“นี่ ๆ พี่ไอติม ปังว่าจะไปสมัครประกวดร้องเพลง...ปังอยากเป็นนักร้อง อยากมีคนกรี๊ดอยู่หน้าเวที อร๊าย!! คือดีอ่ะ ปังจะไปออดิชั่น!!!!” ขนมปังพูดขึ้นด้วยความตั้งใจ รถยนต์ก็ขับเคลื่อนไปตามทาง มุ่งหน้าไปยังบ้านของอาไฟ
“พูดให้เป็นจังหวะลงตัวก่อนไหมปัง พี่สงสารคนฟังเพลงปังจัง ไม่สิ...พี่ว่าพี่ควรสงสารตัวเองก่อนตอนนี้” พี่ไอติมพูดแซว เมื่อได้ยินสิ่งที่น้องสาวบอกเล่า
“ปังจะร้องเพลงอะไรดีนะ...พี่เจทว่าปังจะร้องเพลงอะไรดี” ขนมปังทำทีได้ยินสิ่งที่พี่สาวพูด เธอไม่สนใจทำเป็นเฉไฉ แล้วเอ่ยถามความเห็นของพี่เจทที่อุตส่าห์ขับรถเงียบ ๆ ไม่โต้ตอบมานาน
“เอิ่ม....เอาที่ปังชอบสิ” พี่เจทเกิดกระอักกระอวลไม่รู้จะแนะนำน้องสาวแฟนยังไง เห็นสีหน้าที่ตั้งใจก็ไม่อยากจะดับฝันน้อง ทั้งที่รู้แก่ใจว่าน้ำเสียงการร้องเพลงของเธอนั้นเป็นเช่นไร แค่พูดให้ลงจังหวะยังยาก! เลยเบี่ยงเบนให้คำตอบอย่างรักษาน้ำใจ
“พี่พูดตั้งยาวเหยียดน้องสาวก็ไม่คิดจะฟัง...เฮ้อ” พี่ไอติมพูดพร่ำก่อนจะทอดถอนลมหายใจแรงอย่างหน่าย ๆ
“ไอติมก็...ความสุขของน้อง” เจทหันมองหน้าภรรยาที่ตอนนี้ทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย มือหนาข้างซ้ายวางลงบนหัวของไอติม ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนให้เธอ
“นี่ ๆ อย่ามาหวานต่อหน้าปังนะ...ปังอิจหินปูนทราย” ขนมปังที่มองพฤติกรรมของพี่ทั้งสอง เธอทักท้วงเมื่อการกระทำที่แสนจะหวานหยดนั้นเคืองสายตาของเธอ
“ปังจะไปสร้างบ้านเหรอ” พี่เจทย้อนอย่างยียวน ทั้งที่รู้คำที่เธอสื่อเป็นอย่างดี
“เอาเข้าไปแต่ละคน นี่ไม่มีใครคิดจะเข้าข้างปังเลยหรือไง?” ขนมปังพูดขึ้นอย่างคนน้อยใจ
“หยอก ๆ” พี่เจทแก้ต่างทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของน้องขนมปังจอมแสบ
“พี่ไอติม พี่เจท ก่อนไปออดิชั่นเดี๋ยวปังเทสเสียงให้ฟัง เอาเพลงอะไรดีน้า” ขนมปังทำท่าครุ่นคิด นิ้วมือแตะเป็นจังหวะลงแก้ม
“หูฟังของเจทอยู่ไหนนะ” พี่ไอติมที่ได้ยินสิ่งที่น้องสาวพูด เธอรีบควานหาสิ่งป้องกันการได้ยินทันที
“อ้า ปังนึกออกแล้ว...เอาเพลงนี้” ขนมปังนึกออกทันทีกับเพลงที่เธอนั้นต้องการ ส่วนอีกด้านของพี่ไอติมเธอจัดการใส่หูฟังและเปิดเพลงเสียงดังจากมือถือเร็วไว
“ขอโทษที่ฉันเก็บซ่อน ความเป็นจริงเอาไว้ต่อไปไม่ไหว ร้องไห้จนฟูมฟายทำให้เธอรำคาญใจ เก็บอาการไม่อยู่…” เธอร้องเพลงที่ต้องการออกมาเสียงดัง น้ำเสียงและการลงจังหวะที่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับเพลงทำเอาคนในรถนั้นแทบครองสติไม่อยู่ อดหูกันแทบไม่ทัน จังหวะของเพลงเสียงสูงต่ำที่ผิดแปลกจนแทบฟังไม่เป็นเพลง ทำเอาพี่เจทนั้นเหยียบคันเร่งรถยนต์จนแทบมิดเข็มไมล์
“เจทขับไวกว่านี้ได้ไหม? จะได้ถึงบ้านอาไฟไว ๆ ไอติมไม่ไหวแล้ว” พี่ไอติมหันไปพูดกับเจท
“ขอโทษที่ฉันเก็บซ่อน ความเป็นจริงเอาไว้ต่อไปไม่อยู่ เกินที่มันจะทนดูอย่างนั้นโดยไม่เสียใจ..หือ หือ โอ้เย้ เย้” คนที่ร้องเพลงก็ยังคงร้องเหมือนเดิมแบบผิดเพี้ยนเสียงหลง ตรงที่ควรขึ้นเสียงสูงกลับลงเสียงต่ำ ตรงวรรคที่ควรลงเสียงต่ำขนมปังกลับขึ้นเสียงสูงลิบลิ่ว
“แทบมิดเข็มไมล์แล้วไอติม...เจทก็เริ่มไม่ไหว” เจทเสริมทัพ
“ก่อนถึงบ้านแวะร้านขายยาหน่อยนะ” ไอติมพูดกับเจทท่ามกลางเสียงเพลงของน้องขนมปังที่ขับขานโดยไม่สนใจใครที่พูดถึงเธอ
“ไอติมเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” เจทเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ไอติมไม่ได้เป็นอะไร ไอติมจะซื้อยาแก้ปวดประสาทไปฝากอาไฟกับคุณพ่อ” ไอติมพูดต่อพร้อมกับหันไปมองน้องสาวที่ร้องเพลงอย่างออกรสในแบบของเธอ ท่าทางประกอบการร้องเพลงที่แสนจะจริงจัง แต่ทำเอาคนที่ฟังนั้นแทบเสียระบบการได้ยิน
“อาไฟขา ขนมปังมาแล้วค่ะ!!!” ขนมปังตะโกนเสียงดังเรียกขานผู้เป็นอา ทั้งที่ใบหน้าและตัวยังเดินไม่ถึงไหน แต่เสียงแหลมดั่งนกหวีดแผดดังลั่นมาแต่ไกล
“อะไรกันลูกขนมปัง เสียงดังมาก่อนตัวอีกแล้ว” อาไฟที่ได้ยินเสียงของหลานสาวดังลั่น เดินออกมาต้อนรับแค่เพียงเสียงเรียก
“กราบสวัสดีค่ะอาไฟสุดหล่อ” ขนมปังที่เดินมาหยุดตรงหน้าของผู้เป็นอา เธอวางกระเป๋านักเรียน ยกมือไหว้และถอนสายบัวด้วยท่าทางงดงาม ตามด้วยพี่ไอติมและเจทที่เดินตามหลัง ถึงกับกรอกสายตามองบนอย่างเอือมระอา
“พารา อาขอพาราสองเม็ด” อาไฟถึงกับฟาดฝ่ามือแตะหน้าผากอย่างหน่าย ๆ เมื่อเห็นกิริยาของหลานสาวคนเล็กที่แสบซน
“ไอติมซื้อมาฝากค่ะ” พี่ไอติมอมยิ้มกับท่าทางของอาไฟ ยื่นแผงยาให้ตามที่ผู้เป็นอาเรียกร้อง ทั้งที่รู้แก่ใจว่ามันการแซวหลานสาวคนเล็กเล่นเท่านั้น
“อาไฟไม่สบายเหรอคะ...โถ ๆ คุณอาผู้น่าสงสาร” ขนมปังเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปซบอกผู้เป็นอา
“ขับรถมาเหนื่อย ๆ เจทเข้าบ้านกัน ไปไอติมเข้าบ้านลูก”
“โอ๊ะ!!”
อาไฟไม่สนใจท่าทีของหลานสาวคนเล็ก แม้จะแอบขำอยู่ภายในใจก็ตามที ขยับตัวหนีจนขนมปังที่ซบแก้มแนบอกเกือบหัวขมำลงพื้น จนเธอนั้นต้องร้องเสียงหลงอย่างตกใจกับการไม่ทันตั้งตัว
“ค่ะ ไอติมเหนื่อยสุด ๆ ปวดหูสุด ๆ เลยค่ะระหว่างที่เดินทางมา” ไอติมที่เดินเคียงข้างผู้เป็นอา บอกกล่าวกับเหตุการณ์ที่พบเจอก่อนหน้าที่สุดแสบของน้องสาว ตามด้วยเจทที่เดินตามหลัง ลอบหันไปมองน้องขนมปังที่ยืนทำหน้าเอ๋อกะพริบตาปริบ ๆ
“อาไฟรอปังด้วย อ๊าก!! ตุบ!!” ขนมปังผู้ร้อนรนรีบก้าวขาวิ่งเร็วไว แต่กลับต้องลื่นไถลก้นจ้ำพื้นเพราะลื่นถุงเท้าที่สวมใส่ “โอ๊ย!!! อาไฟช่วยปังด้วยค่ะ ก้นกระแทกพื้น” ขนมปังร้องตะโกนเสียงดังจนทำให้คนทั้งสามที่เดินนำหน้าต้องหันกลับมามอง
(เห้ย!) ทุกคนร้องเสียงหลงตกใจ เมื่อสายตามองเห็นขนมปังผู้แสบซนก้นกระแทกพื้นนั่งนิ่ง
“ไอ้ถุงเท้าบ้า! อาไฟปังลุกไม่ไหว เจ็บตูด” ขนมปังที่ทำหน้าตาเหมือนเจ็บปวด เรียกผู้เป็นอาที่กำลังเดินมายังเธอด้วยความร้อนรนห่วงใยหลานสาวคนเล็กที่ได้รับอุบัติเหตุ
“เจทไปพยุงน้องหน่อยเร็ว” ไอติมหันไปบอกผู้เป็นสามีของเธอ
“เป็นไงบ้างลูก ทำไมหนูไม่เดินดี ๆ ล่ะคะขนมปัง เห็นไหมล่ะเจ็บตัวอีกแล้ว” อาไฟกับเจทที่เดินเข้ามาพยุงขนมปังคนละข้าง ตามด้วยพี่ไอติมที่เดินมาหยิบกระเป๋านักเรียนให้น้องสาว อาไฟและเจทค่อย ๆ พยุงคนที่เจ็บตูดให้ลุกยืนก่อนจะหิ้วปีกของขนมปังคนละข้างเดินเข้าบ้านไป
“โอ๊ย ชีวิตอีปังขนาดพื้นบ้านยังรังแก” เธอบ่นยุบยิบในขณะที่ถูกหิ้วแขนทั้งสองข้างเข้าบ้าน ไอติมที่เดินตามหลังถึงกับปล่อยหัวเราะลั่นชอบใจกับสิ่งที่เห็นอย่างตลกขบขัน