“ไปกันเลยนะ”
ชาญวิทย์เดินกลับเข้ามาในห้อง ตอนนี้ญาดากำลังเปลี่ยนชุดให้เด็กน้อยที่กำลังร้องไห้งอแง เพราะถูกปลุกจากห้วงนิทรา
“ฮึก ฮือ แม่ขาไปไหนมา” เด็กน้อยเอ่ยถามคนเป็นแม่ ที่กำลังสวมเสื้อให้ตัวเองอยู่ ใบหน้าเปอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เด็กน้อยตื่นมารอบหนึ่งแล้วไม่เจอคนเป็นแม่อยู่ข้างตัวอย่างทุกที ร้องไห้งอแงอยู่กับพี่เลี้ยงจนหลับไป และไม่นานญาดาก็มาถึง
“แม่ไปเรียกคุณตามาช่วยญีน่าไงคะ เห็นไหม ตอนนี้คุณตามาช่วยให้ญีน่าได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วไงคะ” ญาดาอุ้มลูกสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยไปใกล้คนเป็นพ่อของเธอ
โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดต่อที่เกิดกับเด็กเท่านั้น เธอจึงไม่กลัวที่ต้องอุ้มลูกสาวอยู่แบบนี้ จะกลัวก็แต่ลูกสาวจะเจ็บปวดเพราะตุ่มแดงๆ ตามตัวเท่านั้น
เด็กน้อยเกาะคนเป็นแม่แน่นด้วยความกลัวคนแปลกหน้า ชาญวิทย์เห็นแบบนั้นจึงผละแล้วเดินนำออกไป เพราะไม่อยากเสียเวลานาน หลานของเขาต้องไปถึงโรงพยาบาลแห่งใหม่โดยเร็วที่สุด
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ลูกสาวของญาดาถูกย้ายมาโรงพยาบาลแห่งใหม่ อาการของเด็กน้อยดีขึ้นตามลำดับ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีกว่า และการรักษาที่เข้าถึงโรคได้มากกว่า
“อาการน้องดีขึ้นมากแล้ว คุณแม่จะพาน้องกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านไหมคะ” หมอเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคเด็ก ถามญาดาที่เป็นผู้ปกครองของคนไข้
“อยู่รักษาต่อให้หายเลยดีกว่าค่ะ ที่นี่ไม่เหมือนโรงบาล ญีน่าไม่ค่อยกลัวแล้วด้วย ถึงกลับไปก็ไม่รู้ว่าจะดูแลลูกได้ดีเหมือนที่คุณหมอดูแลไหม” ญาดาคิดแบบนั้นจริงๆ ถึงพากลับไป เธอก็ไม่รู้จะทำได้เหมือนที่หมอและพยาบาลดูแลลูกสาวเธอหรือเปล่า
“เอาแบบนั้นก็ดีเหมือนกันค่ะ” หมอยิ้มให้อย่างใจดี เดินจากไปเงียบๆ เมื่อตรวจอาการและรายงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
หนูน้อยญาณิดารักษาตัวอยู่โรงพยาบาลอีกสองสัปดาห์ ร่างกายทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ แม้ค่ารักษาทั้งหมดจะเกือบถึงสองแสนเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน แต่ญาดาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอีกแล้ว เพราะคนเป็นพ่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ลูกสาวของเธอทั้งหมด
“เราจะกลับบ้านแล้วเหรอคะ ญีน่ายังไม่อยากกลับเลย” รถคันหรูที่ถูกส่งมารับตัวคุณหนูเล็กของบ้าน ขับเคลื่อนไปบนท้องถนน เด็กน้อยที่ยังไม่อยากกลับ เอ่ยถามคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ใช่จ๊ะ เราจะกลับบ้านของเรา บ้านที่เป็นของเราจริงๆ” ญาดาจับมือลูกสาวไว้แน่น
พ่อให้เงินมาจ่ายค่าเช่าบ้านที่ค้าง เธอเลยแจ้งย้ายออกทันที ที่เหลือก็แค่กลับไปทำงานชดใช้ทุกอย่าง ที่คนเป็นพ่อให้มา
เด็กน้อยญีน่าอยู่ไม่เป็นสุข เพราะนานๆทีจะได้นั่งรถคันใหญ่แบบนี้ จึงสำรวจไปทั่วทั้งรถ เดี๋ยวก็ไปนั่งอยู่กับกรุณาที่เบาะหน้า หรือไม่ก็มานอนกลิ้งไปมาอยู่ที่เบาะหลังกับคนเป็นแม่ ปากเล็กๆก็ชวนคุยเจื้อยแจ้วตามประสาเด็ก
ใช้เวลาไม่นานรถคันหรู ก็เลี้ยวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ เด็กน้อยเพียงคนเดียวในรถ มองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น
“แม่ขา บ้านใครคะ หลังใหญ่เบ้อเร่อ” เด็กน้อยทำมือประกอบ เกาะกระจกรถอย่างสนใจ ในขณะที่รถค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจอดหน้าบ้านหลังใหญ่
“บ้านของคุณตากับคุณยายไงคะ” ญาดายิ้มให้ลูกสาวอย่างเอ็นดู พอหายก็เจื้อยแจ้วไม่หยุดเลย ลูกสาวเธอนี่เหมือนเธอตอนเด็กอยู่เหมือนกันนะเนี้ย
“มาแล้วเหรอคะ” ป้ากรายเดินเข้ามาตอนรับ วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน เพราะคุณท่านไปทำงาน ส่วนคุณหญิงก็อยู่ที่สวนเหมือนเดิม
“แม่” กรุณาเดินไปกอดคนเป็นแม่ด้วยความคิดถึง เพราะอยู่ดีๆ เธอก็หายไปอีกคน แม่ต้องเป็นห่วงแน่ๆ
“มานี่เลยยัยตัวดี เจอคุณหนูแล้วก็ไม่ยอมมาบอกพวกเราเลย” กรุณาถูกคนเป็นแม่หยิกเข้าที่แขนอย่างแรง แต่ไม่นานท่านก็กอดตอบเธอ เพราะคิดถึงลูกสาวไม่ต่างกัน
“พี่กรองไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวหยีพาน้องญีน่าไปพบคุณแม่เอง” ญาดาอุ้มลูกสาวของตัวเองขึ้นแนบอก เดินไปทางสาวหย่อม ที่มีซุ้มศาลาไม้แสนสวยอยู่ สวนนี้เธอเป็นคนออกแบบเองทั้งหมด มันยังได้รับการดูแลอย่างดี แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม
“คุณแม่ค่ะ ยาหยีมาแล้วค่ะ” ญาดาวางลูกสาวของเธอตรงหน้าคนเป็นแม่ ลูกสาวที่เหมือนเธอตอนเด็กเพียงนิดเดียว แต่กลับทำให้คนเป็นแม่ที่นั่งอยู่ยิ้มกว้าง
หมอแนะนำมาว่า การมอบความทรงจำใหม่ให้ท่านเป็นสิ่งที่ดี แม้ท่านจะหลงลืมเรื่องในอดีตไป แต่ไม่ใช่ว่าท่านจะลืมเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
“นี่ไม่ใช่ยาหยีของแม่” แม้จะเหมือนกันอยู่ในที แต่ท่านรู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกสาวของท่าน
“เก่งจังเลยค่ะ คนนี้คือลูกสาวของยาหยีเอง ญีน่าสวัสดีคุณยายสิคะ” สิ้นคำของญาดา เด็กน้อยก็พนมมือเล็กๆ ไหว้คนที่แม่เรียกว่ายายอย่างสวยงาม
ญาณิภาปล่อยน้ำตาให้รินไหลอย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงอยากร้องไห้ขนาดนี้ เธอเสียใจและดีใจในเวลาเดียวกัน พยายามนึกว่าเพราะเรื่องอะไร แต่ในหัวกลับมีแต่ภาพของลูกสาวที่รออยู่ที่บ้าน
“ไม่เป็นไรนะคะคุณแม่ เราผิดกันทั้งหมด แต่เรื่องมันผ่านมาแล้ว เรามาเริ่มใหม่กันเถอะค่ะ” ญาดารู้ดีว่าคนเป็นแม่รู้สึกยังไง ท่านคงจะรู้สึกผิดอยู่เต็มหัวใจ
เพราะวันนั้นท่านกับสามีใจร้ายกับเธอที่เป็นลูกสาว ยิ่งเห็นเด็กที่ท่านเคยพูดว่าจะฆ่ามาอยู่ตรงหน้า ท่านคงจะยิ่งรู้สึกผิด แม้จะจำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม
“ขอโทษ แม่ขอโทษนะยาหยี” คุณหญิงของบ้านร้องไห้เหมือนเด็ก หนูน้อยญาณิดา จึงยกมือเช็ดน้ำตาให้คนแก่ที่ร้องไห้งอแงเหมือนตัวเอง
“อย่าร้องนะคะ เดี๋ยวญีน่าแบ่งขนมให้” ขนมห่อเล็กที่เป็นของโปรด ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าประจำตัว ยื่นให้คนที่ร้องไห้อยู่แล้วยิ้มกว้าง เมื่อคนตรงหน้าหยุดร้องไห้จริงๆ
ญาดาปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับคนเป็นยาย ตอนนี้ญีน่าดูสนใจแม่ของเธอมากกว่าสิ่งอื่นใด และเธอก็ต้องการแบบนั้น เด็กหญิงญาณิดา จะมาช่วยรักษาแผลใจให้คนเป็นยาย และรักษาบาดแผลให้ทุกคนในบ้านหลังนี้