บทที่ 2.2 ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก

831 Words
บทที่ 2.2 ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก “คุณหนูไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง” “อาสุ่น ระวังด้วย” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับจับต้นแขนของอาสุ่น หัวใจของบุรุษ ผู้เย็นชาพลันรู้สึกอบอุ่นฮึกเหิม มองมือบางด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะใช้มือหนาสอดประสานมือของนางเอาไว้ แล้วตวัดสายตาไปยังชายสี่คนที่เดินเข้ามาด้วยแววตาดุดัน อาสุ่นกวาดมองโดยรอบก่อนจะหมุนตัวใช้เท้าเตะไม้หาบที่ร้านข้างทางมาถือไว้ในมือ “ใครกล้าแตะต้องคุณหนู ข้าจะให้มันอยู่ไม่สู้ตาย” อาสุ่นเอ่ยเสียงแข็งกร้าว เมื่อชายทั้งสี่คนขยับตัวเข้าจู่โจม เขาก็โบกสะบัดไม้ในมือเข้าใส่ เพียงแต่อาสุ่นมีฝีมืออีกฝ่ายก็มิได้ไร้ความสามารถ หวังเฟยเฟิ่งแม้ไม่ใช่สตรีเก่งกาจ แต่เพราะในชาติภพก่อนนางต้องสวมบทบาทตัวละครหลากหลาย เรื่องการต่อสู้ป้องกันตนเองเบื้องตนจึงได้เรียนรู้มาบ้าง ดวงตาของอาสุ่นเบิกกว้างด้วยความกังวลเมื่อพบว่าคุณหนูห้าดึงมือของนางออกจากมือเขา ในจังหวะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างเพรียวบาง ไหล่ขวาก็เจ็บแปลบขึ้นมา เพราะพลั้งเผลอไปชั่วครู่จึงเกิดช่องว่างให้ศัตรูจู่โจม อาสุ่นตวัดมือฟาดไม้ลงบนต้นคอของอีกฝ่าย คนตรงหน้าก็สลบไปในทันที เมื่อเห็นว่าชายหญิงตรงหน้ามิใช่ชาวบ้านไร้ฝีมือ คุณชายขี้เมาก็เกิดความตื่นกลัวเอ่ยบอกบ่าวข้างกายให้พาตนเองถอยหนี ไม่สนใจลูกน้องสี่คนที่ถูกอาสุ่นตีจนสลบไป “ช่างเป็นคุณชายเสเพล ไม่เอาไหนจริงๆ” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกเสียงขุ่น ก่อนจะหันมามองไหล่ขวาที่อาบไปด้วยโลหิตของอาสุ่นด้วยสายตาห่วงใย “เจ้าบาดเจ็บ” เพราะวันนี้เขาสวมชุดสีครามที่นางมอบให้ ดังนั้นอาการบาดเจ็บนี้แม้อยากปกปิดก็คงทำไม่ได้แล้ว “ข้าไม่เป็นไร คุณหนูท่านปลอดภัยหรือไม่” “จะไม่เป็นไรได้อย่างไร” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงดุ ทว่าเมื่อมองใบหน้าที่เริ่มซีดเซียวของเขาแล้วก็ถอนหายใจยาว “หาโรงเตี๊ยมก่อนเถอะ” อาสุ่นขบกรามแน่น ในช่วงเวลาเร่งรีบเช่นนี้เขากลับทำให้ผู้เป็นนายเสียเวลา เพียงแต่คุณหนูห้าที่เขารู้จักเกลียดที่สุดคือคนที่ทำให้แผนการของนางผิดพลาด ทว่าเวลานี้ไม่เพียงบนใบหน้าของนางไร้โทสะ แต่ในสายตาหวานยังปรากฏความห่วงใยที่ชัดเจน ในใจของอาสุ่นเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น ความรู้สึกที่ไม่ใช่เพียงภักดี แต่เป็นความรู้สึกเช่นไรเขาก็ไม่อาจอธิบาย รู้เพียงชั่วชีวิตนี้อันตรายใดๆ เขาก็ไม่ยินดีให้คุณหนูห้าพานพบ “คุณหนู ขออภัยด้วย” เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาก็ดังขึ้น หวังเฟยเฟิ่งตวัดมองเขาด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าบาดแผลที่ไหล่ขวาของเขาใหญ่กว่าที่นางคิดไว้มาก “ส่งยามาให้ข้า” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับแบมือไปเบื้องหน้า ใบหน้าของบ่าวชายพลันซีดลงกว่าเดิมเมื่อนึกถึงคำสั่งที่นางเคยเอ่ยไว้ ยาสมานแผลห้ามเลือดให้พกติดกาย คนแบมือรอยาเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ทันทีว่า ในตัวเขา ไร้ยาใดๆ สายตาห่วงใยแปรเปลี่ยนเป็นติติง เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “อาสุ่น ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร” “ข้า...ข้าจะออกไปซื้อยาเดี๋ยวนี้ขอรับ” อาสุ่นเอ่ยพร้อมกับดึงเสื้อขึ้นสวมใส่ตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกมือบางกดไหล่อีกข้างไว้ พร้อมเอ่ยห้ามเสียงดุ “หยุด!” “แต่...” “เจ้าบาดเจ็บอยู่นั่งกดห้ามเลือดไว้ ส่วนเรื่องยาข้าจะไปซื้อเอง” “แต่คุณหนู...” “รอจบเรื่องนี้ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างหนักเลยคอยดู” อาสุ่นรับรู้ดีว่าภายใต้ถ้อยคำตำหนิ และท่าทางโกรธเคืองของ หลี่เหิงเยว่ ล้วนแฝงไปด้วยความห่วงใย ในใจของเขาแม้จะเป็นห่วงที่นางจะเป็นคนไปซื้อยา แต่ในฐานะบ่าวคนหนึ่งเขาจะขัดคำสั่งผู้เป็นนายได้อย่างไร สุดท้ายจึงทำได้เพียงทอดสายตามองประตูโรงเตี๊ยมที่ปิดลงด้วยใจกังวล หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว กวาดตามองหาป้ายร้านขายยา โชคดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากจวนตระกูลหลี่มาก กว่าที่คนในจวนจะแกะรอยตามนางเจอ คาดว่านางก็คงแฝงตัวไปในขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยจะมาถึงแล้ว หากยังชักช้าแผนการหนีครั้งนี้ของนางต้องล้มเหลวแน่ๆ ...............................................
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD