จางซูเจินพาเยี่ยซิ่วอิงตัวน้อยเดินลงจากรถอย่างระมัดระวัง แล้วตรงไปยังตลาดข้างหน้าที่มีการร้านค้าเรียงราย
ร้านขายข้าวสารมีคนเข้าแถวอยู่จำนวนหนึ่ง เธอจึงตัดสินใจที่จะไปยืนต่อแถวซื้อข้าวสารที่ร้านนั้นก่อน พลางสังเกตว่าเด็กหญิงมองไปยังร้านขายขนมหวานด้วยสายตาที่เป็นประกาย
“เสี่ยวอิง อยากกินเหรอ” เธอถามเด็กน้อยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม
“ไม่อยากกินค่ะ” เด็กหญิงตอบเสียงเบา รู้ว่าวันนี้มารดาใจดี แต่จะมีเงินซื้อให้เธอหรือไม่ และที่ใจดีก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีบิดาอยู่ด้วยเลยไม่แสดงอาการหงุดหงิดโวยวายออกมาหรือเปล่า เด็กน้อยอดคิดไม่ได้
เมื่อถึงลำดับของเธอ หญิงสาวก็ใช้คูปองในการซื้อข้าวสารจากนั้น แบกมันด้วยความหนักอึ้ง อีกมือก็จูงมือเด็กหญิงเดินไปที่ร้านขายขนมหวานตรงหน้า
เด็กน้อยมองมารดาของตนเลือกลูกกวาดหลากสีใส่ตะกร้า แล้วยื่นให้กับเถ้าแก่ร้านขายขนมพร้อมกับจ่ายเงินที่ถือมา
ซึ่งปกติแล้วหากได้เงินมาจ่ายตลาด มารดาของเธอต้องเลือกซื้อเครื่องสำอางและข้าวของให้ตัวเองเป็นอันดับแรก หากเงินเหลือแล้วจึงจะมาซื้อของให้แก่เธอ
“เสร็จแล้ว เราไปซื้อเนื้อหมูกับไข่ไก่กันเถอะ” จางซูเจินพูดด้วยรอยยิ้มแล้วเดินไปที่แผงขายเนื้อหมู ซื้อห้าขีดตามจำนวนคูปองที่จำกัด แล้วให้เยี่ยซิ่งอิงช่วยถือเนื้อหมูนั้น
จากนั้นก็ไปยังร้านขายไข่ไก่ ซื้อตามจำนวนที่ระบุในคูปอง เงินส่วนที่เหลือจำนวนหนึ่งเธอก็ซื้อผักติดไม้ติดมือกลับไปด้วย
แม้จะทำอาหารไม่เก่ง แต่ก็พอรู้ว่าผักอันไหนที่ใช้ทำอาหารได้บ้างจึงไม่ใช่เรื่องยากนัก
จางซูเจินคิดว่า ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือความฝันในการที่เธอทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ แต่การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันน่าจะเป็นทางรอดเดียวของเธอในตอนนี้
ในเมื่อเธอกับจางซูเจินในยุคนี้สลับมิติกัน ดังนั้นจนกว่าประตูมิติจะเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่รอดจนกว่าจะถึงตอนนั้นให้ได้
เยี่ยซิ่งอิงมองมารดาที่พูดจาอ่อนโยนกับคนอื่นด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยินดีที่มารดาเปลี่ยนไป
ริมฝีปากน้อยๆ ผุดรอยยิ้มที่มีความสุขออกมา ภาพมารดาที่เกรี้ยวกราดดุร้าย กำลังถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนนี้
ในขณะที่ขับรถกลับบ้าน เยี่ยหลี่เฉียงตั้งใจขับรถมองทางข้างหน้าอย่างใช้สมาธิ มีแวบหนึ่งที่เขาแอบมองลูกสาวด้วยหางตา
วันนี้เด็กน้อยดูอารมณ์ดีและสดใสขึ้นมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหน เพราะหากเขาไปทำงานจางซูเจินก็จะอารมณ์เสียใส่ลูก แผดเสียงด่าจนเด็กน้อยต้องกลัวจนตัวสั่นอย่างที่ผ่านมา
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็แปลกใจอยู่มากที่ลูกสาวไม่เคยจะโกรธมารดาเลยสักครั้ง กลับทั้งรักและปกป้องมารดาแม้ตนเองจะถูกดุด่าอยู่บ่อยครั้งก็ตาม
รถของเยี่ยหลี่เฉียงจอดที่ข้างรั้วไม้ของบ้านหลังหนึ่ง ลักษณะเป็นบ้านที่กลางเก่ากลางใหม่ไม่ได้ดูร่ำรวยแต่ก็ไม่ได้ถือว่ายากจนนัก
เยี่ยซิ่วอิงหลับไปในอ้อมแขนของภรรยา เขาจึงเปิดประตูให้และช่วยเธอถือของเข้าไปในบ้าน
แม่สามีวัยห้าสิบมองดูลูกสะใภ้ด้วยสายตาที่ชิงชัง แล้วเดินไปถือของช่วยลูกชายพร้อมกับรอยยิ้มที่ต้อนรับการกลับมาของเขา
“ไปเจอนางงูพิษนั่นที่ไหนล่ะ”
“แม่ครับ” เขาส่ายหน้าเบาๆ เป็นเชิงเตือนมารดาของตนไม่ให้พูดคำพูดไม่ดีออกมาเพราะลูกสาวอาจจะได้ยิน
“ไปเจอในตรอกเล็กๆ ที่อยู่ใกล้บ้านสกุลเจียง ขากลับก็เลยแวะตลาดซื้อของเข้ามาเก็บเอาไว้”
จางซูเจินมองหญิงวัยกลางคนด้วยสายตาที่งุนงงกับท่าทางนั้น แต่ฟังจากคำพูดนั้นก็พอเดาได้ว่านี่คือแม่สามี และทั้งแม่สามีกับสามีของเธอดูเหมือนว่าจะไม่ชอบหน้าเธอเอาเสียเลย
“จะให้วางเสี่ยวอิงไว้ที่ไหน” เธอหันไปถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
ชายหนุ่มในชุดสูททำงานจึงเดินนำหน้าเธอเข้าไปในห้องนอนใหญ่ เพื่อให้เธอวางลูกลงบนเตียงพี่อยู่กลางห้อง
“ฉันขอถามหน่อยได้ไหม คุณไม่คิดจะยิ้มให้ฉันหน่อยเลยเหรอ ไม่ทราบว่าเราโกรธเคืองกันด้วยเรื่องอะไร” หญิงสาวถามออกมาตรงๆ ในเมื่อเป็นภรรยาของเขาแล้วเธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าทั้งคู่มีเรื่องบาดหมางอะไรกันนักหนา
เยี่ยหลี่เฉียงมองหน้าเธอที่ถามด้วยแววตาที่ดูเหมือนไม่รับรู้อะไรนั้น เขาบังเกิดความหมั่นไส้อย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเสแสร้งไปจนถึงเมื่อไหร่
“ตั้งแต่ที่แต่งงานกันมา ผมพยายามทำทุกอย่างให้เราเป็นครอบครัวที่รักใคร่กัน ให้โอกาสคุณได้รับความรักจากผม” เขาพูดเสียงเรียบ แล้วเริ่มสูดลมหายใจเข้าเหมือนกำลังสะกดกลั้นความขุ่นเคืองใจ
“คุณกลับทิ้งขว้างลูกของเรา เอาแต่ออกไปเสี่ยงโชคและเที่ยวเล่นไม่สนใจทำงานบ้าน ปล่อยให้แม่ผมต้องเลี้ยงหลานและทำงานบ้านคนเดียว ไหนจะเจ้าอารมณ์ เจ้าเล่ห์ เป็นคุณเองฝ่ายเดียวที่ไม่พยายามทำอะไรนอกจาก...”
เขาอยากจะบอกว่าตั้งแต่แต่งงานกันแล้วคลอดลูกให้เขา ก็ไม่พยายามทำอะไรเลยนอกจากเรื่องบนเตียง ที่อีกฝ่ายมักเป็นฝ่ายปลุกเร้าเขาก่อนเสมอ แต่ก็ไม่พูดเพราะก็รู้สึกกระดากปาก
“แล้วคุณมาแต่งงานกับฉันทำไม ถ้าฉันนิสัยแย่ขนาดนั้น” เธอกอดอก ใบหน้าสวยมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าวันนั้นคุณไม่มอมเหล้าผมแล้วเอาตัวเข้าแลก มีหรือว่าผมจะต้องมารับผิดชอบโดยการแต่งงานกับคุณแบบนี้” น้ำเสียงนั้นกล่าวขึ้นพร้อมกับการกัดฟันแสดงความโกรธขึ้ง
จางซูเจินนิ่งไป นี่จางซูเจินในยุคนี้เจ้าเล่ห์และไร้ยางอายถึงขนาดมอมเหล้าผู้ชายแล้วปล้ำทำสามีเลยหรือ หากเป็นยุคปัจจุบันของเธอ เรื่องเหล่านี้อาจเป็นเรื่องปกติ
แต่นี่มันปี 1982 ผู้หญิงไร้ยางอายเท่านั้นที่ทำกัน
“คุณจะอารมณ์ร้ายเกรี้ยวกราดใส่ผม ผมทนมาตลอด แต่คุณชอบดุด่าลูก เสี่ยวอิงก็เหลือเกินถูกแม่ทำขนาดนั้นยังรักและปกป้องคุณ ลูกหวังแค่อยากให้คุณเป็นอย่างแม่คนอื่นๆ ที่ใจดีมีเมตตา”
เยี่ยหลี่เฉียงยังคงพูดวีรกรรมของหญิงสาวออกมาไม่หยุด “แต่ยิ่งลูกยอมคุณ รักคุณ คุณกลับใช้เสี่ยวอิงมาปกป้องตัวเอง พอดุด่าจนลูกเสียใจก็ค่อยซื้อขนมซื้อของเล่นมาล่อ ให้ลูกยิ่งรักคุณเพื่อไม่ให้ผมหย่าด้วย คุณมันเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจ”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกชิงชังมากกว่าจะโกรธเธอ จางซูเจินถึงกับทำตัวไม่ถูก ทะลุมิติมาทั้งทีก็ต้องมาเจอแต่ปัญหาที่หนักอึ้งที่ต้องเผชิญ
“เอาเป็นว่าต่อไปฉันจะปรับปรุงตัวก็แล้วกัน” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิด
เธอหันไปมองดูหน้าเยี่ยซิ่วอิงที่หลับอยู่ก็พลันเกิดความสงสาร อย่างน้อยช่วงเวลาที่ติดอยู่ในมิตินี้เธอก็จะขอเป็นแม่ที่ดีให้อีกฝ่ายสักครั้ง แม้จะเป็นเมียและลูกสะใภ้ที่ดีไม่ได้ก็ตามทีเถอะ
“ขอให้คุณทำได้อย่างที่พูดเถอะ” เยี่ยหลี่เฉียงพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินออกไปจากห้อง
หญิงสาวนั่งลงที่เตียงข้างลูกสาวอย่างสิ้นหวัง เธอซื้อชุดกี่เพ้าและทำทรงผมสั้นเป็นลอนคลื่นแบบย้อนยุคเพื่อไปงานเลี้ยงหมดไปตั้งหลายหยวน เดินอยู่ก็ถูกโจรวิ่งราวกระเป๋าแล้วมาโผล่ในยุคโบราณแบบนี้
มิหนำซ้ำยังมีลูกสาวที่น่าสงสาร มีแม่สามีที่เกลียดชัง และสามีที่ไม่เคยรักใคร่ ชีวิตวันนี้จะบัดซบไปถึงไหนกันแน่
************************