บทที่ 2.1
ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก
เข้าสู่สองวันสุดท้ายก่อนถึงวันอภิเษก ในจวนตระกูลหลี่วุ่นวายเตรียมงาน ทั้งบิดาและมารดาของนางวิ่งเข้าออกจวน จนหวังเฟยเฟิ่งเริ่มไม่แน่ใจว่างานนี้เป็นงานแต่งของหลี่เหิงเย่วกับรัชทายาท หรือของบิดามารดาของหลี่เหิงเย่วกันแน่ มุมปากของนางยกขึ้นอย่างขบขัน หยิบขนมในจานใส่ปากอย่างอารมณ์ดี
“คุณหนู อาสุ่นมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ให้เข้ามา”
ชุนหรงลี่เดินออกไปเอ่ยบอกคนด้านนอก ไม่นานบุรุษร่างกำยำก็เดินเข้ามาในเรือนของหลี่เหิงเย่ว
“เจ้าบาดเจ็บ”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบเมื่อได้กลิ่นโลหิตโชยมาจากคนตรงหน้า ในแววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ
“แผลเล็กน้อยคุณหนูไม่ต้องกังวล”
“ข้าไม่ชอบกลิ่นเลือด”
กล่าวจบหวังเฟยเฟิ่งก็เดินไปหยิบของบางอย่างจากลิ้นชักไม้ที่หัวเตียง ดวงตาคมของอาสุ่นมองของในมือของคุณหนูห้าแล้วขมวดคิ้วเข้ม
“เปิดแผลออก”
“แต่...”
“เป็นคำสั่ง”
อาสุ่นขบกรามแน่น เมื่อนางอ้างอำนาจสั่งการ บ่าวอย่างเขายังจะโต้แย้งได้อย่างไร เสื้อบนตัวถูกคลายออกเปิดไหล่ขวาที่มีรอยคมมีดเป็นทางยาว เลือดยังไหลซึมเล็กน้อย
“ต่อไปห้ามใส่ผ้าสีดำ อัปมงคลข้าไม่ชอบ”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกเสียงห้วน ทว่าแท้จริงเพราะสีผ้าที่เขาสวมทำให้หวังเฟยเฟิ่งไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ หากไม่ใช่เพราะกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมา สนทนากันจนจบนางก็คงไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บเพียงนี้
“เอ่ยรายงานงานของเจ้ามา”
น้ำเสียงเยือกเย็นดุดันเอ่ยบอก ขณะที่มือบางใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดในอ่างเช็ดบาดแผล และรอยเลือดบนตัวออกให้เขา
“คุณหนูทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมขอรับ”
“อาการบาดเจ็บของเจ้ามิใช่เป็นความลับหรอกหรือ”
หวังเฟยเฟิ่งตวัดสายตามองคนที่ขยับตัวหนีอย่างไม่พอใจ หากอาการบาดเจ็บนี้ของเขาสามารถเอ่ยบอกผู้อื่นได้ บ่าวผู้ภักดีคนนี้จะยอมแบกตัวที่โชกเลือดมาหานางเช่นนี้หรือ
“อาสุ่น หากเจ้ายังชักช้าลีลา ข้าจะหงุดหงิดแล้วนะ”
เมื่อถูกน้ำเสียงขุ่นเอ่ยถาม อาสุ่นก็ยืดอกนั่งนิ่งให้ผู้เป็นนายเช็ดแผลใส่ยาพร้อมกับเอ่ยรายงาน
“วันพรุ่งนี้ จิ้นกุ้ยเฟยจะไปสวดมนต์ขอพรยังสำนักชีที่
เขายวีซวนฝั่งทิศเหนือ อะ...”
เสียงของอาสุ่นขาดหายไปเมื่อหวังเฟยเฟิ่งใช้ผ้าสะอาดชุบสุราเช็ดแผลให้เขา ก่อนลงผงยาห้ามเลือดและยาสมานแผล
“คะ...คุณหนูสามารถแฝงตัวไปในขบวนเพื่อออกนอกเมืองได้ขอรับ”
อาสุ่นเอ่ยรายงานจนจบ หวังเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับพร้อมกับหยิบผ้ามาพันแผลให้เขา ร่างกำยำของอาสุ่นเกร็งสะท้านเมื่อแขนเรียวโอบตัวเขาเพื่อผูกปมผ้าพันแผล
“เช่นนั้นต้นยามอิ๋นเจ้ามาพาข้าออกจากจวน”
“คุณหนู เรื่องนี้ท่านทบทวนอีกรอบดีหรือไม่ขอรับ”
“ข้าไม่อยากแต่งงาน อาสุ่น หรือเจ้าไม่เต็มใจช่วยเหลือข้า”
อาสุ่นเงยหน้าสบแววตาหวานของผู้เป็นนายแล้วกำมือแน่น หัวใจของเขาเต้นระรัว สั่นสะท้าน
“ชีวิตนี้ของข้าเป็นของคุณหนู คำสั่งคุณหนูคือประกาศิตเหนือชีวิต”
“ดี! งั้นตกลงตามนี้”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงหวานพร้อมยิ้มกว้าง แม้รู้ว่าความภักดีนี้ของอาสุ่นเป็นของหลี่เหิงเย่ว แต่นางในยามนี้ก็คือหลี่เหิงเย่วไม่ใช่หรือไร มือเรียวผูกมัดปมผ้าพันแผลให้อาสุ่นแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน
“ต่อไประวังให้มากอย่าได้บาดเจ็บ หากบาดเจ็บก็ต้องเร่งรักษา ยาสมานแผลห้ามเลือดให้พกติดกาย อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีกเข้าใจหรือไม่”
แน่นอนว่าหวังเฟยเฟิ่งย่อมไม่ยินดีให้คนตรงหน้าบาดเจ็บหรือตายจาก ไม่เช่นนั้นนางจะไปหาคนที่ภักดี และยินดีคอยเหลือนางร้ายอย่างหลี่เหิงเยว่ได้อย่างไร
อาสุ่นมองปมผ้าที่มัดอย่างใส่ใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบแววตาหวานของคุณหนูห้า ยามที่นางคลี่ยิ้มกว้าง หัวใจของเขาก็ราวกับถูกโอบล้อมด้วยแสงตะวันยามรุ่งอรุณ รอยยิ้มนี้ของคุณหนูแม้ต้องตายเขาก็จะปกป้องเอาไว้
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
“เจ้ารอก่อน ข้ามีของจะให้”
หวังเฟยเฟิ่งเดินเข้าไปยังหลังฉากกั้น อาสุ่นลดสายตาลงมองผ้าพันแผลอีกครั้ง หากบาดเจ็บแล้วได้รับความใส่ใจจากคุณหนู ชั่วชีวิตนี้ของอาสุ่นยินดีรับคมดาบทุกวัน
“ให้เจ้า”
ผ้าพับหนึ่งถูกส่งมาเบื้องหน้า อาสุ่นรับมาคลี่ดูก็พบว่าเป็นชุดใหม่สีครามดุจสีแห่งท้องทะเลกว้าง
“ข้ารู้ว่าสีดำอำพรางตนได้ดี แต่ครั้งหน้าหากมาพบข้าใส่ชุดนี้มาเข้าใจหรือไม่
“ขอบคุณคุณหนูที่เมตตา”
“เจ้าเป็นคนของข้า ข้าย่อมต้องใส่ใจ”
......................................................................
“เจ้าเป็นคนของข้า ข้าย่อมต้องใส่ใจ”
หัวใจของอาสุ่นสั่นระรัว แม้จะรู้ดีว่าคนของข้า คำนี้หมายถึงคนในปกครอง แต่หัวใจของเขาก็ยินดีน้อมรับสถานะเช่นนี้ไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
ยามที่ท้องนภามืดมิดไร้แสงจันทร์ รอบจวนตระกูลหลี่มีเพียงแสงจากโคมไฟให้ความสว่างรางๆ บริเวณเขตเรือนนอนตะวันตกปรากฏเงาตะคุ่มอำพรางตนในม่านรัตติกาล ดวงตากลมกวาดมองรอบตัวอย่างระมัดระวังเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากเวรยาม ก่อนจะหยุดเท้าที่พุ่มไม้ใหญ่มุดตัวหยิบเก้าอี้ขายาวแบกมาวางข้างกำแพงอย่างเร่งรีบ มือบางดึงผ้าโพกหน้าของตนออก ปรากฏใบหน้าหวานล้ำของคุณหนูห้าหลี่เหิงเยว่ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าแผนการของตนกำลังจะสำเร็จในไม่ช้า
ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงเย้ยหยันในใจ ในเมื่อสุดท้ายตัวละครนี้ก็ต้องตาย ถ้าเช่นนั้นหากหลี่เหิงเยว่จะหายไปก่อนสักหนึ่งวัน ย่อมไม่กระทบบทบาทของตัวละครอื่น
ดวงตากลมมองเก้าอี้ขายาวตรงหน้าแล้วยกขาขึ้นปีน เพียงแต่ไม่ทันขยับเท้าไหล่บางก็ถูกจับเอาไว้ ดวงหน้าหวานพลันซีดเผือด ดวงตากลมปิดลง เม้มริมฝีปากอย่างท้อใจ อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะหลุดจากบทบาทนางร้ายโง่ๆ นี้แล้ว
สวรรค์ ท่านให้ข้าทะลุมิติมา เพียงเพื่อตายอย่างทรมานอย่างนั้นหรือ
“คุณหนู!”
เสียงเรียกคุ้นหูทำให้หวังเฟยเฟิ่งที่กำลังสิ้นหวังเบิกตากว้าง หมุนตัวมาทางต้นเสียงก่อนจะยกมือขึ้นตีไปที่ไหล่อีกฝ่ายแบบไม่จริงจังนัก
“อาสุ่น! เป็นเจ้าเองหรือ”
“เป็นข้าเองขอรับ”
หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว พลางกวาดสายตามองรอบตัวเพื่อความแน่ใจอีกรอบ
“เจ้าเกือบทำให้ข้าตกใจตายแล้ว”
น้ำเสียงเอ่ยตำหนิไม่จริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับถือเป็นเรื่องใหญ่ ทรุดตัวลงคุกเข่าก้มหน้าเอ่ยเสียงหนัก
“อาสุ่นไม่ระวัง ทำคุณหนูตกใจ...”
“ทำอะไรของเจ้า รีบลุกขึ้น”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับหันไปตั้งท่าปีนขึ้นเก้าอี้ขายาวอีกรอบ ทว่าไม่ทันก้าวขา เท้าของนางก็ลอยจากพื้น รอบตัวหมุนคว้างเล็กน้อย เมื่อภาพหยุดนิ่งนางก็อยู่ในอ้อมแขนของบ่าวคนสนิท ไม่ทันเอ่ยปากสอบถามแรงลมก็ปะทะเข้าสู่ใบหน้า รู้ตัวอีกทีนางก็มายืนอยู่อีกฟากของกำแพงแล้ว
“อาสุ่น นี่เจ้า!”
หวังเฟยเฟิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วในใจพลันตื่นตระหนกนี่มัน...วิชาตัวเบาใช่หรือไม่ ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง
“เมื่อครู่ข้าล่วงเกินคุณหนู ยินดีรับโทษขอรับ”
เป็นอีกครั้งที่บ่าวชายตรงหน้าคุกเข่าลงด้วยท่าทางจริงจังหวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว วางมือลงบนบ่ากว้างแล้วเอ่ยเสียงดุดัน แววตาแข็งกร้าว
“ครั้งหน้าหากข้าไม่อนุญาต...”
หวังเฟยเฟิ่งยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ในแววตาปรากฏความเจ้าเล่ห์ ราวกับจิ้งจอกสาวที่กำลังล่อลวงกระต่ายน้อยได้สำเร็จ
“อาสุ่นจะไม่ทำอีก”
“สาบาน”
“สาบาน!”
หวังเฟยเฟิ่งเหยียดตัวขึ้นยืน ยกแขนขึ้นกอดอกมองบ่าวชายตรงหน้าแล้วยิ้มหวาน
“เช่นนั้นก็อย่าให้ข้าเห็นเจ้าคุกเข่าโดยง่ายเช่นนี้อีก”
“คุณหนู หมายความว่าอย่างไร”
“ที่ข้าไม่อนุญาตคือเรื่องนี้ อาสุ่น ใต้เข่าบุรุษมีทองคำ เจ้าไม่ควรคุกเข่าให้ผู้อื่นพร่ำเพรื่อ”
แววตาของอาสุ่นพลันปรากฏความสงสัยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชม หัวใจของเขาสั่นระรัว จดจ้องแววตาของสตรีตรงหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น
“สำหรับข้า คุณหนูไม่ใช่ผู้อื่น บุรุษไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ แต่คุณหนู ท่านคือคนที่ข้ายินดีคุกเข่าให้ชั่วชีวิต”
ถ้อยคำหนักแน่นของอาสุ่นทำให้หวังเฟยเฟิ่งยิ้มกว้าง ไม่คิดว่าในตัวร้ายเช่นหลี่เหิงเยว่จะมีบ่าวที่ภักดีเช่นนี้
“เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ขบวนของจิ้นกุ้ยเฟยน่าจะใกล้ผ่านกลางเมืองแล้วพวกเรารีบไปกันเถิด”
“ข้าติดสินบนคนขนเสบียงไว้แล้ว ตอนที่ขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยพักที่ศาลากลางเมือง คุณหนูสามารถแฝงตัวไปยังท้ายขบวนได้เลยขอรับ”
หวังเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินทางไปยังจุดนัดพบที่อาสุ่นนัดหมายกับคนขนเสบียงเอาไว้ นางถอนหายใจยาว นึกแล้วก็โมโหเจ้าของร่างเดิมนัก หากก่อนหน้านี้หลี่เหิงเยว่ไม่ไปทะเลาะตบตีกับบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่หมายตาองค์รัชทายาทฟ่งเฟยเทียน จนเหล่าทหารรักษาการณ์จำหน้านางได้ทุกคน ตัวนางในยามนี้คิดหนีหรือทำการใดก็คงไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้
ทว่าสวรรค์คงเห็นว่าการหลบหนีครั้งนี้ของหวังเฟยเฟิ่งปลอดโปร่งเกินไป ดังนั้นหลังจากเดินลัดเลาะหลบเลี่ยงผู้คนมาจนถึงตรอกหนึ่ง
เบื้องหน้าก็ปรากฏคุณชายขี้เมาพร้อมคนติดตามกลุ่มหนึ่ง
“อ่า...หญิงงาม”
หวังเฟยเฟิ่งขมวดคิ้วเรียวเมื่อเห็นสายตาโลมเลียของคุณชายตรงหน้า อาสุ่นขยับตัวมาบังร่างของคุณหนู ใบหน้าดุดันตวัดสายตาขุ่นเคืองมองไปยังอีกฝ่าย
“เศษสวะคิดขวางความสุขของข้าคุณชายจิ้งอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าสังหารมันแล้วจับหญิงงามมาให้ข้า”
หวังเฟยเฟิ่งได้ยินวาจาคนตรงหน้าในใจก็พลันตื่นตระหนก อีกฝ่ายเอ่ยวาจาฆ่าคนฉุดสตรีอย่างคล่องปาก ดูแล้วนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกแน่นอน
“คุณหนูไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง”
“อาสุ่น ระวังด้วย”
..........................................