอกเลยนะไม่ต้องให้แม่ทำกับข้าวมาให้ผม กินขนมปังหมดอายุดีกว่ากินกับข้าวฝีมือแม่” แม่เขาทำอาหารไม่เป็น ยังงงอยู่เลย ทำไมหว่านเสน่ห์คุณพ่อหลงหัวปักหัวปำสามสิบกว่าปีไม่สร่างรัก
“ปากเหรอนั่น มิน่าล่ะสาวๆ ถึงวิ่งหนี” น้ำเพชรแยกเขี้ยว
“อย่าด่าคนป่วย” ทำตาอ้อน ยกแขนข้างที่มีสายน้ำเกลือขึ้นมาอวดพี่สาวคนสวย น้ำเพชรจะยกหมอนอิงมาตีอีกรอบถึงวางแขนลง
“อย่าดื้อ นอนไปเลย น้ำเกลือครบสิบกระปุกเมื่อไหร่ค่อยกลับบ้าน เอ็ม ฝากดูแลรันด้วยนะ ฉันต้องกลับไปทำงาน พยาบาลโทรตาม”
“ได้ครับ เชิญคุณเพชรตามสบาย” วางฟอร์มไม่สนใจรัวนิ้วพิมพ์งาน กระทั่งน้ำเพชรเปิดประตู เขามองแผ่นหลังบอบบางจนประตูปิดลง
คนป่วยทิ้งศีรษะลงบนหมอน เอียงคอมองสายตาสื่อรักจนน่าอาเจียนที่อรรถพลใช้มองตามน้ำเพชร ทำงานด้วยกันมานานกว่าสิบปีทำไมจะมองไม่ออกว่าเพื่อนสนิทกำลังคิดอะไร
“น่ารำคาญเสียจริง รออะไร ชอบก็จีบสิ ฉันไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“คุณรันหมายถึงอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ”
“เออ! ไม่ชอบไฟเขียวก็ดี ช้ามากๆ ฉันจะเปิดไฟแดงใส่นาย”
“เรื่องอะไรผมจะยอมให้เปิด”
“รีบเคลียร์งาน ก่อนฉันจะเหม็นหน้าไม่ยอมให้นายจีบพี่เพชร”
“ดิฉันเพิ่งมาถึงค่ะ ขอเวลาจอดรถสักครู่นะคะ”
เงาในประตูตู้แช่เครื่องดื่มสะท้อนภาพแตกต่างจากน้ำเสียง แยกเขี้ยวใส่เลขาฯ เจ้านายที่โทรตามงาน จะเร่งอะไรกันนักกันหนา ทำเหมือนว่าโรงพยาบาลอยู่หน้าปากซอยสตูดิโอ ไม่เผื่อเวลาให้ขับรถบ้างเหรอ ทำงานเช้าจวบบ่ายข้าวสักเม็ดไม่มีตกถึงท้อง หิวแทบแย่ ลงทุนโกหกเลขาฯ หน้านิ่งว่าเพิ่งมาถึงเพื่อจะได้มีเวลาว่างสักนิด
ใส่อารมณ์ผลักปิดประตูตู้แช่เครื่องดื่มจินตนาการว่าเป็นใบหน้าเจ้านายหน้าหยิ่งกับเลขานุการหน้ายักษ์ ก่อนที่สาวรูปร่างสูงเพรียวจะตกใจสะดุ้งสุดตัวเมื่อสบตาใครอีกคนที่ยืนเลือกอยู่ข้างๆ กัน ผู้หญิงคนนั้นตัวเล็กกว่าหล่อนที่นอกจากจะตัวสูงแล้วยังสวมรองเท้าส้นสูง หากมองจากระดับสายตาอาจจะมองผ่านไปง่ายๆ แต่โชคดีที่อยู่ในช่วงอารมณ์เสียหญิงสาวจึงมีโอกาสได้พบรุ่นน้องคนสนิท
“ยายพิม!” กระโดดกอดรุ่นน้อง ออร่ากดวางสายทันทีที่นึกขึ้นได้ไม่สนใจอีกฝ่ายจะกล่าวหาว่าเสียมารยาท พิยดากอดตอบแนบแน่นระดับเดียวกันดีใจที่ได้เจอหน้าในรอบปี
“พี่ออร่า! มาทำอะไรที่นี่ บังเอิญจังเลย ไม่คิดว่าจะได้เจอกัน”
“พี่มาทำธุระให้เจ้านาย แล้วพิมล่ะ มาทำอะไรที่โรงพยาบาล จะกลับไทยไม่ยอมบอก โทรหาก็ไม่ยอมรับสาย ยังคิดอยู่เลยถ้าโทรกลับจะโกรธให้เข็ด สบายดีไหม ยายแพทเล่าเรื่องบ้านพิมให้พี่ฟังหมดแล้ว”
“ใจเย็น ค่อยๆ ถามทีละอย่าง พิมตอบไม่ทัน”
“พี่เป็นห่วงนี่นา หาที่อยู่ใหม่ได้หรือยัง จะทำยังไงกันต่อ”
“พิมไม่รู้ ยังไม่ได้คิดเลย พิมเพิ่งกลับมาถึงบ้านไม่ทันได้ทำอะไร คุณท่านก็มาป่วยจนต้องพามาโรงพยาบาล ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ เราออกไปคุยกันข้างนอกดีไหม หรือรอคุยหลังจากพี่ออร่าว่างก็ได้”
“คุยกันตอนนี้แหละ อุตส่าห์ได้เจอหน้ากันตรงๆ แล้วทั้งที รอแป๊บนะ ไปจ่ายเงินก่อน ทำงานตั้งแต่เช้ามืดหิวจะแย่แล้ว” สองสาวออกไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันไปพร้อมกินขนมปังกับนมรองท้อง
“อย่าทำหน้าเศร้าอย่างนั้นสิ กินเยอะๆ แต่ขนมปังแค่นี้ไม่ช่วยให้อิ่มท้องหรอก หลังลานจอดรถมีร้านข้าว ไปสั่งกิน จะได้มีแรงสู้ชีวิต เออ แล้วที่ว่าเจ้านายป่วยน่ะ ป่วยเป็นอะไร ถึงขั้นหมดสติไปอย่างนั้น”
“หมอบอกว่าหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ถ้ามาช้ากว่านี้ ไม่รอด พอหมอรักษาท่านพ้นขีดอันตรายก็มาเรียกพิมเข้าไปคุยส่วนตัวในห้อง แนะนำพิม อยากให้พิมรักษาท่านด้วยการผ่าตัดหัวใจเทียม”
“หัวใจเทียมมันยังไง ผ่าเอาออกแล้วเอาอันใหม่ใส่แทนงี้เหรอ” มีดกรีดลงบนผิวแต่ละทีเลือดไม่พุ่งหมดตัวเลยเหรอ แค่คิดก็สยอง
“แล้วมันเท่าไหร่ แพงมากเหรอ ถึงได้ทำหน้าเครียด”
“มากอยู่” พูดเสียงเศร้า กัดขนมปังเคี้ยวไม่กี่ทีก็กลืนลงท้อง
“มากอยู่น่ะมากเท่าไหร่ เวลามีคนชมพี่ว่าสวยอยู่ก็ตงิดๆ อยู่นะ”
คนฟังหลุดหัวเราะ แต่จริงตามนั้น จะชมสวยก็ไม่ว่าสวยเฉยๆ มีอยู่มาต่อท้ายให้คำมันสละสลวยงั้นเหรอ ไม่น่าจะใช่ คนฟังไม่สนิทใจ
“สิบล้าน น้ำหน้าอย่างพิมจะเอาปัญญาไหนมาจ่าย” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ มวลท้องกินขนมปังไม่ลง เก็บกลับเข้าถุงไว้ที่เดิม
“สิบล้าน พูดจริงเหรอ!” จะบ้าหรือเปล่า ชนชั้นกลางโอนเอนไปทางพอมีพอกินอย่างพวกหล่อนจะเอาเงินมากขนาดนั้นมาจากไหน
“ไม่สิบถ้วนนะพี่ ถ้าอยากรักษาด้วยวิธีนี้จริงจัง พิมว่าต้องมีสิบกว่า ค่าห้องไอซียู ค่ายา ค่านู้นค่านี่หลังผ่าอีกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”
“แพงขนาดนั้นไม่ต้องรักษาหรอก บอกปฏิเสธไปหมอน่าจะเข้าใจ คุณท่านของพิมป่วยเรื้อรังหลายโรค ไม่เสียด้วยโรคหัวใจก็ต้องเสียด้วยโรคอื่น อีกอย่างที่สำคัญกว่านั้น ลูกสองคนของเขายังไม่สนใจพ่อตัวเองจะกินจะอยู่หรือจะป่วยหนักแค่ไหน แล้วพิมจะสนใจเขาทำไม”
“ดูซิ! บ้านถูกยึดจะได้ย้ายออกอยู่รอมร่อ ไม่เห็นหัวพวกมันกลับมาสักคน ไม่มีลูกที่ดีคนไหน ทิ้งพ่อพิการให้นอนซมในบ้านถูกยึดหรอกนะพิม อย่างแย่ๆ ที่สุด ถ้ากลับมาดูแลพ่อด้วยตัวเองเองไม่ได้ ก็ต้องกลับมาหาบ้านหลังใหม่ หาคนดูแลที่ไว้ใจได้สักคนมาคอยดูแลพ่อตัวเอง ไม่ใช่เงียบเฉย ไม่สนใจใครจะเป็นจะอยู่ยังไง พ่อป่วยยังไม่มีใจจะกลับมาเยี่ยม คิดดูสิพวกนั้นนิสัยแย่มากแค่ไหน”
“เพราะพิมใจดีไม่ตามจิกอย่างนี้ไง ลูกๆ ของเขาถึงได้ใจข่มพิมอยู่เรื่อย แล้วถ้าต่อไป เกิดพวกเขาไม่มารับคุณไกรสร พิมไม่ต้องรับเขาพาเขาย้ายไปอยู่กับพิมเหรอ คุณไกรสรป่วยหนักแถมยังเดินไม่ได้ ระวังเถอะ พิมจะดูแลไม่ไหวสักวัน!”
หงุดหงิดสองคนนั้นพอๆ กับที่หงุดหงิดน้องคนนี้ ไม่รู้จะกลับไทยทำไม มีโอกาสได้ไปเรียนต่อเมืองนอกน่าจะกัดฟันเรียนหนังสือให้จบ ได้วุฒิระดับนั้นประดับบารมีกลับไทยขี้คร้านเลือกว่าจะทำงานที่ไหน ราเมศวร์กับดุจเดือนถ้ารู้ข่าวยายคนนี้กลับบ้าน คงระริกระรี้ใช้ชีวิตส่วนตัวสุขสบาย พร้อมใจผลักพ่อให้เป็นภาระพิยดา ถ้าไม่ติดว่าสนิทกันมาก หล่อนอยากด่าพิยดาให้ตาสว่างจะได้ไม่โง่ถูกหลอกใช้
“พี่ออร่าจะให้พิมทำยังไง ให้พิมทิ้งท่านไว้คนเดียวงั้นเหรอ”
“ก็ติดต่อลูกๆ ของเขา ให้กลับมาดูแลพ่อตัวเองสิ! ห่วงแม่ ก็ฝากแม่ให้ยายช่วยดูแลแค่ปีเดียวไม่หนักหนาหรอก อีกเทอมเดียวก็จบแล้ว ไม่เสียดายเงินค่าเทอมที่จ่ายไปหรือไง เรื่องแค่นี้น่าจะคิดเองได้ คิดมาก คิดเยอะ ห่วงทุกคนยกเว้นอนาคตตัวเอง อยากเป็นมากเหรอคนรับใช้คอยรองมือรองเท้าคนอื่นเนี่ย ทำไมถึงไม่คิดอยากพัฒนาชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น!”
“พี่ออร่ามาทำธุระให้เจ้านายไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ...” พิยดาเพิ่งหยุดร้องไห้ไปไม่นาน น้ำเสียงก็กลับมาสั่นเครืออีกครั้งเพราะถูกแทงใจดำ
“เก็บเงินไปเรียนต่อแทบตายเพื่อหวังจะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ชีวิตที่หลุดพ้นจากมือเท้าเจ้านายโรคตจิตพวกนั้น! แต่ไปไม่ถึงไหน ก็กลับมาอยู่ใต้เงาพวกเขาตามเดิม ทนฟังความจริงไม่ได้ก็ทนอยู่อย่างนี้ต่อไปแล้วกัน!” ออร่าใส่อารมณ์ ดึงกระเป๋างานมาคล้องแขนเดินหนีทิ้งคนอ่อนแอไว้คนเดียว
พิยดาหลบมุมร้องไห้ตามลำพัง เสียใจที่ถูกต่อว่าอย่างไม่รักษาความรู้สึก จะให้ฝากแม่พิการไว้กับยายที่แก่มากแล้วจะอดห่วงได้อย่างไร บ้านเกิดยายอยู่ตั้งไกล ถ้าหากญาติๆ ของยายไม่ต้อนรับหรือรังแกแม่ แม่จะกินจะอยู่อย่างไร ตัดกลับมาฝั่งคุณไกรสรไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านถูกลูกๆ กับญาติตัดขาด เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กท่านเคยทำไม่ดีกับหล่อนไว้มาก ไม่เถียง แต่มุมดีๆ ของท่านก็มีไม่น้อย หักลบกลบกันออกมาทำให้พิยดาทิ้งท่านไม่ลง พิยดาเดินตาแดงกลับเข้ามาในอาคารกวาดตามองหาลุงรอบโถงทว่าไม่พบแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าลุงไปไหน ไปนานหรือยัง ไม่อยากโทรถาม นั่งรอคุณไกรสรเงียบๆ ภาวนาขอให้ท่านฟื้นคืนสติเร็วๆ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปตอนนี้
เข็มนาฬิกาหมุนผ่านจวบฟ้ามืด ทว่าไม่มีข่าวดีให้คนรอสบายใจ พิยดารอที่เดิมด้วยหัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง แม้จะรู้สึกเหงา รู้สึกหิว หล่อนกลับเซื่องซึมลงทุกวินาที ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากไปไหน สติเพิ่งจะกลับคืนสู่ร่างกายตอนที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังจากโทรศัพท์ในกระเป๋า หน้าจอทัชสกรีนแสดงเบอร์แม่
หญิงสาวขมวดคิ้วครู่เดียวเท่านั้นก่อนคลายออก เพราะนึกขึ้นได้ว่าอาจจะเป็นยายหรือไม่ก็ลุงยืมใช้โทรศัพท์แม่ แม่พัดชาใช้โทรศัพท์ไม่เป็น มีไว้รับสายกับติดตามกรณีพลัดหลงเท่านั้น
‘ใช่เบอร์พิม ลูกสาวยายพัด ที่ทำงานในบ้านคุณไกรสรใช่ไหม!’
ผู้หญิงพูดสาย เสียงแหลมและห้วนเดาว่าไม่ใช่เสียงป้าชิดชมแน่นอน
“ใช่ค่ะ ใครพูดสายเหรอคะ ทำไมใช้โทรศัพท์แม่พิมโทรมา”
‘ฉันคุณกานต์ คนที่อยู่บ้านตรงข้ามกันจำได้หรือเปล่า’
สตรีรูปร่างอ้วนถ้วนสมบูรณ์ปรากฏในความทรงจำ บ้านอยู่ใกล้กัน แต่น้อยครั้งมากที่จะมีโอกาสได้พูดคุย น่าแปลกที่ท่านโทรมา
“จำได้ค่ะ คุณนายกานต์โทรมามีอะไรให้พิมรับใช้เหรอคะ”
‘เธออยู่ไหน ค่ำมืดแล้ว ไม่คิดจะกลับบ้านหรือไง!’
“ตอนนี้พิมอยู่โรงพยาบาลค่ะ ยังกลับไม่ได้ ต้องรอให้มีใครมาเปลี่ยนเวรก่อน พอดีว่าคุณท่านหัวใจล้มเหลว ยังไม่ได้สติเลยค่ะ”
‘อีกแล้วเหรอ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น เดือนนี้สองสามรอบได้แล้วมั้ง มิน่าล่ะ คนงานในบ้านเธอเขาถึงเบื่อหน่ายเก็บของขึ้นรถกลับบ้านนอกตั้งแต่ก่อนฟ้ามืด! พวกเขาคล้องกุญแจรั้ว ขังแม่เธอไว้ในบ้าน ฉันได้ยินเสียงนังพัดมันเขย่าประตูรั้วกลัวจะพังใส่หัวถึงได้แวะมาดู แล้วโทรหาเธอเนี่ย รีบๆ กลับมาได้แล้ว ฉันไม่อยากอยู่ในบ้านเธอนาน เสียวพวกมอเตอร์ไซค์ทวงหนี้จะเข้ามาทวงเงินที่ไอ้เมศติดค้างที่บ่อน!’
“คุณกานต์… เข้าใจผิดหรือเปล่าคะ ลุง ป้า ยาย ทุกคนอาจจะออกไปธุระข้างนอกประเดี๋ยวเดียวก็กลับบ้าน หรือไม่... อาจจะกำลังมาเยี่ยมคุณท่านที่โรงพยาบาลก็ได้นะคะ ทุกคนไม่ได้กลับต่างจังหวัด”
หญิงสาวมองโลกในแง่ดีทั้งที่อวัยวะภายในร่างกายเย็นชาไปทุกสัดส่วน น้ำตาที่เพิ่งหายกลับมาตื้นขอบล้นทะลักออกมาอีกครั้ง เถียงคุณกานต์ว่าไม่จริง ทุกคนรู้ว่าคุณท่านป่วยหนักจะกลับบ้านตอนนี้ได้อย่างไร ริมฝีปากอิ่มสั่นเกินควบคุม ลุกลามลงมาถึงแขน ขา สั่นแรงราวกับจับไข้
‘ถ้าพวกนั้นไปโรงพยาบาลจริง ก็ต้องพาแม่เธอไปด้วยหรือเปล่า จะขังไว้ในบ้านทำไม แล้วข้าวของที่พวกเขาขนไปไม่ใช่น้อยๆ เต็มรถหกล้อ เธอยังคิดว่าพวกเขาจะเลี้ยวรถกลับมาหาเธออยู่เหรอ อย่าโง่หน่อยเลย เธอกับแม่ถูกทิ้งให้ดูแลคุณไกรสรคนเดียว หัดตามคนให้ทันบ้าง! เธอรีบกลับบ้านให้เร็วเลยนะ ฉันจะรอเป็นเพื่อนแม่เธอแค่สิบนาทีเท่านั้น เกินนี้ฉันกลับบ้าน ฉันไม่รับประกัน ว่าถ้าแม่เธอเปิดประตูรั้วเองได้จะไม่เตลิดไปให้รถชนทางอื่น ฉันถือว่าเมตตาเธอมากที่สุดแล้ว ที่โทรมาบอก!’
“คุณกานต์ได้โปรดอย่าทิ้งแม่พิมไว้คนเดียวนะคะ พิมกลัวแม่จะออกไปตามหายาย ฮือ... ได้โปรด พิมจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สิ่งที่พิยดากลัวมากที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว