“หมั่นไส้จริงๆ เลย มาแล้วก็ต้องมีห้องพิเศษให้ นั่งรวมกับชาวบ้านนี่จะตายหรือไงยะ”
วีนาเข้ามากระซิบข้างหูด้วยความหมั่นไส้ แต่หทัยชนกไม่ได้พูดอะไร แถมเอื้อมมือไปตีแขนพี่เป็นการปรามไว้ด้วย เพราะถูกเจ้ดันสอนมาว่า ห้ามสร้างปัญหาให้กับตัวเองและเพื่อนร่วมงานเด็ดขาด
โดยเฉพาะเรื่องคำพูด ไม่ว่ามากหรือน้อย ถ้าออกจากปากแล้วจะต้องมีปัญหาทุกครั้งไป วีนารู้ตัวจึงรีบเงียบ แล้วหันไปหยิบปากเป็ดยื่นให้ช่างแทน
หทัยชนกเป็นเพียงนางแบบหางแถวเท่านั้น แม้จะหน้าตาดีหุ่นดี หรือประพฤตัวดีสักแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เลื่อนขั้นหรือเพิ่มค่าตัวจากเจ้าของงานเลย เพราะเธอไม่ประสงค์จะไปประจ๋อประแจ๋ คอยเอาอกเอาใจใคร
ชอบก็ร่วมงานและพูดคุยด้วย ไม่ชอบก็จะร่วมงานแต่จะเงียบ ด้วยความจำเป็นที่ว่าจะต้องหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ให้พอกินพอใช้และพอเก็บ
“อ๋อๆ ช่วยวิ่งไปเอากระเป๋าเช็คในรถให้ที พี่ลืมหยิบมาด้วย จอดอยู่ชั้นสามเอนะ เร็วๆ ต้องรีบจ่ายให้แม่คุณทั้งหลายกว่าจะได้กลับคงเป็นชั่วโมงแน่ๆ”
เบลเบลคว้าแขนเรียวของหทัยชนกทันที ที่ร่างโผล่เข้าไปหลังเวทีเมื่อการเดินแบบชุดสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ดวงตาคู่สวยก้มมองตัวเองอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะชุดที่ใส่สั้นจู่ จะปฏิเสธเบลเบลก็ยัดกุญแจรถใส่มือให้แล้ว จะหันไปหาพี่เพื่อใช้ต่อก็ไม่รู้อยู่ไหน ฃ
จึงตัดสินใจคว้าเสื้อคลุม แล้วรีบวิ่งไปหาอาคารจอดรถ เพราะรู้ดีว่าเบลเบลจะต้องรีบใช้
“อุ๊ย!!!”
เพราะความรีบ ทำให้ไม่ทันเห็นร่างสูงใหญ่ ในสูทสีดำที่เดินออกมาจากรถที่มีเสาอาคารบังเอาไว้ เป็นเหตุให้ร่างผอมบางชนเข้าอย่างจัง จนเสียหลักล้มลงกับพื้น เสื้อคลุมกับชุดที่ใส่ไว้เปื้อนฝุ่นไปหมด
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันเห็น คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา รีบเข้าไปช่วยพยุงพร้อมกับส่งสายตาและสีหน้าของคนรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
จนหทัยชนกที่อารมณ์เสียในตอนแรก เปลี่ยนใจไม่คิดจะเอาความ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองเป็นฝ่ายวิ่งไปชนเขาเต็มๆ
“ตาวี! เสร็จหรือยังล่ะลูก มัวทำอะไรอยู่แม่รีบนะ ไม่ต้องขอโทษขอโพยอะไรมากมายนักหรอก ก็เขาวิ่งมาชนเราเองไม่ใช่เหรอ ไปเร็ว! ป่านนี้น้องรอแย่แล้ว”
แต่กับหญิงร่างอวบในเครื่องแต่งกายประณีตตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่งน้ำเสียงมาเร่งเร้าลูกนี่สิ มันน่าด่าให้ลืมทางกลับบ้านนัก ทว่าหทัยชนกก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิดไว้ เพราะความรีบและไม่อยากมีเรื่องมีราวกับใคร
อีกทั้งเดาได้ไม่ยาก ว่าสองแม่ลูกนี่ก็คงจะเป็นหนึ่งในจำนวนแขกคนสำคัญที่มาดูงานเดินแฟชั่นโชว์เป็นแน่ จึงวิ่งไปหารถเบลเบลโดยไม่สนใจจะเอาความใดๆ
“ขอบใจจ้า แต่...อุ๊ยตาย!!! ทำไมชุดพี่ถึงเปื้อนขนาดนี้ล่ะอ๋อ ไปทำอะไรมา”
เบลเบลรับกระเป๋าจากมือบาง แล้วก็ตกใจกับคราบเปอะเปื้อนจนร้องเสียงหญิงออกมาทันที หทัยชนกยิ้มเจื่อนๆ ให้ก่อนจะบอกตามความจริง
“อ๋อหกล้มตรงลานจอดรถค่ะพี่ ก็สั่งให้อ๋อรีบดีนัก เป็นไงล่ะทีนี้”
“กรรม! แต่ช่างเถอะรีบไปถอดออกก็แล้วกัน พี่จัดการได้ อ้าว! สาวๆ รอรับค่าแรงสักครู่นะพี่เขียนเช็คแป๊บเดียว”
เบลเบลไม่มีเวลามากพอจะมาสนใจเรื่องเล็กๆ เหล่านี้ หทัยชนกเองก็เหนื่อยจนแทบจะยืนไม่ไหว เลยรีบเข้าไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมีวีนาคอยช่วย
กว่าจะเสร็จและได้รับค่าตัวก็ปาเข้าไปถึงเที่ยงคืน กว่าจะขับรถกลับไปถึงบ้านก็เลยตีหนึ่งไปแล้ว
“เอ้า! ท่านผู้จัดการ รับค่าตัวไปซะ”
หนึ่งพันบาทสำหรับวีนา ที่ไปนั่งอดตาหลับขับตานอนคอยจนดึกดื่นที่หทัยชนกหยิบยื่นให้ จะได้เอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้านเช่นกัน
“ถ้าอยากได้เยอะกว่านี้ พี่อี๋ก็ต้องกินให้น้อยๆ ลง ออกกำลังกายให้ตัวสูงกว่านี้ อ๋อจะได้ฝากเจ้ดันให้ช่วยฉุดกระชากลากถูก จนได้เป็นนางแบบด้วยคนดีมั้ย”
หญิงสาวมักจะล้อพี่ด้วยถ้อยคำนี้เป็นประจำ แม้รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตามที เพราะวีนานั้นรูปร่างหน้าตาผิวพรรณก็จัดว่าสวย ขาดอยู่ก็แต่ส่วนสูงที่หลุดมาตรฐานไปหลายสิบเซนนั่นเอง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับโชคชะตาตรงนี้เลย
เพราะพอใจกับสิ่งที่พ่อแม่ให้มาแล้ว อีกทั้งการได้ตามน้องไปช่วยงานบ่อยๆ ทำให้เห็นเบื้องหลังการทำงานของสาวแคทวอล์คแล้ว ให้เอือมระอาด้วยซ้ำ การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ชิงไหวชิงพริบกันมีอยู่แทบจะทุกเวที
“ไม่เอาหรอก ไม่เห็นอยากเป็นเลย ตามอ๋อไปดูพี่ก็เบื่อจะแย่ อืมห์! ดึกแล้วไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำงานอีกตั้งหนึ่งวันกว่าจะได้หยุด”
สองสาวจึงต่างรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำเสร็จ ก็รีบเข้านอน ไม่กี่นาทีก็หลับเป็นตายกันทั้งคู่
กระทั่งเช้าตรู่หทัยชนกจึงได้ลืมตาขึ้น ด้วยเวลาปกติคือตีห้าครึ่ง แม้จะนอนดึกดื่นค่อนคืนยังไงก็มักจะตื่นเวลานี้
ความที่ไม่อยากจะรีบกลับเข้าบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปิด เพราะกลัวแม่จะตื่น จึงเข้าไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อน
“ไปแล้วเหรออ๋อ เจอกันที่รถนะ”
วีนาชะเง้อคอมาดูน้อง ขณะร่างยังมุดอยู่กับฟูกนุ่ม เจ้าของผมยาวสลวยม้วนไว้กลางศีรษะหันมายิ้มให้ ก่อนจะหอบเสื้อผ้าเดินออกจากบ้าน ไปหาบ้านตัวเองที่อยู่ห่างกันแค่รั้วกั้น ไฟในครัวเปิดไว้เช่นเคย แปลว่าแม่ตื่นนานแล้ว
“มาแล้วเหรอลูก อาบน้ำมาแล้วใช่มั้ยล่ะ งั้นก็ไปใส่เสื้อผ้าเลยจะได้มากินข้าวก่อนออกไปทำงาน”
อิงอรพาร่างอันผอมโซ มีผ้าซิ่นกับเสื้อเชิ้ตห่อหุ้มไว้ เดินออกมาจากครัว เมื่อได้ยินเสียงประตูบ้านเปิด จึงเดาได้ว่าเป็นลูก น้ำเสียงอันเอื้ออาทร รักและห่วงใยลูกเสมอมา จึงถูกเอ่ยขึ้น
ส่วนคนเป็นลูกก็ยิ้มรับคำแม่อย่างว่าง่าย ก่อนจะหายเข้าไปห้องนอน ใช้เวลาในการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าทำผมเพียงครึ่งชั่วโมง ออกมาอีกทีลุงอุ้ยกับป้านิ่ง ที่นอนบ้านเป็นเพื่อนแม่ก็กลับบ้านไปแล้ว