บทที่ 2.3
ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก
หลังจากเร่งเดินหาร้านขายยาจนปวดตึงไปทั้งต้นขา ในที่สุดหวังเฟยเฟิ่งก็มองเห็นป้ายร้านโอสถตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ดวงตากลมพลันเบิกกว้างด้วยความยินดี หลงลืมอาการปวดเมื่อยเหน็ดเหนื่อยก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น เรี่ยวแรงพลันเพิ่มพูน สองขาก้าวตรงไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็วเป็นทบทวี
“ท่านหมอ เอายาสมานแผล ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาอะไรที่ใช้รักษาบาดแผลเอามาให้หมด อ้อ...ต้มมาให้ข้าด้วย”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกด้วยท่าทางเร่งรีบ หากแต่หมอชราตรงหน้ากลับทำท่าเบื่อหน่าย ถอนหายใจยาวหนึ่งคราแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ
“แม่นาง ยาข้าจัดให้ได้ แต่ที่ร้านข้าไม่รับต้มยา”
“เช่นนั้นถ้าข้าจ่ายสองเท่าเล่า”
หวังเฟยเฟิ่งวางเงินตำลึงทองลงตรงหน้าหมอชรา ท่าทางเบื่อหน่าย สีหน้ารำคาญพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นยินดี เอ่ยบอกอย่างนอบน้อม
“เช่นนั้นแม่นางโปรดรอสักครึ่งชั่วยาม รับรองว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยอย่างที่ท่านต้องการเลย”
....................................................
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยามประตูโรงเตี๊ยมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง อาสุ่นเห็นเงาคนบุกรุกก็ขยับตัวลุกขึ้นตั้งรับในทันที ทว่าเมื่อเห็นว่าผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือคุณหนูห้า ที่กลับมาพร้อมกับตะกร้าใบโตก็ขมวดคิ้วเข้ม
“คุณหนู ท่าน...”
“ข้าให้คนต้มยามาให้เจ้าด้วย แต่ว่าร้านขายยาอยู่ไกลมาก ตอนนี้ยาจึงเย็นหมดแล้ว ลำบากเจ้าฝืนกินเอาหน่อยนะ”
อาสุ่นไหนเลยจะใส่ใจกับความร้อนเย็นของยา ขอเพียงคุณหนูบอกให้เขาดื่ม ต่อให้ยาในถ้วยร้อนดุจเปลวเพลิง เย็นดุจขั้วน้ำแข็งเขาก็ยินดีกลืนลงท้อง
มือหนารับยามาจากมือผู้เป็นนาย แล้วยกดื่มรวดเดียวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ หากแต่เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อบนใบหน้าของคุณหนู ในใจของเขากลับรู้สึกผิดและเจ็บปวดขึ้นมา
“ข้าทำให้คุณหนูลำบาก ข้า...”
“ลำบงลำบากอะไร เจ้าบาดเจ็บก็เพราะช่วยข้า รีบถอดเสื้อข้าจะใส่ยาพันแผลให้”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับหยิบตลับยาและผ้าพันแผลออกมาจากตะกร้า อาสุ่นร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า นึกถึงความใกล้ชิดยามที่คุณหนูห้าทำแผลให้คราวก่อนแล้วหัวใจก็พลันสั่นระรัวขึ้นมา
“ดะ...เดี๋ยวข้าจัดการเองก็ได้ขอรับ”
คนเจ็บเอ่ยไม่เต็มเสียงนัก พร้อมกับยื่นมือมาขอรับตลับยาจากคุณหนูตรงหน้าด้วยพวงแก้มแดงก่ำ
“เจ้าบาดเจ็บอยู่จะทำเองได้อย่างไร ถอดเสื้อ!”
“คุณหนูเป็นสตรี ส่วนข้าเป็นบุรุษ อีกทั้งตัวข้ายังเป็นเพียงบ่าวต่ำต้อย ทำเช่นนี้ท่านอาจถูกผู้คนติฉินเอาได้ขอรับ”
หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาวกับความคิดเรื่องการเว้นระยะระหว่างชายหญิงของอีกฝ่าย
“ในห้องมีแค่ข้ากับเจ้า ข้าไม่พูด เจ้าไม่พูด ผู้ใดจะเอาไปติฉินนินทาได้กัน อย่าชักช้าถอดเสื้อ”
“แต่...”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มมีท่าทางลังเล ไม่ยอมเชื่อฟังหวังเฟยเฟิ่งก็ตวัดสายตาดุ เอ่ยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรืออาสุ่น”
“ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับคุณหนู ข้าเพียงแต่...”
“อาสุ่น! อย่าทำข้าเสียเวลา ถอดเสื้อออกเดี๋ยวนี้!”
อาสุ่นเม้มริมฝีปากหนา ในแววตาสั่นไหวราวกับลูกหมาตัวเล็กๆ กำลังถูกรังแก ทว่าหวังเฟยเฟิ่งไม่ใช่คนใจอ่อน ยิ่งเห็นท่าทางเช่นนี้ของผู้เป็นบ่าวก็ยิ่งตวัดสายตาดุมากขึ้น
“จะถอดเองหรือให้ข้าจับถอด”
“ขะ...ข้าถอด! ถอดแล้วขอรับ!”
อาสุ่นเอ่ยรับคำเสียงสั่น ก่อนจะค่อยๆ ปลดสาบเสื้อของตนเองออก เผยอกแกร่งกำยำ บริเวณไหล่ขวาปรากฏบาดแผลใหญ่เด่นชัด ที่มีโลหิตไหลรินจนครึ่งตัวขวาของเขาแดงก่ำราวกับตกถังชาด
หวังเฟยเฟิ่งเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตกใจ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนกรอบหน้า มือเรียวสั่นเทาน้อยๆ ใช้ผ้าชุบสุราใสเช็ดรอบแผลให้เขา ก่อนจะโรยยาบนแผล และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวที่อาบไปด้วยโลหิตของเขาอย่างใส่ใจ
“เจ็บหรือไม่”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามอ่อนลงกว่าปกติถึงหกส่วน จะอย่างไรบาดแผลนี้ก็เกิดจากที่เขาพยายามปกป้องนาง ดังนั้นในใจของหวังเฟยเฟิ่งจึงรู้สึกซาบซึ้งระคนรู้สึกผิดต่อคนเจ็บไม่น้อย
“ไม่เจ็บขอรับ”
อาสุ่นส่ายหน้าไปมา ในสายตาคมจดจ้องเพียงเสี้ยวหน้าที่อ่อนโยนของคนตรงหน้า จนหลงลืมความเจ็บปวดของบาดแผลไปหมดสิ้น
“ฟ้าใกล้สว่างแล้ว อีกไม่นานขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยก็คงมาถึงจุดนัดพบ ข้าต้องรีบไปให้ทัน อาสุ่น เจ้าพักให้มากเข้าใจหรือไม่”
หวังเฟิงเฟ่ยเอ่ยกำชับบ่าวชายด้วยน้ำเสียงร้อนรน ก่อนจะเดินไปหยิบห่อผ้าของตนขึ้นคล้องแขน
“คุณหนู ข้าจะไปกับท่าน”
“เจ้าบาดเจ็บอยู่ ระหว่างนี้กลับไปพักรักษาบาดแผลให้หาย”
“แต่...”
“นี่คือคำสั่ง!”
สิ้นน้ำเสียงเด็ดขาด ร่างเพรียวบางก็หมุนตัวจากไป มือหนาของอาสุ่นกำเข้าหากันแน่น รู้สึกโกรธเคืองตนเองยิ่งนัก ครั้งนี้เขาไม่อาจตามไปปกป้องคุณหนูได้ นั่นเพราะตนเองอ่อนแอ ไร้ความสามารถ นิ้วเรียววางบนตลับยาตรงหน้าสายตาพลันอบอุ่นอ่อนโยน นึกถึงความใส่ใจที่คุณหนูมีให้ตนแล้วในใจยิ่งเกิดโทสะแค้นเคืองตนเอง ขบกรามจนใบหน้าขึ้นสันนูน แววตาแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นมั่นคง
คุณหนู...ข้าจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ ในภายหน้าข้าจะปกป้องท่าน ดูแลท่าน อาสุ่นผู้นี้ขอสาบานด้วยชีวิต
....................................................