มือของชายหนุ่มเอื้อมจับอย่างแผ่วเบาดั่งหวงแหน การแต่งงานที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติค ลมเย็นพัดโชยและมีเสียงคลื่นของน้ำทะเลพัดพากระทบกับฝั่ง
((ขนมปังคือผู้หญิงที่พี่วาดฝันอยากจะให้เป็นคู่ชีวิต)) เสียงนุ่มละมุนพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นของรุ่นพี่เปรยออกมา ทำให้ขนมปังที่มองเห็นในมโนภาพนั้นแทบละลายเข่าทรุด
((รุ่นพี่คะ)) ขนมปังใช้มือปิดปากพร้อมกับดวงตาที่สั่นระริก น้ำสีใสคลอเบ้าตาด้วยความซาบซึ้ง จ้องมองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาที่รักใคร่ เธอซึ้งใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน
((ขนมปังรู้ไหม? .... ไม่มีผู้หญิงคนไหนเลยที่พี่จะชายตามอง ให้หัวสมองของพี่มีเพียงขนมปังเพียงคนเดียวที่ยืนหนึ่ง)) ชายหนุ่มกุมมือของขนมปังแล้วพูดออกมาด้วยแววตาที่หวานซึ้ง
(( ฮึก อึก รุ่นพี่)) คำหวานที่ได้ฟังทำให้ขนมปังนั้นเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ดวงตากลมโตเริ่มร้อนผ่าว ดวงตาขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง น้ำตาไหลรินด้วยคำหวานที่แสนจะกินใจ เธอร้องไห้ออกมาอย่างกับนางเอกเกาหลีที่กำลังถูกพระเอกสารภาพรัก
((ดูสิขนาดร้องไห้ยังสวย)) คำหวานจากปากชายหนุ่มยังคงเปรยต่อ น้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มของขนมเขาค่อย ๆ ใช้นิ้วมือเช็ดให้เธออย่างแผ่วเบานุ่มนวล
((รุ่นพี่ ฮึก ดวงใจของขนมปัง)) เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เงยหน้ามองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างลึกซึ้งกินใจ
((พี่รักขนมปังนะ สุดที่รักของพี่)) คำหวานที่หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม ยิ่งเรียกน้ำตาของคนตัวเล็กให้ไหลพรากไม่ขาดสาย
ใบหน้าคมคายค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยขยับเข้ามาใกล้ สองมือใหญ่ประคองกรอบหน้าสวยของขนมปัง สายตาสองคู่จ้องมองกันอย่างหยาดเยิ้ม กลีบปากหนาค่อย ๆ ขยับเข้ามาชิด เธอหลับตาลงพร้อมรอรับสัมผัสที่แสนหวานนั้นจากเขา ลมหายใจอุ่นที่รินรดผิวแก้ม ส่งสัญญาณบอกแล้วว่ากลีบปากของเขากำลังจะแตะชิดจูบปากขนมปังด้วยความอ่อนนุ่ม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เฮือก!! โอ๊ย! ใครดับฝันอีปัง!!” ขนมปังที่กำลังอยู่ในภวังค์แสนหวานสะดุ้งตัวโหยงตกใจ เมื่อเธอกำลังคิดไกลไปยังคนที่เฝ้าเพ้อหา
“ขนมปังลูก ไปทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวไปเรียนสายนะคะ...อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วทำไมไม่ลงไปข้างล่าง” เสียงของแม่แนนเรียกขานพร้อมกับดันประตูเข้ามาในห้องนอนของลูกสาวคนรอง
“โอ๊ย!!!! คุณแม่!...เข้ามาอะไรตอนนี้คะเนี้ย กำลังได้ที่แล้วเชียว” ขนมมองไปยังประตูต้องร้องออกมาอย่างนึกเสียดายเมื่อคนเป็นแม่นั้นดับฝันที่แสนหวาน การที่เธอกำลังจะถูกจูบด้วยชายรุ่นพี่ที่แอบปลื้มต้องดับมอดลง
“อะไรคะขนมปัง” แม่แนนที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ลูกสาวหงุดหงิด สีหน้าของเธอดูผิดหวังเมื่อเห็นแม่เข้ามา ทำสีหน้าละห้อยกรอกสายตามองบน
“คุณแม่อ่ะ งื้อ....ใกล้จะสมหวังแล้ว จะจูบกันอยู่แล้ว เข้ามาทำไมตอนนี้คะเนี้ย ถูกดับฝันซะงั้น เฮ้อ ชีวิตขนมปังแม้ในฝันหวานยังแดกแห้ว” ขนมปังถอนหายใจยาว วางช่อดอกไม้ลงข้างตัว เอนหลังนอนราบกับเตียงนอนอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก
“จูบ? ... จูบกับใครคะ หนูแอบซ่อนผู้ชายไว้ในห้องเหรอ? บอกแม่มานะ!” แม่แนนเริ่มโวยวายตีความหมายของลูกสาวไปอีกทาง เดินเข้าไปหยุดตรงข้ามแล้วเอ่ยถามด้วยใจร้อนรน
“ไม่ใช่ค่ะคุณแม่...เฮ้อ...ช่างเถอะค่ะไปเรียนดีกว่า” ขนมปังดีดตัวลุกนั่งก่อนจะยืนเต็มความสูง หยิบกระเป๋าสัมภาระเดินออกมาจากห้องนอนโดยไม่สนใจคนเป็นแม่ที่ยืนงงอยู่เพียงลำพัง
“นี่ลูกฉันเป็นอะไรไป ปวดหัวตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว” แม่แนนส่ายหัวเบา ๆ อย่างหน่าย ๆ เมื่อเห็นกิริยาลูกสาวคนรองที่ค่อนข้างไม่ปกติ ก่อนจะเดินตามลงมายังชั้นล่างที่สามีของเธอรอทานมื้อเช้ากันพร้อมหน้า
“ขนมปังทางนี้” เสียงของลูกแก้วเพื่อนสนิทตะโกนโบกมือเรียก เมื่อสายตาของเธอเห็นขนมปังกำลังเดินมายังม้าหินอ่อน จุดที่พวกเธอมักใช้นั่งเล่นประจำในยามว่าง
“มานานยังอ่ะแก้ว” ขนมปังเอ่ยถามเพื่อนเมื่อเธอเดินมาถึงที่หมาย และปรายสายตามองคนที่นั่งตรงข้ามอย่างสงสัย และส่งสายตาหาลูกแก้วเชิงคำถาม
“อ้อ ขนมปังนี่ดาวเรือง” ลูกแก้วแนะนำเพื่อนใหม่กับขนมปัง
ดาวเรือง นักเรียนที่ย้ายมาใหม่จากถิ่นอีสาน เข้ามาเรียนในเมืองเพราะพ่อแม่ทำงานอยู่แถวนี้ แต่ยังไม่มีเพื่อนหรือใครที่ไหน ลูกแก้วผู้ใจดีและมีมนุษยสัมพันธ์ดีเยี่ยม พบเจอดาวเรืองที่ไม่คุ้นเคยกับสถานศึกษาจึงเข้าไปทักและได้พูดคุยกัน เอ่ยชวนและแนะนำตัวจนได้เป็นเพื่อนใหม่ในตอนนี้
“ตอนทำนาข้าชื่อดาวเรือง พอเข้าในเมืองชื่อข้าก้องเลื่องลือ...” ขนมปังผู้อารมณ์ดีเมื่อได้ยินชื่อเพื่อนที่ลูกแก้วแนะนำ เธอก็ขับขานออกมาเป็นเพลงตามแบบที่เธอนึกได้ การร้องเพลงที่ขนมปังโปรดปราน แต่ว่าน้ำเสียงอันแสนไพเราะกว่าสุนัขที่ฉี่ใส่สังกะสี ทำให้คนรอบข้างนั้นปิดหูแทบไม่ทัน เพราะมันแสนจะไพเราะเหลือเกินจนปวดร้าวไปทั้งตัว
“ขนมปัง...ยังจะเล่นอีกนะ แก้วปวดหูหมดแล้ว” ลูกแก้วต่อว่าด้วยรอยยิ้มเมื่อขนมปังนั้นไม่จริงจังกับอะไรเลย แม้กระทั่งการฟังครูสอนแต่ไฉนเลยถึงกลับเรียนได้เกรดดีมาตลอดทุกเทอม... ลูกแก้วไม่เข้าใจ?
“ขนมปังตลกจังเลยนะ...” ดาวเรืองที่อมยิ้มกับท่าทางของขนมปังพูดแซวขึ้น
“หยอก ๆ แค่อยากให้เพื่อนมีรอยยิ้ม ว่าแต่ดาวเรืองบ้านอยู่ที่ไหนเหรอ?” ขนมปังรีบแก้ต่างเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน ๆ ที่ดูแหนงหน่ายต่อพฤติกรรมของเธอ
“บ้านเกิดเราอยู่แถวอีสาน แต่ว่าพ่อกับแม่มาทำงานในเมืองเราเลยย้ายตามพ่อแม่มา” ดาวเรืองตอบคำถามที่ขนมปังนั้นต้องการรู้
“จริงดิ ปังชอบอีสาน ดาวเรืองสอนปังพูดหน่อยสิ ปังอยากพูดอีสานอ่ะ ตอนนี้ฟังแต่เพลงอีสานที่มัน ๆ อยากพูดเป็นบ้าง นะ นะ นะ ดาวเรืองสอนปังหน่อยนะ พลีส....” ขนมปังที่ถูกใจกับคำตอบ ภาษาอีสานที่น่ารักเธอปลาบปลื้มมานานแต่เพราะว่าบ้านอยู่ในเมืองกรุงเลยไม่ค่อยได้เรียนรู้กับสิ่งที่ชอบ
“คึกอะไรอีกเนี้ยขนมปัง แค่แอบไปเรียนชกมวยนี่แก้วว่าก็หนักพอแล้วนะ” ลูกแก้วแย้งขึ้นเสียงหลง
“เอ้า!! แก้วก็...เกิดเป็นคนต้องทำให้ได้ทุกอย่าง ทำได้อยู่แล้วน่าถ้าคิดจะทำ...ไม่ยากหรอกเนอะดาวเรือง” ขนมปังพูดอย่างมีเหตุผลให้ลูกแก้วเข้าใจ ก่อนจะหันเหสายตาไปยังดาวเรืองที่ได้แต่นั่งยิ้มกับพฤติกรรมของเพื่อน
“ไม่ยาก เดี๋ยวเราจะสอนขนมปังเอง” ดาวเรืองที่เป็นมิตรและเข้ากับคนง่าย เธอถูกชะตากับเพื่อนใหม่ทั้งสอง ยิ่งอยู่ใกล้พวกเธอก็ยิ่งเรียกรอยยิ้มให้เธอได้เสมอ บุคลิกของเพื่อนหญิงสองคนที่ต่างกันแต่กลับคบหากันได้อย่างสมานฉันท์ลงตัว...แปลก!?
“เย้ ๆ ดาวเรืองเพื่อนใหม่นี่ไฉไลจริง ๆ” ขนมปังใช้มือจับกรอบหน้าของดาวเรือง พร้อมกับส่ายไปมาเบา ๆ กัดฟันแน่นอย่างมันเขี้ยว “เริ่มเลย ๆ ต่อไปนี้ปังจะหัดพูดอีสาน หุหุ...อีปังมาแล้วจ้า” ขนมปังผู้ไม่สนใจใคร พูดขึ้นเสียงดังพร้อมกับทำท่าทางที่ตลก แขนข้างหนึ่งยกชูขึ้นสูงอีกข้างเท้าสะเอวอย่างกับอุลตร้าแมน
“เฮ้อ ดาวเรืองอย่าถือสาขนมปังเลยนะ พอดีสงสัยวันนี้กินยาไม่ครบ” ลูกแก้วรีบชี้แจงพฤติกรรมของเพื่อนสนิท
“ขนมปังน่ารัก” ดาวเรืองยิ้มอ่อนแล้วมองขนมปังด้วยความสดใส
“ใช่แล้วดาวเรือง ปังน่ารักมาก ๆ” ขนมปังพูดสำทับคำชมของดาวเรืองอย่างหลงตัวเอง
“เฮ้อ บ้าไม่พอแถมมั่นหน้าอีกต่างหาก”
ลูกแก้วถึงกับถอนหายใจหน่าย ๆ และเปิดหนังสือเรียนอ่านโดยไม่สนใจกิริยาของขนมปังแม้แต่น้อย