บทที่ 1.3
ข้ากลายเป็นนางร้าย
หวังเฟยเฟิ่งหลับตาวางศีรษะลงบนขอบอ่างอาบน้ำ กลิ่นหอมละมุนของน้ำมันหอมระเหยลอยอบอวลรอบๆ ตัว ทำให้ใจที่ว้าวุ่นของนางค่อยๆ สงบลง ตอนนี้ให้รู้สึกไม่ยินยอมก็ต้องยอมรับแล้วว่าตนคือ...
หลี่เหิงเย่ว บุตรีลำดับที่ห้าของเสนาบดีหลี่ ผู้ที่ถูกนักเขียนกำหนดให้เป็นนางร้ายในนิยาย และตกตายอย่างทรมานในคืนวันเข้าหอกับบุรุษในดวงใจ
เดี๋ยว! ตายอย่างทรมานอย่างนั้นหรือ ดวงตาที่ปิดสนิทของหวังเฟยเฟิ่งเปิดออกอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับสาวใช้ชุนหรงลี่
“ลี่ลี่ ไปตามอาสุ่นมาพบข้า เดี๋ยวนี้!”
อาสุ่น ตัวประกอบที่นักเขียนสร้างขึ้นมาให้เป็นบ่าวชายคนสนิทของหลี่เหิงเย่ว ทั้งเก่งกาจ ทั้งภักดี ขอเพียงเป็นคำสั่งของคุณหนูห้า บ่าวชายผู้นี้แม้ตายก็ยินดีทำตามโดยไม่โต้แย้ง
“แต่กัวมามากำลังรอคุณหนูอยู่ที่ห้องโถงนะเจ้าคะ”
ชุนหรงลี่เอ่ยค้านผู้เป็นนายด้วยความหวาดกลัว
“ให้กลับไปก่อน”
“แต่อีกหนึ่งเดือนคุณหนูก็ต้องขึ้นเกี้ยวแต่งเข้าตำหนักบูรพาแล้ว หากไม่เข้ารับการอบรมจากกัวมามา บ่าวเกรงว่า...”
“ข้าไม่สบายอยู่เจ้าลืมไปแล้วหรือไง แจ้งไปว่าวันนี้ข้าไม่สบายไม่พบใครทั้งนั้น เสร็จแล้วก็รีบไปทำตามที่ข้าสั่ง”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมกับตวัดสายตาดุ สาวใช้ตรงหน้าพลันเม้มริมฝีปากเก็บวาจาแล้วรีบออกไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายในทันที หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว ปกตินางไม่ชอบข่มขู่คน แต่สถานการณ์ตอนนี้วิธีข่มขู่กดดันเช่นนี้คล้ายจะเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด
ร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากอ่างน้ำสวมใส่เสื้อผ้ารุ่มร่ามที่แสนยุ่งยากด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย หากไม่เพราะนางเคยรับบทบาทนางร้ายในยุคโบราณ เสื้อผ้าแสนยุ่งยากพวกนี้ใช้เวลาทั้งวันก็คงสวมไม่เสร็จแน่ๆ
หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าที่แสนรุ่มร่ามเสร็จแล้ว นางก็เดินออกมานั่งที่หน้ากระจกเงา ทอดสายตามองภาพสะท้อนเบื้องหน้า หลี่เหิงเย่ว ผู้นี้มีใบหน้าเหมือนนางราวกับคนเดียวกัน หรือว่าตอนเขียนนิยายนักเขียนจะเอานางเป็นภาพลักษณ์ของตัวร้ายผู้นี้กัน
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อสาวใช้ชุนหรงลี่ก็พาชายหนุ่มผู้หนึ่งเข้ามา หวังเฟยเฟิ่งประเมินดูก็คาดเดาได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคงเป็นอาสุ่น มือสังหารที่นางร้ายหลี่เหิงเย่วจะสั่งการให้เขาไปสังหาร หวังอวี้หลัน คนรักของรัชทายาทฟ่งเฟยเทียนแน่นอน
ดวงตาเรียวคมส่งสายตาไล่ชุนหรงลี่ให้ออกไปจากห้อง ก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นดื่มวางท่าร้ายกาจเอ่ยเสียงเยือกเย็น
“อาสุ่น ก่อนหน้านี้ข้ามีคำสั่งลับให้เจ้า เจ้าจัดการเรียบร้อยหรือยัง”
“คุณหนู เรื่องนี้...”
เมื่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของคนตรงหน้า ในใจของหวังเฟยเฟิ่งก็ยังมีความหวังว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ลงมือ เช่นนั้นชีวิตนี้นางก็คงรักษาไว้ได้แล้ว ทว่าแม้ในใจจะลิงโลดยินดี ทว่าเบื้องหน้าหวังเฟยเฟิ่งก็ยังคงวางท่าทางเยือกเย็นโหดเหี้ยม
“ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว”
“คุณหนู เรื่องนี้ขอท่านทบทวนอีกครั้งด้วยเถิดขอรับ”
“ทบทวน! ทบทวนอะไรกัน อาสุ่น ไหนเจ้าลองทวนคำสั่งของข้าอีกทีซิ”
“สังหารองครักษ์อวี้หลันขอรับ”
“เพียงแค่สังหารองครักษ์คนหนึ่ง เหตุใดข้าต้องทบทวนให้มากความ”
“คุณหนู แต่นางเป็นคนขององค์รัชทายาท”
หวังเฟยเฟิ่งพลันปาถ้วยชาในมือลงพื้นด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด โดยเว้นระยะห่างไม่ให้น้ำร้อนกระเด็นโดนคนตรงหน้า แน่นอนว่าท่าทางพวกนี้ล้วนเป็นบุคลิกของหลี่เหิงเย่ว ที่นางต้องแสร้งแสดงไม่ให้ถูกจับได้
“ข้าคือว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท คนขององค์รัชทายาท คำนี้มีเพียงข้าที่สมควรครอบครอง”
“ข้าผิดไปแล้ว คำสั่งของคุณหนูข้าจะเร่งไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นท่าทางมุ่งมั่นของคนตรงหน้าหวังเฟยเฟิ่งก็รีบยกมือห้ามปราม ก่อนจะตีสีหน้านิ่งบึ้งตึง เอ่ยวาจาเกรี้ยวกราด
“เห็นแก่เจ้าที่อุตส่าห์เอ่ยร้องขอแทนนาง เรื่องนี้ไม่ต้องจัดการแล้ว”
“ไม่ต้องจัดการแล้ว! คุณหนู ท่านพูดจริงหรือขอรับ”
ท่าทางยินดีเป็นอย่างยิ่งของคนตรงหน้า ทำให้คิ้วเรียวของหวังเฟยเฟิ่งขมวดเข้าหากันเอ่ยเสียงราบเรียบ หากแต่แข็งกระด้าง
“อาสุ่น เจ้าจงจำไว้ เจ้าเป็นคนของข้า ภายหน้าหากกล้าขอร้องแทนผู้อื่น ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้า”
คนของข้า ประโยคนี้ของคุณหนูทำให้หัวใจของบ่าวตรงหน้าสั่นสะท้านขึ้นมา หากแต่เมื่อตระหนักได้ถึงสถานะของตน สองมือของอาสุ่นก็ประสานกันยกขึ้นขานรับคำเสียงหนักแน่น
“อาสุ่นทราบแล้ว ชีวิตนี้ของอาสุ่นเป็นของคุณหนู อยู่เพื่อคุณหนู ตายเพื่อคุณหนู”
หวังเฟยเฟิ่งมองร่างสูงกำยำที่เอ่ยขานหนักแน่นก็พยักหน้ารับคำ ก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายออกไป และทันทีที่แผ่นหลังกว้างออกไปจากเรือนหวังเฟยเฟิ่งก็ถอนหายใจยาว ในอดีตชีวิตของนางรับบทนางร้ายมามากมาย หากแต่ครั้งนี้กลับรู้สึกยากเย็นและเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามชุนหรงลี่ก็เปิดประตูเข้ามา ด้านหลังมีสาวใช้อีกสี่คนถือถาดอาหารมาวางเรียงบนโต๊ะกลมกลางห้อง หวังเฟยเฟิ่งมองท่าทางหวาดกลัวของบรรดาสาวใช้แล้วถอนหายใจยาว วางถ้วยชาในมือลง
เคร้ง!
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ!”
สาวใช้สี่นางทรุดตัวลงคุกเข่าโดยพร้อมกันทันทีที่ได้ยินเสียงถ้วยชากระทบจาน ยกมือขึ้นเหนือศีรษะโค้งตัวลง
“หยุด!”
หวังเฟยเฟิ่งย่อมมองออกว่าพวกนางกำลังจะโขกศีรษะลงกับพื้น ในใจของนางเวลานี้เริ่มโมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ บ่าวไพร่พวกนี้เอะอะคุกเข่า เอะอะโขกหัว หวาดกลัวราวกับนางเป็นปีศาจกินคน
“ออกไปให้หมด!”
ชุนหรงลี่มองท่าทางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายของคุณหนูห้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้อีกฝ่าจะเกรี้ยวกราดดุดันเช่นเดิม แต่ไม่รู้เพราะอะไรชุนหรงลี่กลับรู้สึกได้ถึงความเมตตาในแววตาของผู้เป็นนาย
“เที่ยงแล้วคุณหนูรับอาหารเถิดเจ้าค่ะ”
หวังเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารกวาดสายตาดูอาหารที่ไม่คุ้นตาตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อมีของกินอารมณ์หงุดหงิดก่อนหน้าก็เบาบางลง ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้าง ยามที่ชุนหรงลี่จะคีบอาหารให้หวังเฟยเฟิ่งก็เอ่ยปฏิเสธ
“เที่ยงแล้ว เจ้าเองก็ไปกินข้าว”
“แต่บ่าวต้องคอย...”
เมื่อบอกดีๆ ไม่ฟังหวังเฟยเฟิ่งก็วางตะเกียบตวัดหางตา เอ่ยเสียงดุดัน
“เกะกะ น่ารำคาญ ไสหัวไป!”
ชุนหรงลี่พลันถอยเท้าทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยท่าทางหวาดหวั่น หวังเฟยเฟิ่งปรายตามองอาหารบนโต๊ะแล้วเอ่ยเสียงหงุดหงิดอีกรอบ
“อาหารสามจานตรงนั้นข้าไม่ชอบ เจ้าเอาไปกินให้หมด”
“เจ้าค่ะ”
ชุนหรงลี่เม้มริมฝีปากบาง ความหวาดหวั่นก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความเทิดทูน นับถือขึ้นมา ทั้งที่คุณหนูห้าใจดีถึงเพียงนี้เหตุใดผู้คนถึงได้หวาดกลัวนางกัน
เมื่อชุนหรงลี่ออกไปแล้ว ในห้องจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
หวังเฟยเฟิ่งหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารบนโต๊ะใส่ปาก ดวงตาเรียวเปล่งประกายเมื่อสัมผัสรสชาติอาหารที่กลมกล่อมกำลังดี ไม่ทันรู้ตัวก็เติมข้าวไปถึงสามถ้วย
อ่า...แย่แล้วน้ำหนักของข้าต้องขึ้นแน่ๆ
..............................................
บทที่ 1.4
ข้ากลายเป็นนางร้าย
อ่า...แย่แล้วน้ำหนักของข้าต้องขึ้นแน่ๆ
หวังเฟยเฟิ่งลูบท้องน้อยๆ ของตนแล้วบ่นในใจ จะอย่างไรนางก็เป็นนักแสดงที่ขึ้นชื่อว่าหุ่นดีที่สุดในปีนี้เชียวนะ หากน้ำหนักนางเพิ่มขึ้นนางจะสั่งโบยแม่ครัวของจวนตระกูลหลี่เสีย โทษฐานที่ทำอาหารอร่อยเกินไป เมื่อคิดถึงความร้ายกาจอันไร้เหตุผลนี้ของตนแล้วหวังเฟยเฟิ่งก็ส่ายหน้าไปมาอย่างขบขัน เอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้นึกทบทวนเรื่องราวในวันนี้อีกครั้ง
ไม่น่าเชื่อว่านางจะหลุดเข้ามาในนิยาย ที่แม้แต่ชื่อเรื่องนางก็จำไม่ได้
‘แต่อีกหนึ่งเดือนคุณหนูก็ต้องขึ้นเกี้ยวแต่งเข้าตำหนักบูรพาแล้วนะเจ้าคะ’
นึกถึงประโยคนี้ของชุนหรงลี่แล้วหวังเฟยเฟิ่งก็ถอนหายใจยาว แหงนหน้าวางท้ายทอยไว้บนพนักเก้าอี้ ดวงตาหวานมองเพดานเรือนนอนด้วยความกังวล ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเรื่องที่นางต้องตกตายด้วยน้ำมือของรัชทายาทคลั่งรักนั่น ก็ยิ่งพานให้รู้สึกหงุดหงิดเป็นทบทวี
หลี่เหิงเยว่เอ๋ย...หลี่เหิงเยว่ ช่างเป็นสตรีที่โง่งมนัก เพราะหลงรัก
รัชทายาทฟ่งเฟยเทียนจนโงหัวไม่ขึ้น หมายใจครอบครองเขาเพียงผู้เดียว ดังนั้นขอเพียงสามารถกำจัดสตรีที่เข้าใกล้องค์รัชทายาทได้ แผนการร้ายกาจใดๆ หลี่เหิงเยว่ผู้นี้ล้วนไม่ลังเลที่จะลงมือ คิดแล้วหวังเฟยเฟิ่งก็ได้แต่ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ในขณะที่กำลังหนักใจกับชะตาชีวิตของตนเอง หวังเฟยเฟิ่งก็คล้ายจะนึกบางสิ่งได้
หลี่เหิงเยว่ในตอนนี้ก็คือนาง...หวังเฟยเฟิ่ง ในเมื่อยังไม่ได้ก้าวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว อีกทั้งยังยับยั้งแผนการร้ายกาจของเจ้าของร่างเดิมไปแล้ว เช่นนั้นเส้นทางสู่ปรโลกนี้ เหตุใดนางยังต้องเดินตามเล่า
มุมปากของหวังเฟยเฟิ่งยกขึ้นเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแน่นคลายออก
ในเมื่อ ข้ากลายมาเป็นนางร้ายในนิยาย เรื่องนี้แล้ว ชะตาชีวิตของนางร้ายหลี่เหิงเยว่ผู้นี้ ข้าหวังเฟยเฟิ่งจะลิขิตเอง
......................................................................
หวังเฟยเฟิ่งนั่งทอดสายตามองตนเองในกระจกทองเหลืองเบื้องหน้า ผ่านมาร่วมเดือนแล้วที่นางมีชีวิตในฐานะหลี่เหิงเยว่ นับดูแล้วตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกแค่สามวันเท่านั้น เกี้ยวเจ้าสาวก็จะมาเยือนหน้าประตูตระกูลหลี่ นิ้วเรียวเคาะเบาๆ บนโต๊ะไม้เนื้อดีอย่างใช้ความคิด พลางทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันแต่งงานของหลี่เหิงเย่วกับรัชทายาทฟ่งเฟยเทียน
ในนิยายบรรยายเอาไว้ว่า รัชทายาทคลั่งรักผู้นี้ ในวันแต่งงานของเขาเกี้ยวเจ้าสาวเกี้ยวหนึ่งถูกบังคับจำใจส่งออกไปและหยุดที่หน้าประตูตระกูลหลี่ อีกเกี้ยวเต็มใจส่งออกไปด้วยความยินดีและหยุดที่หน้าประตูตระกูลหวัง หนึ่งวันแต่งสองชายา หวังอวี้หลันแม้มีศักดิ์เป็นชายารอง แต่การก้าวเข้าตำหนักบูรพาพร้อมกันกับผู้เป็นชายาเอก ทำให้นางมีเกียรติและศักดิ์ไม่น้อยกว่าหลี่เหิงเย่วผู้เป็นชายาเอก
หวังเฟยเฟิ่งนึกถึงบทบรรยายนี้ทีไรก็เกลียดชังรัชทายาทผู้นี้ยิ่งนัก เพื่ออำนาจเขาหลอกใช้หลี่เหิงเย่วอย่างเลือดเย็น เพื่อหญิงที่รักเขาไม่ลังเลที่จะเหยียบย่ำทำร้ายนางจนตกตายอย่างทรมาน
......................................................................