ตอนที่7||จีไท่เว่ย
ซึ่งที่หลี่หมิ่นถังนั้นคิดเอาไว้ล้วนไม่ผิด ในยามที่เย่จื่อเฉินกับเหล่าฮูหยินเย่ได้ทราบว่าบัดนี้จวนติ้งอันโหวไม่ได้เหลือทรัพย์สินมากมายดังที่เข้าใจแต่แรกหลังเรียกตรวจดูบัญชีทรัพย์สินจากหลงจู๊ของร้านขายผ้ากับบัญชีจากพ่อบ้านใหญ่เฉียง จึงทราบว่าที่ดินของจวนติ้งอันโหวเหลือเพียงสามร้อยหมู่จากเดิมที่มีเกือบสามพันหมู่ ไหนจะเป็นกิจการร้านขายข้าวสารฝูเล่อที่ทำเงินได้วันหนึ่งร่วมหมื่นตำลึงแค่สาขาเดียวในเมืองเทียนตู ก็เป็นชื่อของหลี่หมินถัง ทั้งสี่แม่ลูก ล้วนโกรธเคืองคนจากไปอย่างยิ่ง!
"มันโกงพวกเรา!"ในที่สุดเย่จื่ออิงก็ตะโกนออกมาด้วยอาการเดือดดาลอย่างถึงที่สุดหากบัดนี้หลี่หมิ่นถังมาอยู่ตรงหน้าคาดว่าหญิงสาวคงตรงเข้าไปตบตีพี่สะใภ้เสียเป็นแน่
"นังงูพิษ!"
เหล่าฮูหยินเย่เองก็โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่ต่างจากบุตรสาวแม้แต่น้อยนางจึงสบถด่าทอหลี่หมิ่นถังเสียไม่มีดี ตลอดมานางคิดว่าตนเองรอบคอบพอแล้วแต่กลับยังเสียทีให้กับหลี่หมิ่นถังจนได้นางจึงโกรธจนหน้าแดงหน้าดำไปหมด
"นังสตรีชั่นต่ำ ชั่วช้ายิ่งนัก!"
เย่จื่อเว่ยเองก็ร่วมวงสบถด่าพี่สะใภ้ที่ให้ชีวิตใหม่แก่ตนเองด้วยเช่นกัน มีเพียงเย่จื่อเฉินที่ไม่เอ่ยอันใดออกมา แต่ถึงภายนอกเขาไม่เอ่ยปากแต่ภายในใจของเขาเองกลับโกรธแค้นหลี่หมิ่นถังไม่ต่างจากมารดาและน้องสาวน้องชายเลยแม้แต่น้อยเขารู้สึกเหมือนโดนหลี่หมิ่นถังหักหลังและหลอกลวง ทั้งที่ตนเองทำกับอีกฝ่ายยิ่งกว่านี้มากนักไม่ว่าจะหลอกให้หญิงสาวยอมแต่งงาน หรือแม้แต่การแต่งหลี่หมิ่นถังมาเป็นตัวแทนของหลี่เหม่ยหลิน
"หุบปากเถอะ จะด่าอันใดนางก็ไม่ได้ยินหรอก ช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำอย่างไรให้นางเปลี่ยนใจไม่หย่าขาดจากข้า บัดนี้หากจะเอ่ยถึงความร่ำรวย หลี่หมิ่นถังนับว่านางมีกว่าพวกเราทั้งสามคนรวมกันมากนัก ด่าทอไปหากเหม่ยหลินได้ยินแล้วเอาไปบอกแก่น้องสาวของนางที่ซวยจะเป็นพวกเรา"
เย่จื่อเฉินเอ่ยกำราบทั้งมารดาและน้องชายน้องสาว เพราะในจวนนี้ยังมีหลี่เหม่ยหลินอยู่ อย่างไรนางก็คือคนสกุลหลี่ เป็นพี่สาวแท้ๆ ของหลี่เหม่ยหลินสกุลอื่นเป็นเช่นไรเย่จื่อเฉินนั้นไม่ทราบ แต่สกุลหลี่นั้นเหล่าฮูหยินหลี่เข้มงวดเรื่องพี่น้องต้องรักใคร่กลมเกลียวเขาจึงไม่วางใจในตัวของหลี่เหม่ยหลิน กลัวว่านางทราบถึงความคิดของเขาอาจจะนำไปบอกแก่น้องสาว ยิ่งหากนางมาได้ยินที่มารดากับน้องชายน้องสาวของเขาด่าทอหลี่หมิ่นถังอย่างหยาบคายยิ่งไม่เป็นผลดีแม้แต่น้อย อย่างไรเขาก็อยากให้นางเห็นเขาเป็นคนดีในสายตาของนางเสมอ
"ก็มันเห็นแก่ตัวหอบเงินหอบทองหนีกลับเสียนหยางไปแล้ว พี่ใหญ่จะให้อิงเอ๋อร์ใจเย็นได้อย่างไร อีกไม่กี่เดือนข้าจะออกเรือนแล้ว เช่นนี้สินเดิมของข้าจะทำอย่างไร หากสินเดิมน้อยข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"
เย่จื่ออิงร้องโวยวายออกมาไม่หยุด สินเดิมของเจ้าสาวนั้นสำคัญยิ่งนับว่าเป็นหน้าเป็นตาของนางหลังออกเรือน แล้วครั้งนี้นางไปคุยโวโอ้อวดกับสกุลของฝ่ายว่าที่สามีว่าสินเดิมของนางพี่ชายจะมอบให้ไม่น้อย ฝ่ายนั้นจึงรีบบอกกับนางว่าไม่ต้องกลัวสินเดิมมากเท่าใดสินสอดจะจัดมาให้มากกว่าสองเท่า แล้วบัดนี้พี่สะใภ้ที่นางรีดไถมาตลอดสี่ปีจากไปแล้ว จากไปพร้อมทรัพย์สินเกือบทั้งหมดเหลือเอาไว้ที่จวนแค่หนึ่งในสิบส่วนเช่นนี้นางคงลำบากแน่นอน อายุของนางปีนี้ก็สิบเก้าเท่ากับหลี่หมิ่นถังแต่ยังไม่ได้ออกเรือนเพราะมัวแต่เลือกมากหากคราวนี้พลาดไปจากสกุลนี้อีกนางก็คงต้องแต่งบุตรเขยเข้าจวนแล้ว
"พี่ใหญ่เองก็ไม่รู้จะรีบร้อนอันใดหนักหนาให้ข้าแต่งงานออกไปก่อนก็มิได้ชิ!" เย่จื่ออิงก็ไม่ต่างกันกับพี่ชายทั้งสองกับมารดาของนางหรอกเห็นแก่ตัว เรื่องของตนเองต้องสำคัญเป็นอันดับหนึ่งมาแต่ไหนแต่ไร
ท่านพ่อบ้านเฉียงที่ตลอดมานับถือหลี่หมิ่นถังพอได้ยินทั้งสี่แม่ลูกโต้เถียงและด่าทอไปถึงคนที่เขานับถือทั้งที่อีกฝ่ายนั้นอายุคราวลูกก็รู้สึกไม่พอใจและแอบคิดในใจว่าหลี่หมิ่นถังนั้นไม่ผิดอันใดเลย ตรงกันข้ามสี่ปีนางยังลำบากอย่างมากกว่าจะกอบกู้จวนติ้งอันโหวขึ้นมาได้ พอนางจากไปย่อมสมควรแล้วที่นำทรัพย์สินที่นางเหนื่อยยากหามามากมายนำกลับไปด้วยก็ถูกต้องและเหมาะสมอย่างยิ่งคนที่โกงหากจะพูดกันตามตรงก็สี่คนภายในห้องนี้นี่เอง
ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว?!…
ถามอีกกี่ครั้งคนในเช่นพ่อบ้านเฉียงกับบ่าวไพร่ภายในจวนทุกชีวิตก็ตอบได้รวดเร็วอย่างไม่ต้องคิดมากว่าเป็นสี่คนแม่ลูกสกุลเย่นี่เองที่ทั้งเห็นแก่ตัวและใจร้ายใจดำกับหลี่หมิ่นถังมาตลอดสี่ปี
"จะไปยากอันใด นางนัดเจอกับพี่ใหญ่ในอีกสามวันมิใช่หรือแถมนัดภายในฟางอิ๋นโหรวอีกด้วย ในอดีตพี่ใหญ่ทำใจแตะต้องนางมิได้ แต่เวลานี้เหตุการณ์คับขันแล้วพี่ใหญ่ก็หลับหูหลับตาทำกับนางสักครั้งสองครั้งเถอะขอเพียงหลี่หมิ่นถังตั้งครรภ์ขึ้นมานางจะคิดไปไหนได้อีก หรือหากพี่ใหญ่ทำไม่ได้ ข้าก็อาสาแทนด้วยความเต็มใจยิ่ง"
เย่จื่อเว่ยเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้ามากเล่ห์ราวกับปีศาจจิ้งจอก ทั้งที่หากไม่ใช่เพราะหลี่หมิ่นถังเขาคงเป็นแค่ไอ้คนแข้งขาพิการเดินไม่ได้ไปแล้วแท้ๆ
"ไม่ต้อง!"เสียงของเย่จื่อเฉินตวาดน้องชายออกไป พ่อบ้านเฉียงยังคงแอบฟังต่อไป แน่นอนว่าหลี่หมิ่นถังไม่ได้ออกปากไหว้วานแต่ชายสูงวัยก็เต็มใจจะทำเรื่องพวกนี้เอง เขาตั้งใจฟังแผนการชั่วร้ายของสี่คนแม่ลูกเงียบๆ
"ข้าพอจะมียาปลุกกำหนัด พี่ใหญ่ให้นางดื่มหรือให้เสี่ยวเอ่อผสมกับอาหารแค่นี้ก็ไม่ยากแล้วพี่ใหญ่เองก็กินไปกับนางแค่นี้ก็ตัดปัญหาที่พี่ใหญ่ไม่อยากแตะนางแล้ว"
เย่จื่อเว่ยรีบนำเสนอแผนการต่ำช้าของตนเองขึ้นมาซึ่งอีกสามคนภายในห้องก็ล้วนเห็นดีเห็นงามไปกับแผนการหุงข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุกนี้อย่างยิ่ง
พอได้บทสรุปแล้วหนุ่มใหญ่สี่สิบห้าปีจึงได้ให้คนของตนไปส่งข่าวนี้ให้กับหลี่หมิ่นถังที่อยู่เสียนหยางหวังให้นายหญิงในใจของพวกตนปลอดภัยจากพวกคนชั่วจิตใจคับแคบและเห็นแก่ตัวให้จงได้ นางหลุดพ้นไปแล้ว พวกเขาก็ได้แต่ภาวนาขอให้หลี่หมิ่นถังได้พบชีวิตใหม่อย่าได้หวนกลับมาเป็นทาสในฐานะเย่ฮูหยินอีกต่อไปเลย
โกรธจนหน้ามืดโกรธจนสั่นและโกรธคนจนอยากสังหารคนด้วยมือของตนเองเป็นอย่างไรหลี่หมิ่นถังเพิ่งประจักษ์แก่ใจก็เมื่อได้รับฟังเรื่องราวที่คนของพ่อบ้านเฉียงนั้นเล่าทุกสิ่งทุกอย่างและเล่าเสียละเอียดราวกับหลี่หมิ่นถังได้ไปนั่งอยู่กลางวงของสี่แม่ลูกสกุลเย่อย่างไรอย่างนั้น
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเย่จื่อเฉิน เย่จื่อเว่ย เย่จื่ออิงหรือยายเฒ่าอ้าวจีผู้เป็นเหล่าฮูหยินเย่ ก็ล้วนทำให้หลี่หมิ่นถังชิงชังน้ำหน้าได้อย่างถึงแก่นทุกคนแล้วจริงๆ นี่หรือไม่ มารดาเป็นอย่างไรบุตรจึงเป็นเช่นนั้น เหล่าฮูหยินเย่ทั้งร้ายกาจทั้งใจดำพอมาถึงรุ่นลูกไม่ว่าจะเป็นเย่จื่อเฉินเย่จื่อเว่ยหรือเย่จื่ออิงแต่ละคนจึงกลายเป็นเช่นนี้ ในยามที่ยังรักลึกซึ้งนั้น
หลี่หมิ่นถังก็ยอมรับอย่างไม่ละอายว่าตนเองหน้ามืดตามัวไปจริงๆ เห็นกงจักรเป็นดังดอกบัว เห็นคนชั่วกลายเป็นเทพบุตรไปเสียได้ น่าขบขันอย่างยิ่งบทเรียนในวัยเยาว์สอนให้หลี่หมิ่นถังกระจ่างแล้วว่า ก่อนจะรักใคร นางต้องรักตนเองก่อน มีความสุขให้ได้ด้วยตนเองเสียก่อนที่ผ่านมานางโง่เขลายิ่งนัก เอาแต่ทำให้คนพวกนั้นมีความสุขแต่ปล่อยให้ตนเองมีความทุกข์อย่างแสนสาหัสถึงสี่ปี!
"ฝากคำไปถึงพ่อบ้านเฉียงด้วยว่าข้าหมิ่นถังขอบใจมาก และช่วยเตือนเขาด้วยว่าให้เขาระวังตัวให้ดี คนชั่วพวกนั้นใจคอเหี้ยมโหดหากทราบว่าท่านพ่อบ้านมีใจมาทางข้า เขาและครอบครัวของเขาอาจเป็นอันตรายได้ พวกเจ้าเองก็ด้วยระวังให้จงดี ติ้งอันโหวไม่ธรรมดานักหรอก"
ถึงสี่ปีในจวนติ้งอันโหวหลี่หมิ่นถังแทบจะไม่ได้ใกล้ชิดสามีของตนเองมากนัก แต่เพราะเขาคือคนที่นางรัก นางย่อมใส่ใจเขามากเป็นพิเศษดังนั้นต่อให้เขากับนางต่างแยกกันอยู่แยกกันกินและนอนแต่นางก็ยังใส่ใจเขาเป็นพิเศษกว่าใคร ดังนั้นเย่จื่อเฉินเป็นคนอย่างไรหนึ่งปีที่ผ่านมานางจึงซาบซึ้งดีกว่าใคร อาจจะมากกว่ามารดากับน้องชายและน้องสาวของเขาด้วยซ้ำ
หรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือนางรู้สันดานดิบของอย่างลึกซึ้งดี อาจดีพอกันกับตัวของเขาเองหรือมากกว่าตัวของเขาเสียอีกไม่อย่างนั้นนางจะคิดระวังตัวไม่ยอมไปพบเขาเพียงคนเดียวที่ฟางิ๋นโหรวแห่งนั้นอย่างไรเล่า
"ขอรับนายหญิง"
เด็กหนุ่มวัยสิบสามปีนามว่ามู่เซิ่ง ที่รับหน้าที่มา ส่งข่าว ให้กับนายหญิงที่เขาเทิดทูนราวกับมารดาคนที่สองรับคำแล้วจึงจากไป เด็กคนนี้เมื่อสี่ปีก่อนนางช่วยเขาเอาไว้จากกองหิมะในฤดูหนาวมู่เซิ่งปีนั้นยังมีอายุเพียงเก้าขวบเป็นขอทานในตรอกที่เป็นที่ตั้งของร้านขายผ้าของสกุลเย่
หลังจากช่วยเด็กชายจึงค่อยทราบว่าที่บ้านของเขายังมีมารดากับน้องสาวที่รอคอยอาหารและยาสมุนไพรจากมู่เซิ่งอยู่นางยื่นมือเข้าช่วย ทั้งหาที่อยู่ให้ใหม่พามารดาของเขาไปรักษา สุดท้ายรับทั้งสามมาเป็นคนงานในจวนติ้งอันโหว มารดาของเขาทำงานทั่วไป น้องสาวให้ช่วยมารดาอีกที แต่ก็หลังจากกลับจากสำนักศึกษา ใช่แล้วหลี่หมิ่นถังนั้นรักการศึกษานางจึงขึ้นเขาไปเรียนตั้งแต่อายุแค่สี่ขวบ จนถุงทุกวันนี้นางก็ยังมองว่าสตรีสมควรได้เรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ก็ยังดี
ดังนั้นพอเห็นเด็กหญิงสนใจการเรียนไม่ว่าจะเป็นน้องสาวของมู่เซิ่งหรือลูกหลานของบ่าวไพร่ในจวนติ้งอันโหว หลี่หมิ่นถังล้วนอนุญาตให้ไปเรียนหนังสือได้ทั้งหมด ถือคติที่ว่าบ่าวไพร่รู้หนังสือ ย่อมเสริมบารมีเจ้านายได้ที่สำคัญกว่าเสริมบารมีก็คือนางสามารถมีคนเก่งมาช่วยงานเพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่วนมู่เซิ่งนั้นนางฝากเขาให้ติดตามท่านพ่อบ้านใหญ่เฉียง ดังนั้นคราวนี้ท่านพ่อบ้านจึงส่งเด็กหนุ่มมา เพราะทราบดีว่ามู่เซิ่งคนนี้จะไม่ทรยศนางและพ่อบ้านใหญ่เฉียงเป็นแน่
"คุณหนูรองเรื่องนี้ท่านจะแจ้งกับนายท่านหรือไม่เจ้าค่ะ"
ผิงเซียงที่ติดตามหลี่หมิ่นถังมาตรวจกิจการของร้านฝูเล่อภายในมหานครเสียนหยางเอ่ยถามผู้เป็นนายหญิงของตนเองขึ้นมาหลังจากที่เห็นว่าหลี่หมิ่นถังนั้นยังคงนั่งตรวจบัญชีเงียบงันไม่พูดไม่จา
"ย่อมต้องบอกอยู่แล้ว แต่คงบอกเพียงท่านพ่อ ข้าไม่อยากให้ท่านย่ากับท่านแม่ต้องกังวล ประเดี๋ยวข้าตรวจบัญชีกองนี้หมดแล้ว จะไปพบท่านพ่อที่กรมกลาโหม"
ที่หลี่หมิ่นถังเงียบไปไม่พูดไม่จาเมื่อครู่เพราะนางกำลังใช้ความคิดในยามนี้คิดตกนางจึงตัดสินใจจะไปพบบิดาเสียที่กรมกลาโหมซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของท่านเสนาบดีหลี่ มารดากับท่านย่าของนางเป็นคนฉลาดแถมยังมีเส้นสายหรือจะกล่าวให้ถูกคือมาสายวางเอาไว้ใกล้ตัวของบุตรและสามีแทบจะทุกที ถึงนางไม่พูดที่จวนหลี่ก็อาจถูกคนของทั้งสองผู้ยิ่งใหญ่ในจวนหลี่ทราบ นางจึงวางแผนเรียบง่ายชวนและไปหาบิดาแล้วกลับรถม้าพร้อมบิดาจึงไม่เป็นที่สงสัย
"ไปบอกคนของเราทำอย่างไรก็ได้ให้รถม้าพังระหว่างที่ข้ากำลังจะเดินทางผ่านไปซื้อของที่ตรอกซือหม่า"
แต่นอนว่าตรอกซือหม่าอยู่เลยกรมกลาโหมไปสองตรอกผิงเซียงหรี่ตามองร่างระหงที่สั่งการนางโดยที่มีหรือดีดลูกคิด อีกมือชี้ลงบนตัวอักษรในบัญชีที่หลงจู๊รวบรวมมาให้ ด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อยแล้วเดินออกไปสั่งการคนบังคับรถม้าส่วนตัวของคุณหนูรองหลี่โดยไม่พูดไม่ถามอันใดหลี่หมิ่นถังอีก ก็เติบโตมาด้วยกัน ผิงเซียงย่อมเห็นมาแล้วทั้งร่างทองที่เป็นเทพธิดาและร่างที่เป็นมาร
แดดต้นยามเว่ยยังคงร้อนแรงหลังจากรถม้า พังตามแผนของหลี่หมิ่นถังซึ่งก็ห่างไปจากกรมกลาโหมแค่เพียงหนึ่งตรอก ผิงเซียงจึงกางร่มบังแดดให้กับนายหญิงของตนเอง
"เกาหานเจ้าจัดการซ่อมล้อรถม้าเมื่อเสร็จแล้วก็กลับจวนไปก่อนได้เลย ข้าจะกลับพร้อมนายท่านของเจ้าเอง"
เกาหานคนนี้แน่นอนว่าคือคนของบิดาของนาง ภายนอกคือคนบังคับรถม้าแต่ในทางลับเขาคืออดีตทหารฝีมือเยี่ยมสังหารคนได้ด้วยใบหน้าไม่เปลี่ยนสี และที่บิดาของนางมอบเขาให้มาอยู่ข้างกายนาง ส่วนหนึ่งหลี่หมิ่นถังก็คิดว่าบิดาของตนเองคงระแวงเย่จื่อเฉินอยู่หลายส่วน
วันนี้หลี่หมิ่นถังสวมชุดป้านปี้เขียวสดใส รองเท้าผ้าไหมสีเขียวปีกแมลงทับปักลวดลายดอกอิงฮวาสีแดงสดยามที่นางก้าวเดินจึงแลเห็นปลายเท้าวับแวมชวนค้นหา
ภายใต้ร่มสีน้ำเงินวาดลวดลายดอกเหลียนฮวาสีทองสะท้อนแสงแดดยามบ่ายได้งดงามยิ่ง บุรุษผู้หนึ่งที่นั่งดื่มน้ำชาอยู่บนชั้นที่สองของโรงน้ำชาซินอี๋สะดุดตาในทันที เขาวางถ้วยน้ำชาแล้วลุกขึ้นไปยืนชิดติดระเบียงกันตกทันที
"นายท่าน มีอันใดขอรับ"
คนสนิมนามฮ่าวจั๋วรีบรุดมายืนเคียงข้างกับเรือนกายสูงใหญ่ของบุรุษวัยสามสิบเอ็ดทันควัน
"สตรีสองคนในร่มสีน้ำเงินวาดดอกบัวสีทองเป็นคนจากสกุลใด"
เหิงเจา คนสนิทอีกคนของ จีไท่เว่ย หรือ จีม่อชง บุรุษที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งไท่เว่ยตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความสามารถของตนเองนั้นร้อยวันพันปีไม่เคยสนใจสตรี แต่วันนี้ถึงกับรีบร้อนลุกขึ้นมาดูไม่พอยังถึงกับถามว่านางคือคนจากสกุลใด ไม่ให้คนสนิทเช่นเขาอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร
"เป็นคุณหนูรองหลี่ หลี่หมิ่นถังกับสาวใช้ของนางขอรับ"
ฮ่าวจั๋วแน่นอนว่าเป็นคนสนิทของจีไท่เว่ยหูตาย่อมกว้างไกลถึงหลี่หมิ่นถังจะไม่ค่อยได้เผยโฉมในเสียนหยางบ่อยนักแต่เขาย่อมจดจำสาวใช้นามผิงเซียงกับเพ่ยเจียวได้ ดังนั้นที่เดินอยู่ข้างสาวงามผู้นั้นเป็นผิงเซียงคนฉลาดเช่นเขาย่อมคาดเดาได้ไม่ยากว่าโฉมงามกระจ่างผู้นั้นคือคุณหนูรองหลี่นายสาวของนางเป็นแน่
"มิใช่ว่านางแต่งงานไปอยู่เทียนตูเมื่อสี่ปีแล้วหรอกหรือ"
เหิงเจากับฮ่าวจั๋วถึงกับมองหน้าสบตากันไปมาแค่พูดชื่อแซ่ออกมาปกติใครเป็นใครจีไท่เว่ยยังจำสลับกันว่าเป็นคุณหนูจากจวนใด เป็นจวนใดแล้วเหตุไฉนวันนี้ แค่ได้เห็นเพียงรูปร่างกับรู้ชื่อรู้แซ่ก็ถึงกับจำได้ว่าเป็นคุณหนูรองหลี่ผู้ที่แต่งงานไปอยู่เทียนตูเมื่อสี่ปีที่แล้วได้อย่างแม่นยำ เช่นนี้ไม่ให้สองคนสนิทแปลกใจได้อย่างไร
แต่คนตัวโตนั้นกลับไม่ใส่ใจว่าคนสนิททั้งสองของตนเองจะคิดอย่างไร เขาเอาแต่จับจ้องร่างระหงที่ถูกร่มคันใหญ่บดบังใบหน้าไปจนสิ้นแน่วแน่มองจนนางหายลับไปตรงหัวมุมถนนก็ยังคงยืนมองนิ่งไปยังจุดนั้นอยู่อีกครู่ใหญ่
"นายท่าน..." นี่ยิ่งนับว่าแปลกเสียยิ่งกว่าแปลกในสายตาของคนสนิทเช่นเหิงเจากับฮ่าวจั๋วเกินไปจริงๆ
"ไปสืบมาว่าเหตุใดนางจึงกลับมาที่เสียนหยาง"
สั่งการคนสนิทแล้วจีม่อชงก็ทรุดลงนั่งดื่มน้ำชายามบ่ายไปเงียบๆ นานเพียงใดแล้วที่เขาไม่ได้พบนาง หึ! ก็คงสี่ปีเท่ากับเวลาที่หลี่หมิ่นถังแต่งงานออกไปกระมัง!