ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ชวนชมที่ยังไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดอะไร ฝั่งดวงยิหวาที่ยังช็อกอยู่ก็เอาแต่เงียบ คีรีเลยพลอยเก้อไปด้วยอีกคน
"เอ่อ...เมื่อคืนปลีคุยกับยิหวาบ้างแล้วล่ะคะ ยิหวาเขาก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก มีอะไรก็มาคุยกับปลีได้เลย ใช่ไหมยิหวา" ปิติหันไปถามตัวคนถูกพูดถึงเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับคีรี ดวงยิหวานั้นไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรพออีกฝ่ายพูดมาแบบนั้นเธอจึงรีบพยักหน้ารับทันที และพอคิดย้อนไปถึงเมื่อคืนนี้ ปิติก็ได้เกริ่นกับเธอถึงเรื่องการแต่งงานอะไรนี่แล้วจริง ๆ
"อ๋อ...แล้วจะไม่บอกทางญาติผู้ใหญ่ฝ่ายยิหวาเขาหน่อยเหรอครับ" คีรีเองนั้นเข้าใจว่าปิติคงจะดูแลดวงยิหวามานาน จนเธอนับถือและยกให้เป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น การจะแต่งงานกับใครสักคน พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ควรจะมาเป็นธุระรับรู้เรื่องนี้เอง เพราะถึงจะนับถือปิติแค่ไหน การแต่งงานก็ไม่น่าจะมอบอำนาจให้เขาดูแลแทนได้
"ญาติผู้ใหญ่...."
"เมื่อคืนยิหวาคุยกับที่บ้านแล้วใช่ไหม?" ดวงยิหวาไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ปิติก็แทรกขึ้นทันที หญิงสาวมองหน้าปิติด้วยความงุนงง ญาติผู้ใหญ่อะไรกัน ชีวิตนี้เธอไม่เหลือญาติที่ไหนแล้วแม้แต่คนเดียว แล้วเมื่อคืนจะไปโทรหาใครได้ แต่พอมองหน้าปิติแล้ว ดวงยิหวาก็พอเข้าใจว่าเขาต้องการให้เธอเออออตามน้ำไปกับเขา
"อ๋อค่ะ ใช่ยิหวาคุยแล้ว เมื่อคืน..."
"แล้วท่านว่ายังไง" คีรีถามต่อ
"ก็...ให้เอาตามที่เจ๊ปลีว่าเลย" ดวงยิหวาตอบไปส่ง ๆ 'กับอีแค่แต่งแก้เคล็ด จะเรื่องมากให้มันยุ่งยากทำไม' หญิงสาวคิดในใจบรรยากาศบนโต๊ะอาหารตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง คีรีอึ้งกับคำตอบของหญิงสาวเล็กน้อย เข้าใจว่าเธอดูเป็นคนคุยง่าย เท่าที่เขาได้พูดคุยกับปิติ แต่เรื่องการแต่งงานก็เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพอสมควร ทำไมเธอถึงดูไม่ใส่ใจเลย
“ผมว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อน ยังไงยิหวาต้องคิดให้รอบคอบนะครับ การแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดีก่อนตัดสินใจ จะให้เอาตามคุณปิติอย่างเดียวผมมองว่ามันไม่ถูกต้อง” คีรีออกความเห็น
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหลืออด เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะอะไรนักหนา ในเมื่อปิติพี่เลี้ยงของเธอบอกว่ามันก็แค่การแต่งงานแก้เคล็ด
“เจ๊ปลีถ้ายังเรื่องมากแบบนี้ยิหวาไม่เอาด้วยแล้วนะ” ดวงยิหวากระซิบบอก แต่ก็ถูกปิติหยิกต้นขาให้หยุดพูด
“ทำตามที่เจ๊บอกก็พอ” เพราะกลัวว่าเด็กในสังกัดจะหลุดปากพูดข้อมูลที่ไม่ตรงกันกับตัวเอง ปิติจึงต้องกำชับอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน ตอนนี้ขอให้การตกลงแต่งงานมันจบลงด้วยดี แล้วค่อยหาทางแก้ปัญหากันทีหลัง
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวปลีคุยกับน้องยิหวาอีกทีนะคะคุณคีรี น้องยังเด็กน่ะไม่ค่อยเข้าใจ พรุ่งนี้เช้าได้คำตอบแน่นอนค่ะ” ปิติจำต้องพูดตัดบทไปก่อน เพราะตอนนี้สีหน้าของทุกคนดูจะสับสนงุนงงกับเหตุการณ์มาก
หลังรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว คีรีจำต้องขอตัวกลับ แม้ว่าเขาจะยังอยากอยู่ต่ออีกสักหน่อย ส่วนดวงยิหวานั้นเธอภาวนาอยู่ตลอดเวลาให้นายหัวคนนี้รีบกลับไปเสียที แค่เห็นหน้าเขาเธอก็สะอิดสะเอียนจะแย่
“มันเรื่องอะไรกันแน่เจ๊ ทำไมไอ้นายหัวท่าทางหื่นกามนั่น ถึงได้พูดเหมือนว่าจะแต่งกันจริงจัง แล้วเจ๊ไปพูดอะไรกับเขาทำไมเขาถึงคิดว่ายิหวามีพ่อแม่” ทันทีที่แขกไม่ได้รับเชิญกลับไป คำถามมากมายก็พลั่งพรูมาจากปากของนางงามคนสวย เธอรู้สึกถึงความผิดปกติหลายอย่าง และอยากพูดเสียตั้งแต่ตอนที่คีรียังอยู่แล้ว แต่เกรงใจปิติจึงรอมาพูดกลังจากที่อีกฝ่ายกลับไป
“ก็อย่างที่บอกไปแล้วนั่นแหละ คุณปิติเขาอยากจะทาบทามให้แกไปแต่งงานแก้เคล็ดให้เขา ส่วนเรื่องที่เขาเข้าใจว่าแกยังมีพ่อแม่อยู่ก็เพราะฉันโกหก” ปิติจำต้องแก้ตัวไปก่อน เพื่อพูดให้ดวงยิหวายอมทำตาม
ใบหน้าสวยขมวดคิ้วยุ่ง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมปิติต้องโกหกนายหัวบ้ากามคนนั้น เรื่องพ่อแม่ของเธอด้วย ก็แค่แต่งงานแก้เคล็ด
“ทำไม?”
“ก็เจ้าสาวต้องมีพ่อแม่น่ะสิ”
“ก็ยิหวาไม่มี แบบนี้จะแต่งงานกับเขาได้หรือไง”
“ต้องได้ ฉันถึงได้โกหกว่าพ่อแม่แกยังไม่ตายไง” ผู้จัดการสาวสองเริ่มเหลืออดกับแม่นางงามคนนี้เสียแล้ว ทำไมต้องตั้งคำถามมากมายด้วย
“ทำไมเจ๊ถึงอยากให้ยิหวาไปเป็นเจ้าสาวของเขานักหนาด้วย”
“เพราะค่าจ้างที่แกจะได้มันเยอะมากน่ะสิ เยอะกว่าเงินรางวัลที่แกชนะนางสาวเบตงอีก แล้วเงินตรงนี้ฉันก็จะเอาไปเป็นเงินส่งแกเข้าประกวดเวทีใหญ่ เป็นค่าชุด ค่าแต่งตัว ค่าเก็บตัว ทีนี้แกจะยอมทำตามคำสั่งของฉันง่ายๆ ได้หรือยัง” เมื่อดวงยิหวาได้ยินแบบนั้น เธอก็หยุดตั้งคำถามใดใดทั้งสิ้น การขึ้นประกวดนางงามเวทีใหญ่เป็นความฝันสูงสุดของเธอนับตั้งแต่ที่เธอตัดสินใจเดินบนเส้นทางสายนางงาม
และแม้ว่าจะคว้ามงกุฎเวทีเล็กๆ มานับไม่ถ้วนแล้ว แต่เจ๊ปลีก็ยังไม่มีเงินทุนมากพอที่จะส่งเธอขึ้นเวทีใหญ่เสียที น่าแปลกที่เธอก็เห็นว่าเขาพาเธอไปขอเงินจากสปอร์นเซอร์ตั้งหลายครั้ง แต่ทำไมถึงมีเงินไม่พอ
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า ไม่ว่าจะได้เงินมาเท่าไหร่ ปิติก็เอาไปใช้จ่ายส่วนตัวจนหมด เหลือไว้เพียงแค่พอค่าช่างแต่งหน้ากับค่าเช่าชุด เพื่อส่งดวงยิหวาประกวดเวทีเล็กๆ พร้อมกับให้ความหวังเธอว่าสักวันจะพาไปประกวดเวทีใหญ่
“พี่คีคะ ยิหวามีความจริงจะบอก”
เมื่อคีรีกลับถึงบ้าน ปิติก็ส่งข้อความไปหาเขา โดยใช้แอคเคาท์ปลอมที่เป็นรูปของดวงยิหวา ข้อความล่าสุดในช่องสนทนาทิ้งร้างห่างหายมานานเป็นเดือน
“ว่าไงยิหวา”
“ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนานเลย ยิหวาเพิ่งจะจำรหัสได้น่ะค่ะ” คีรีเชื่ออย่างสนิทใจ เขาไม่เคยรู้สึกถึงความไม่ปกติของเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว อาจจะเป็นเพราะความรักความหลงมันบังตา
“เมื่อกี้ยิหวาบอกว่ามีเรื่องอะไรจะบอกพี่เหรอ”
“เรื่องพ่อแม่ของยิหวาน่ะค่ะ” ปิติจำต้องกำจัดปัญหาเรื่องนี้ให้ได้ก่อน ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าคีรีจะเรื่องมากกับเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าหลงดวงยิหวาตัวปลอมจนหัวปรักหัวปรำ แต่เพราะไม่ได้คิดเอาไว้ก่อนว่าจะได้มาเจอตัวจริงกัน แล้วก็ดันเอาพ่อแม่มาอ้างขอเงินคีรีไปหลายหน จึงต้องหาคำแก้ตัวที่พอจะจัดการเรื่องพ่อแม่ออกไปเพื่อให้การแต่งงานมันเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด
“ว่ายังไงคะ”
“จริงๆ สินสอดจำนวนที่พ่อแม่ยิหวาเรียกไปมันมากเหลือเกิน ยิหวาเกรงใจพี่คี แล้วอีกอย่างถ้าพ่อแม่มาร่วมงานยิหวาคงไม่ได้เห็นเงินแน่”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เงินส่วนนั้นเราก็ต้องให้พวกท่านอยู่แล้ว” ปัญหาอีกอย่างที่ปิติรู้สึกว่าจัดการยากเย็นเหลือเกิน ดูจะเป็นความใจกว้า หน้าใหญ่ของคีรีนี่แหละ
“ยิหวาตั้งใจจะเอาเงินส่วนหนึ่งไปประกวดนางงามน่ะค่ะ ถ้าพ่อกับแม่เอาไปหมด ยิหวาคงจะประกวดนางงามไม่ได้”
“ไม่ใช่ปัญหาเลย พี่ยินดีจะเป็นสปอนเซอร์ดูแลเรื่องเงินให้ยิหวานะ” ปิติถอนหายใจอย่างเหลืออด เขาพยายามคิดหาทางออกก่อนจะแสยะยิ้มร้าย เมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“เอาอย่างนี้นะคะ เราแต่งกันที่นี่ไปก่อน แล้วค่อยไปแต่งที่บ้านยิหวาอีกรอบ พ่อแม่ของยิหวาก็ค่อยเข้าร่วมงานที่โน่น อย่างที่พี่คีรู้ สุขภาพพ่อแม่ยิหวาไม่ดีนัก ส่วนเรื่องสินสอดยิหวาจะแบ่งอีกส่วนให้พวกท่านเอง” ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบรับคำเสนอของหญิงสาว
ปิติถอนหายใจอย่างโล่งอก ทีนี้ก็เหลือแค่คิดหาทางหอบเงินหนี ส่วนดวงยิหวาก็ทิ้งเธอเอาไว้ที่นี่ ให้ใช้หนี้ค่าสินสอดเอาเอง เพื่อที่คีรีจะได้ไม่ต้องตามตัวเขา