การทำงานบ้านนั้นไม่ใช่งานที่หนักหนาอะไรมากนัก จางซูเจินปัดกวาดเช็ดถูบ้านโดยมีลูกมืออย่างเยี่ยซิ่วอิงช่วยแม่ทำงานบ้านอย่างตั้งใจ
เยี่ยหงมองความตั้งใจนั้น รู้สึกชื่นชมที่อีกฝ่ายสอนงานบ้านหลานสาวของตนด้วยความใจเย็น แต่ก็ไม่ได้วางใจลูกสะใภ้มากนัก
“ตอนเย็นบ้านเราจะมีแขกมากินมื้อค่ำด้วย” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ราวกับว่าพูดลอยๆ กับสายลม
จางซูเจินหันไปมองแม่สามีที่เดินเข้ามาบอกตนแล้วยิ้มรับ “แม่จะให้ฉันหุงข้าวเพิ่ม หรือช่วยเป็นลูกมือทำอาหารหรือคะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”
ความกระตือรือร้นของลูกสะใภ้ทำให้เธอหมั่นไส้ คนดีที่ไหนจะเอาตัวเข้าหาผู้ชายด้วยวิธีสกปรก
“แค่หุงข้าวเพิ่มเท่านั้น ปกติอี้หรูจะมาทำกับข้าวที่นี่ เธอชอบทำอาหาร อาหลี่เองก็ติดใจฝีมือเธอมากเลยล่ะ” รอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ของแม่สามียามที่พูดถึงแขกคนสำคัญ ทำให้จางซูเจินรับรู้ได้ว่าคนคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแน่
“อี้หรูเหรอคะ” เธอพูดทวนชื่อเสียงเบา
เยี่ยหงคิดไว้อยู่แล้วว่าหากรู้ว่าเฉินอี้หรูมาหาที่บ้าน จางซูเจินจะต้องเก็บอาการไม่อยู่แล้วเปิดเผยตัวตนออกมาแน่
“ใช่ อี้หรูจะมาเยี่ยมคุณนายเฉินผู้เป็นป้า ทุกครั้งที่มาบ้านเราก็เชิญเธอมากินข้าวอยู่เป็นประจำ ทนไม่ได้เหรอถ้าต้องเจอผู้หญิงที่เพียบพร้อมกว่า”
ลักษณะคำพูดจานั้นทำให้จางซูเจินพอเดาออกว่าแม่สามีเตรียมว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่เอาไว้แล้ว
แต่ยุคนี้เป็นยุคที่การมีอนุเป็นเรื่องต้องห้าม กฎนี้มีมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้า ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะยังคงบังคับใช้อยู่ ดังนั้นหากนางเยี่ยคิดจะหาอนุให้ลูกชายแล้วละก็ ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับได้แน่
“ทำไมฉันจะต้องทนไม่ได้ด้วยล่ะคะ ดีเสียอีกมีคนทำกับข้าวให้กิน บ้านเราก็ไม่ต้องสิ้นเปลือง แม่กับฉันก็จะได้ไม่เหนื่อย” เธอยิ้มตอบกลับไป ไม่ได้สนใจท่าทีของแม่สามีที่นิ่งอึ้ง
“เสี่ยวอิง เราถูบ้านเสร็จแล้ว เราออกไปเดินเล่นกันดีกว่า วันนี้อากาศดี” เธอหันไปบอกเด็กหญิงที่ตอนนี้มองมารดากับย่าคุยกันตาแป๋ว
“หนูเอาลูกกวาดไปกินด้วยได้ไหมคะ” เด็กน้อยถามด้วยความตื่นเต้น ไม่เคยถูกมารดาชวนให้ออกไปเดินเล่นด้วยกันมาก่อน
“เอาสิ ไปหยิบมา อยากกินอันไหนลูกก็เลือกเอาเลย” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
เยี่ยหงเห็นว่าอีกฝ่ายจะออกไปข้างนอกกับหลานสาวก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร คิดว่าแม้เธอจะแกล้งทำดีกับหลานสาวของตน แต่นั่นก็เป็นผลดีต่อเยี่ยซิ่วอิงมากกว่าผลเสีย
เมื่อได้ออกมาสูดอากาศนอกบ้านแล้ว จางซูเจินก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหลังจากที่รู้สึกขุ่นมัวไม่น้อยกับคำพูดของแม่สามี
อีกฝ่ายคิดจะเอาเรื่องของผู้หญิงคนอื่นที่ดีพร้อมกว่ามาพูดให้เธอรู้สึกอิจฉา เธอจะอิจฉาไปทำไมกันในเมื่ออยู่ที่นี่ก็เพื่อรอวันที่ประตูมิติเปิดอีกก็เท่านั้น นอกจากเยี่ยซิ่วอิงแล้วทุกคนก็ไม่ได้อยู่ในสายตาเธอเลยสักนิด
มือเรียวที่แสนอบอุ่นจูงมือน้อยๆ เดินไปตามถนน ในยุคนี้ไม่มีรถวิ่งขวักไขว่มากเหมือนสมัยปัจจุบัน บรรยากาศก็ร่มรื่นดูสะอาดตา
เดินไปสักพักก็เห็นสวนสาธารณะที่ตรงกลางมีลานกว้าง และมีเก้าอี้ไม้เรียงรายอยู่ทุกจุด
“เราไปเดินเล่นในสวนนั้นดีไหมเสี่ยวอิง มีดอกไม้สวยๆ ด้วยล่ะ” เธอถามเด็กตัวน้อยที่กำลังใช้มืออีกข้างถือถุงลูกกวาดมาตลอดทางที่เดินมา
เยี่ยซิ่วอิงพยักหน้าเบาๆ ดวงตาของเด็กน้อยนั้นบ่งบอกถึงความสุขที่แสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง
หลังจากที่จูงมือกันเข้าไปภายในสวนแล้ว จางซูเจินก็พาเด็กหญิงเดินไปชมดอกไม้ที่ปลูกไว้โดยรอบ จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจึงหันไปดูบุตรสาวที่เดินอยู่ข้างๆ
พบว่าเธอกำลังร้องไห้ พยายามกั้นเสียงสะอื้นนั้นเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ แต่เพราะไหล่ที่สั่นเทาเพราะแรงสะอื้นนั้นทำให้จางซูเจินรู้สึกถึงความผิดปกติ
“ลูกเป็นอะไรไป ลูกกวาดบาดลิ้นหรือว่าเผลอกัดลิ้นตัวเองหรือเปล่า ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ” จางซูเจินรีบถามด้วยความห่วงใย
ร่างอรชรในชุดสีพื้นค่อยๆ ลดตัวคุกเข่าลง สองมือประคองแก้มน้อยๆ ขึ้นมาแล้วจับหันซ้ายหันขวาเพื่อดูว่ามีบาดแผลตรงไหนหรือไม่
ในตอนนั้นเองเยี่ยซิ่วอิงก็ปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก โผเข้ากอดมารดาแล้วโอบรอบคอระหงเอาไว้ด้วยแขนน้อยๆ ทั้งสองข้าง ร้องไห้ซบที่ไหล่นั้นแล้วเสียงสะอื้นไห้จนตัวโยน
จางซูเจินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าเธอไปแตะต้องปมอะไรในใจของเด็กน้อยหรือไม่ เธออุ้มเด็กน้อยขึ้นมา พาไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ด้วยกันแล้วให้เยี่ยซิ่วอิงนั่งตักหันหน้าซบลงที่หน้าอกของตน
มือเรียวนุ่มของเธอ ลูบสัมผัสแผ่นที่หลังของเด็กหญิงที่รักไม่ต่างจากลูกแท้ๆ ปลอบโยนความรู้สึกที่เศร้าหมองนั้นให้หายไป
“ไม่เป็นไรนะเสี่ยวอิง แม่อยู่นี่แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะไม่ทิ้งลูกไปไหน” หลังจากพูดปลอบใจด้วยประโยคนั้นจบ จางซูเจินก็รู้สึกว่าหัวใจตนเองกระตุกวูบ
จะไม่ทิ้งไปไหนได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อตนก็กำลังรอให้ประตูมิติเปิดอีกครั้งเพื่อกลับไปยังยุคที่ตัวเองจากมา ไม่อยากคิดเลยว่าพอถึงตอนนั้นเด็กหญิงจะต้องเจอกับแม่ใจร้ายคนเดิมแล้วจะโศกเศร้ามากกว่าเดิมสักเพียงไหน
หลังจากที่เด็กน้อยเริ่มคลายเสียงสะอื้นลงภายในอ้อมกอดของมารดา เธอก็ขยับตัวลงไปนั่งด้วยตนเองที่เก้าอี้ข้างๆ พร้อมกับดูลูกกวาดที่หล่นจากปากตอนร้องไห้ ตอนนี้ติดอยู่ที่ผมของมารดาไปแล้ว
“ลูกกวาดของหนูติดอยู่ที่ผมของแม่ แม่อย่าโกรธหนูเลยนะคะ” ประโยคแรกที่พูดออกมาเต็มกังวลใจ แม้แต่เวลานี้เด็กหญิงก็ยังคงฝังใจกับจางซูเจินคนก่อนหน้านี้อยู่
“ไม่เป็นไรหรอกลูกเรื่องแค่นี้เอง มันติดผมแม่ก็แกะออกมาได้ ผมเหนียวแม่ก็สระผมใหม่ได้”
น้ำเสียงและกิริยาที่อ่อนโยนทั้งๆ ที่อยู่กันเพียงลำพังสองคน ไม่ได้มีบิดาหรือว่าย่าของตนเองอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วย แต่มารดาก็ยังคงอ่อนโยนแบบนี้ ทำให้เยี่ยซิ่วอิงยิ่งรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน และไม่อยากสูญเสียความฝันดีๆ นี้ไปเลยสักนิด
“บอกแม่ได้หรือยังว่าลูกร้องไห้ทำไม”
“เพราะว่าหนูไม่เคยออกมาเดินเล่นแบบนี้กับแม่ค่ะ แม่ไม่เคยจูงมือหนูพามาเดินเล่นที่นี่เลย นานๆ ครั้งย่าถึงจะพาออกมา บางทีถ้าพ่อหยุดแล้วไม่เอางานกลับมาทำที่บ้านพ่อก็จะพามา เด็กคนอื่นๆ ทุกคนมีแม่มาด้วยทั้งนั้น หนูรู้สึกดีใจที่วันนี้แม่พามาที่นี่”
ความรู้สึกที่พรั่งพรูและเหตุผลของเด็กหญิง ทำให้จางซูเจินยิ่งรู้สึกว่าเธอเกลียดจางซูเจินอีกคนมาก
เยี่ยซิ่วอิงรักมารดาขนาดนี้ทำไมเธอใจร้ายดุด่าและใช้เด็กเป็นเครื่องมือได้ลงคอ
ใบหน้างามเผยรอยยิ้มออกมาแล้วเชยคางน้อยๆ นั้นขึ้นมาสบตากับตน “ถ้าอย่างนั้นแม่จะพาลูกมาเที่ยวเล่นที่นี่บ่อยๆ นะ ว่าแต่วันนี้ไม่มีเพื่อนๆ มาเดินเล่นเหรอ”
“ส่วนใหญ่จะเป็นตอนเย็นค่ะ บางคนก็ไปเรียน บางคนก็รอพ่อแม่เลิกงานถึงจะได้พามาวิ่งเล่นที่สวนแห่งนี้” เด็กน้อยตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“แม่คะ วันหน้าแม่พาหนูมาตอนเย็นได้ไหมหนูอยากอวดกับทุกคนว่าแม่สวยและใจดีมากแค่ไหน” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก แววตาเต็มไปด้วยความหวังจากคำขอของตน
“ได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แต่ว่าเย็นนี้คงไม่ได้นะเพราะว่าที่บ้านเรามีแขกคนสำคัญ” พอได้ยินอย่างนั้นเยี่ยซิ่วอิงก็ถอนหายใจออกมาแล้วทำหน้าเป็นกังวล
“น้าอี้หรูคนนั้นใจดีแค่ต่อหน้ากับย่าและพ่อเท่านั้น ลับหลังก็จะพูดเสมอว่าสักวันพ่อกับแม่จะต้องหย่ากัน แล้วเธอจะมาเป็นแม่เลี้ยงของหนู”
จางซูเจินไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนั้นออกมาจากปากของลูกสาว หากเป็นเช่นนั้นจริงเฉินอี้หรูคนนี้ก็คงไม่พ้นเป็นแม่ดอกบัวขาวจอมเจ้าเล่ห์อย่างแน่นอน
************************