ตอนที่ 12
กลางดึกคืนนั้น
นพฤทธิ์ที่นอนไม่หลับ เพราะพรุ่งนี้เช้าจะได้เดินทางกลับบ้านสักที ในใจก็ว้าวุ่นคิดถึงแต่ใบหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รัก ก่อนจะพูดขึ้นเบา ๆ กับนายหาญที่นอนอยู่ข้าง ๆ
“พี่หาญ...พี่ตั้งใจจะเอาน้ำมันพรายไปใช้กับสาวคนไหนบ้างหรือเปล่า”
“ข้าไม่มีผู้หญิงคนไหนที่หมายปองเหมือนเอ็งหรอก ไอ้เข้ม!!!”
“แสดงว่านอกจากคุณนุ่นแล้ว พี่ไม่เคยรักใครอีกเลย...งั้นเหรอ”
“ไม่เคย”
“แล้วพี่คิดจะปลดปล่อยเธอมั้ย”
“ข้าไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้นหรอก อีกอย่างคนที่จะปลดปล่อยวิญญาณของอีนุ่นได้ ต้องเป็นสายเลือดเดียวกันเท่านั้น”
รุ่งเช้า
“ฉันกลับก่อนนะพี่ แล้วว่าง ๆ ถ้ามีโอกาสจะแวะมาหา” นพฤทธิ์ที่โยนกระเป๋าเสื้อผ้าไปที่หลังรถแล้วหันมาบอกศิษย์ผู้พี่
“เดินทางปลอดภัยนะ..ไอ้เข้ม”
“พี่!!!...แล้วอาจารย์เค้าไม่นอนที่บ้านเหรอ ฉันไม่เห็นอาจารย์เลย...ตั้งแต่เช้า”
“อาจารย์ก็คงอยู่ที่อาศรมนั่นแหละ”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะแวะไปกราบลาอาจารย์ก่อน”
“เดี๋ยว!!!...ไอ้เข้ม เอ็งอย่าเพิ่งไป” นพฤทธิ์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวขึ้นรถของตัวเองทันที แล้วหันมาตามเสียงเรียก
“มีอะไรอีกเหรอ...พี่หาญ”
“เอ็งอยากได้ตำรา การใช้น้ำมันพรายหรือเปล่า”
“ก็อาจารย์สอนฉันไปแล้วไง”
“ไม่ใช่!..นี่เป็นตำรา ปลุกผีพรายเพื่อปราบศัตรูเชียวนะ”
“ก็ไหนว่าน้ำมันพรายของฉัน อาจารย์เค้าให้ใช้ได้แค่ทำเสน่ห์อย่างเดียวไม่ใช่รึ” นพฤทธิ์เลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
“เอ่อน่า!!..เอ็งเชื่อข้าสิ ตำรานี้ข้าไม่เคยให้ใคร เอ็งเอาเก็บไว้เถอะ แล้วนี่..ก็มีดหมอลงอาคม เอ็งเก็บไว้ด้วยเผื่อว่าวันหนึ่ง..เอ็งจะได้ใช้มัน” นายหาญยื่นมีดดาบที่มีฝักลายสวยงามให้นพฤทธิ์หนึ่งเล่มพร้อมสมุดตำรา
“แล้วพี่ล่ะ”
“ข้าศึกษาตำราเล่มนี้มาหมดแล้ว คาถาในตำราเล่มนี้ข้าก็ท่องได้หมดแล้วล่ะ เอ็งเอาไปเถอะ แล้วมีดเล่มเนี่ยนะ ถ้าเอ็งต้องการให้มันเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพแล้วละก็ ให้หยดน้ำมันพรายลงไป แล้วตามด้วยคาถาในตำราเล่มนี้ เอ็งไปอ่านเอา...ว่ามันอยู่บทไหน ถ้าทำได้ตามที่ข้าบอก เมื่อไหร่ที่เอ็งจวนตัว..มันจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังและช่วยเหลือเอ็งได้”
“ขอบคุณครับพี่หาญ พี่ก็เปรียบเหมือนอาจารย์ของฉันคนหนึ่ง ฉันจะไม่ลืมบุญคุณพี่เลย” นพฤทธิ์ยกมือไหว้ศิษย์ผู้พี่
“เอ่อ ๆ เอ็งรีบไปเถอะ แล้วก็อย่าลืมแวะไปกราบลาอาจารย์ด้วยล่ะ”
“ครับพี่”
หลังจากที่นพฤทธิ์แวะกราบลาอาจารย์ยอดเสร็จเรียบร้อย เขาก็ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทันที
นพฤทธิ์ขับรถมาเรื่อย ๆ จนถึงปากทางที่เลี้ยวเข้าหมู่บ้านในตอนแรก แต่ก็ต้องตกใจเพราะมีแสงสว่างวาบสะท้อนมายังที่รถ เขาหลับตาไม่ถึงเสี้ยววินาที ก่อนจะลืมตาขึ้นมาก็พบว่าสองข้างทางที่เต็มไปด้วยป่านั้นหายไป ทั้งที่เพิ่งจะเลี้ยวออกมาและเขาจำได้ว่าถนนลูกรังระยะทางมันยาวมาก แต่ครั้งนี้เลี้ยวออกมานิดเดียวก็ถึงถนนใหญ่เลย มันแปลกมาก!! หรือว่าเขาจะหลงทางอีก นพฤทธิ์รีบจอดรถเพื่อตั้งGPS แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกาบนหน้าจอนั้น มันเป็นเวลาเกือบสิบโมงแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร!!! ทั้งที่ตอนเขาออกจากอาศรมของอาจารย์ยอดมานั้นเป็นเวลาเช้ามืดอยู่เลย ถึงเขาจะไม่ได้ดูเวลาในช่วงนั้นแต่เดาว่ามันคงไม่เกินหกโมงเช้าเป็นแน่ ระหว่างนั้นคุณยายของเขาก็โทรหาพอดี
“ไอ้เข้ม...เอ็งถึงหรือยังลูก ยายติดต่อไม่ได้เลย”
“ผมกำลังจะกลับแล้วครับคุณยาย”
“เอ้า เหรอ..ทำงานเสร็จแล้วดีนี่”
“ครับยาย เดี๋ยวเย็น ๆ คงถึง ยายไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”
“เอ่อ ๆ แค่นี้แหละ ยายจะไปทำงานที่บ้านท่านปลัดเค้าก่อนนะ สายแล้ว”
“จ้ะยาย เดี๋ยวผมถึงแล้วจะแวะไปรับนะครับ” เย็นนั้นพอถึงกรุงเทพฯ นพฤทธิ์ก็แวะไปรับคุณยาย เขาไม่เห็นอินทิราอยู่บ้าน แต่ก็ยังไม่ได้ถามผู้เป็นยายว่าเธอหายไปไหน เพราะจะรีบเอาเสื้อผ้าไปซักที่บ้าน ระหว่างที่เก็บเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเพื่อเตรียมนำไปซัก ตำราของศิษย์รุ่นพี่ที่มอบให้มาก็ร่วงหล่นพื้น เหมือนมีใครตั้งใจจะโยนมันออกมาซะอย่างนั้น
นพฤทธิ์ก้มหยิบสมุดตำราเล่มนั้นขึ้นมา ก่อนจะเปิดเข้าไปดู สมุดตำราเล่มดังกล่าวที่มันดูเก่าจนเขาต้องประหลาดใจว่ามันใช่เล่มเดียวกันกับที่ตนรับมาเมื่อเช้าหรือเปล่า ไม่รอช้า..นพฤทธิ์รีบพลิกไปพลิกมาดูเพื่อดูเนื้อหาในตำราหลายรอบ และเหมือนกับว่าสมุดตำราเล่มนี้มันเป็นตำราโบราณยังไงยังงั้น ลายมือคนที่เขียนไว้นั้นมีการลากหางยาวสวยงามอ่านง่าย
เขาลองอ่านคาถาในแต่ละบท ทีละบรรทัด และหยิบขวดน้ำมันพรายขึ้นมาดูควบคู่ไปด้วย ขวดน้ำมันพรายที่เขาได้มานั้น มันก็กลายเป็นขวดเก่า ๆ อีกเช่นกัน เขาสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
นพฤทธิ์เก็บความสับสนไว้ในใจ คืนนั้นหลังจากสวดมนต์เสร็จ เขาลองท่องคาถาบทหนึ่งตามตำรา เป็นคาถาที่ใช้ปลุกวิญญาณของผีพราย และทำตามขั้นตอนที่ตำราบอกไว้ทุกประการ หลังจากกล่าวคาถาเสร็จมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็เลยเข้านอนและไม่ได้สนใจมันอีก เพราะเพลียจากการขับรถมาทั้งวัน