บทที่ 2.2
ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก
“คุณหนูไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง”
“อาสุ่น ระวังด้วย”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับจับต้นแขนของอาสุ่น หัวใจของบุรุษ
ผู้เย็นชาพลันรู้สึกอบอุ่นฮึกเหิม มองมือบางด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนจะใช้มือหนาสอดประสานมือของนางเอาไว้ แล้วตวัดสายตาไปยังชายสี่คนที่เดินเข้ามาด้วยแววตาดุดัน อาสุ่นกวาดมองโดยรอบก่อนจะหมุนตัวใช้เท้าเตะไม้หาบที่ร้านข้างทางมาถือไว้ในมือ
“ใครกล้าแตะต้องคุณหนู ข้าจะให้มันอยู่ไม่สู้ตาย”
อาสุ่นเอ่ยเสียงแข็งกร้าว เมื่อชายทั้งสี่คนขยับตัวเข้าจู่โจม เขาก็โบกสะบัดไม้ในมือเข้าใส่ เพียงแต่อาสุ่นมีฝีมืออีกฝ่ายก็มิได้ไร้ความสามารถ หวังเฟยเฟิ่งแม้ไม่ใช่สตรีเก่งกาจ แต่เพราะในชาติภพก่อนนางต้องสวมบทบาทตัวละครหลากหลาย เรื่องการต่อสู้ป้องกันตนเองเบื้องตนจึงได้เรียนรู้มาบ้าง
ดวงตาของอาสุ่นเบิกกว้างด้วยความกังวลเมื่อพบว่าคุณหนูห้าดึงมือของนางออกจากมือเขา ในจังหวะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างเพรียวบาง ไหล่ขวาก็เจ็บแปลบขึ้นมา เพราะพลั้งเผลอไปชั่วครู่จึงเกิดช่องว่างให้ศัตรูจู่โจม อาสุ่นตวัดมือฟาดไม้ลงบนต้นคอของอีกฝ่าย คนตรงหน้าก็สลบไปในทันที
เมื่อเห็นว่าชายหญิงตรงหน้ามิใช่ชาวบ้านไร้ฝีมือ คุณชายขี้เมาก็เกิดความตื่นกลัวเอ่ยบอกบ่าวข้างกายให้พาตนเองถอยหนี ไม่สนใจลูกน้องสี่คนที่ถูกอาสุ่นตีจนสลบไป
“ช่างเป็นคุณชายเสเพล ไม่เอาไหนจริงๆ”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกเสียงขุ่น ก่อนจะหันมามองไหล่ขวาที่อาบไปด้วยโลหิตของอาสุ่นด้วยสายตาห่วงใย
“เจ้าบาดเจ็บ”
เพราะวันนี้เขาสวมชุดสีครามที่นางมอบให้ ดังนั้นอาการบาดเจ็บนี้แม้อยากปกปิดก็คงทำไม่ได้แล้ว
“ข้าไม่เป็นไร คุณหนูท่านปลอดภัยหรือไม่”
“จะไม่เป็นไรได้อย่างไร”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงดุ ทว่าเมื่อมองใบหน้าที่เริ่มซีดเซียวของเขาแล้วก็ถอนหายใจยาว
“หาโรงเตี๊ยมก่อนเถอะ”
อาสุ่นขบกรามแน่น ในช่วงเวลาเร่งรีบเช่นนี้เขากลับทำให้ผู้เป็นนายเสียเวลา เพียงแต่คุณหนูห้าที่เขารู้จักเกลียดที่สุดคือคนที่ทำให้แผนการของนางผิดพลาด ทว่าเวลานี้ไม่เพียงบนใบหน้าของนางไร้โทสะ แต่ในสายตาหวานยังปรากฏความห่วงใยที่ชัดเจน
ในใจของอาสุ่นเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น ความรู้สึกที่ไม่ใช่เพียงภักดี แต่เป็นความรู้สึกเช่นไรเขาก็ไม่อาจอธิบาย รู้เพียงชั่วชีวิตนี้อันตรายใดๆ เขาก็ไม่ยินดีให้คุณหนูห้าพานพบ
“คุณหนู ขออภัยด้วย”
เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาก็ดังขึ้น หวังเฟยเฟิ่งตวัดมองเขาด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าบาดแผลที่ไหล่ขวาของเขาใหญ่กว่าที่นางคิดไว้มาก
“ส่งยามาให้ข้า”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับแบมือไปเบื้องหน้า ใบหน้าของบ่าวชายพลันซีดลงกว่าเดิมเมื่อนึกถึงคำสั่งที่นางเคยเอ่ยไว้
ยาสมานแผลห้ามเลือดให้พกติดกาย
คนแบมือรอยาเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายก็รับรู้ได้ทันทีว่า ในตัวเขา
ไร้ยาใดๆ สายตาห่วงใยแปรเปลี่ยนเป็นติติง เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ
“อาสุ่น ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร”
“ข้า...ข้าจะออกไปซื้อยาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
อาสุ่นเอ่ยพร้อมกับดึงเสื้อขึ้นสวมใส่ตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกมือบางกดไหล่อีกข้างไว้ พร้อมเอ่ยห้ามเสียงดุ
“หยุด!”
“แต่...”
“เจ้าบาดเจ็บอยู่นั่งกดห้ามเลือดไว้ ส่วนเรื่องยาข้าจะไปซื้อเอง”
“แต่คุณหนู...”
“รอจบเรื่องนี้ข้าจะลงโทษเจ้าอย่างหนักเลยคอยดู”
อาสุ่นรับรู้ดีว่าภายใต้ถ้อยคำตำหนิ และท่าทางโกรธเคืองของ
หลี่เหิงเยว่ ล้วนแฝงไปด้วยความห่วงใย ในใจของเขาแม้จะเป็นห่วงที่นางจะเป็นคนไปซื้อยา แต่ในฐานะบ่าวคนหนึ่งเขาจะขัดคำสั่งผู้เป็นนายได้อย่างไร สุดท้ายจึงทำได้เพียงทอดสายตามองประตูโรงเตี๊ยมที่ปิดลงด้วยใจกังวล
หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว กวาดตามองหาป้ายร้านขายยา โชคดีที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากจวนตระกูลหลี่มาก กว่าที่คนในจวนจะแกะรอยตามนางเจอ คาดว่านางก็คงแฝงตัวไปในขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยแล้ว
เพียงแต่ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาที่ขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยจะมาถึงแล้ว หากยังชักช้าแผนการหนีครั้งนี้ของนางต้องล้มเหลวแน่ๆ
...............................................