บทที่ 01
หมูกระทะร่วมสาบาน [1]
“อ้าว ยังไม่กลับอีกเหรอพิมพ์ มีอะไรให้พี่ช่วยไหม” เอกทัศน์ถามด้วยความมีน้ำใจทันทีที่เห็นพิมพ์พัชรยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทั้งที่เกือบจะสองทุ่มแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เอก อีกสักพักพิมพ์ก็จะกลับแล้วค่ะ นั่งถ่วงเวลาหาเงินจ่ายค่าคอนโดเฉยๆ” เธออ้างยิ้มๆ ได้ยินเสียงเขาขำเบาๆ แล้วเดินกลับไป
ก่อนหน้านี้งานที่แผนกค่อนข้างยุ่งถึงยุ่งมาก พิมพ์พัชรทำงานล่วงเวลาแทบทุกวันมาตลอดสองเดือนเต็ม และเพิ่งจะปิดโปรเจกต์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน สัปดาห์นี้ทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ยกเว้น...
เห็นชื่อคนปลายสายแล้วพิมพ์พัชรอยากจะร้องไห้ รีบยัดโทรศัพท์กลับไปไว้ที่ก้นกระเป๋าแล้วเตรียมเผ่นทันที
ตื๊ด~
ตื๊ด~~
ตื๊ด~~~
สองสายก็แล้ว สามสายก็แล้วจนเธอเริ่มหงุดหงิด ตั้งใจหยิบโทรศัพท์ออกมาปิดเครื่อง แต่สายนี้กลับไม่ใช่จิรภักดิ์อย่างในตอนแรก
“สวัสดีค่ะพ่อ”
[น้ำตาจะไหลที่ลูกสาวยังจำได้ว่ามีพ่อ]
กลายเป็นถูกพ่อประชดกลับมาเต็มๆ
“จำได้สิคะ พ่ออย่างอนพิมพ์เลยน้า ช่วงนี้พิมพ์งานยุ่งจริงๆ ค่ะ”
เหตุผลเดียวที่พอจะมีน้ำหนักในตอนนี้ก็คือเรื่องงาน เธอไม่ได้อยากจะเป็นลูกอกตัญญู เพียงแต่ต้องรู้จักเอาตัวรอดเท่านั้น ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าจิรภักดิ์จะต้องไปเป่าหูพ่อกับแม่เธอเอาไว้แน่ๆ ถึงพ่อกับแม่ของเธอจะไม่เคยบีบบังคับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นพวกนอบน้อมกับผู้ใหญ่ ก็เลยเรียกคะแนนความเอ็นดูจากพ่อกับแม่ของเธอไปได้ตลอด
[เราจะยุ่งทั้งปีทั้งชาติ จนไม่มีเวลากลับมาหาพ่อหาแม่บ้างเลยหรือไง วันก่อนตาภักดิ์ยังแวะเอาผลไม้มาฝาก แม่เราบ่นอยู่ว่าเห็นหน้าลูกคนอื่นมากกว่าลูกตัวเองเสียอีก]
คิดอะไรผิดเสียที่ไหนกัน
“โอ๋ๆ พ่อกับแม่อย่าน้อยใจเลยนะคะ เอาเป็นว่าพิมพ์จะพยายามหาเวลากลับไปหาพ่อกับแม่ให้ได้เร็วที่สุดเลยค่ะ แต่อาจจะยังไม่ใช่อาทิตย์สองอาทิตย์นี้นะคะ ขอเคลียร์โปรเจกต์ใหม่ให้เรียบร้อยก่อนค่ะ”
โกหกพ่อบาปมากไหมนะ เธอทำไปแล้ว แต่ถ้าไม่โกหกไปแบบนี้ เธอก็ไม่รู้จะเอาเรื่องอะไรมาอ้างแล้วจริงๆ
“เวร”
[อะไรนะลูกพิมพ์]
“ปะ เปล่าค่ะพ่อ พอดีพิมพ์สั่งพิมพ์เอกสารผิดน่ะค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ งานเร่งค่ะ พรุ่งนี้ต้องใช้ รักพ่อกับแม่นะคะ บายค่ะ” พิมพ์พัชรตัดบทแล้ววางสายด้วยความร้อนใจ ก่อนจะรีบวิ่งกลับมาซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพราะเมื่อครู่เธอเหมือนเธอจะเห็นรถของจิรภักดิ์จอดอยู่หน้าบริษัท
“ใช่จริงด้วย โอ๊ย ตามเป็นเจ้ากรรมนายเวรเลยนะ” เธอบ่นอย่างหัวเสียพลางพยายามคิดหาทางออก
ตื๊ด~
คนแรกที่เธอนึกถึงคือนรินดา
[ฮัลโหล]
“อยู่ไหนสาว”
[โอ้โห มาทรงนี้ไม่น่าใช่เรื่องดี]
“มีเรื่องต้องการความช่วยเหลือด่วน”
แม้จะรู้สึกเกรงใจ แต่หากต้องเลือกระหว่างเป็นคนดีแล้วต้องเดินไปขึ้นรถจิรภักดิ์ เธอจะยอมเป็นคนไม่ดี ไม่มีความเกรงอกเกรงใจเพื่อนก็แล้วกัน
[มีอะไรก็ว่ามา เสียงแกดูกระวนกระวายนะยัยพิมพ์]
“ก็ใช่น่ะสิ แกมารับฉันหน่อยได้ไหม ฉันติดอยู่ที่บริษัทเพราะพี่ภักดิ์เนี่ย”
[หา]
“หาบ้าหาบออะไร ไม่ต้องหา จอดรถเฝ้าฉันอยู่หน้าบริษัทเลยแกเอ๊ย มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ดีนะที่ฉันเห็นเสียก่อน ไม่อย่างนั้นฉันต้องถึงคราวซวยแน่ๆ” พิมพ์พัชรบ่นไม่หยุด เห็นแค่รถของอีกฝ่ายเธอก็รู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้น
[ได้ๆ แกรอฉันหน่อยแล้วกัน สักครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง]
“ครึ่งชั่วโมง! นี่แกอยู่ไหน”
[มางานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนคุณภพน่ะ]
“ตายห่า” พิมพ์พัชรรู้สึกผิดขึ้นมาทันที “งั้นไม่ต้องดีกว่า เดี๋ยวฉันลองหาวิธีอื่นดู”
[แกรู้จักเกรงใจกันตั้งแต่เมื่อไร] นรินดาแสร้งถาม
“ฉันไม่ได้เกรงใจแก ฉันเกรงใจคุณภพต่างหาก”
[ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า แกรอฉันแป๊บเดียว ซ่อนตัวให้ดีก็แล้วกัน ฉันว่าครั้งนี้เขากัดไม่ปล่อยแน่] นรินดาเตือนก่อนจะวางสายไป
พิมพ์พัชรได้แต่ถอนหายใจทิ้ง นาทีนี้แสงสว่างหน้าจอโทรศัพท์ยังดูสว่างสดใสกว่าอนาคตของเธอเสียอีก
ยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาแล้วยิ่งรู้สึกกังวลเพราะนี่เกือบจะสองทุ่มครึ่งแล้ว กว่านรินดาจะมาถึงก็อีกประมาณครึ่งชั่วโมง และถ้านรินดามาถึง เธอก็ยังไม่แน่ว่าจิรภักดิ์จะยอมกลับไปหรือยัง
นึกสงสัยว่าจิรภักดิ์รู้ได้อย่างไรว่าเธอยังอยู่ที่บริษัท จะคิดว่าเห็นรถของเธอก็เป็นไปไม่ได้เพราะรถของเธอเสียมาเกือบจะครบหนึ่งสัปดาห์แล้ว จนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่จากศูนย์รถก็ยังไม่โทรมาแจ้งให้เธอไปรับรถสักที จะหนีไปออกทางอื่นก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะทางเข้าออกมีทางเดียว
ตื้ด~
“แกถึงแล้วเหรอ”
แม้จะยังไม่เฉียดใกล้ครึ่งชั่วโมงตามที่นรินดาบอกเอาไว้แต่พิมพ์พัชรก็ยังถามอย่างมีความหวัง
[ยังไม่ได้ออกจากงานเลย ฉันโทรหาเฮียคุณอยู่เพราะเขาน่าจะถึงแกได้ไวกว่า แต่เขาไม่รับสายเลยว่ะ]
“งั้น...”
[แต่เดี๋ยวเขาต้องโทรกลับแน่ๆ อาจจะเข้าห้องน้ำอยู่]
“ไม่ต้องๆ อย่าไปรบกวนเฮียดีกว่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจัดการเองก็แล้วกัน ขอบใจมากนะแก”
[เดี๋ยวๆ ยัยพิมพ์]
พิมพ์พัชรแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเพื่อรีบวางสาย บางทีเธออาจจะต้องลองคุยกับจิรภักดิ์ดูอีกรอบ ทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่แล้ว ในเมื่อหลบหลีกไม่ได้ ก็ต้องพุ่งชนให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“มานานหรือยังคะ”
แสร้งยิ้มทักทายเขาที่รีบลงจากรถเมื่อเห็นเธอเดินออกมา
“สักชั่วโมงได้” จิรภักดิ์ยิ้มกว้างแม้จะเป็นฝ่ายรอ เดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้เธออย่างทุกที
พิมพ์พัชรยิ้มขอบคุณเขาแล้วนั่งเงียบๆ ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะเธอไม่ได้บอกให้เขามารอสักหน่อย
“พิมพ์ลืมเปิดเสียงโทรศัพท์อีกแล้วใช่ไหม” เขาถามเปรยถึงเหตุผลที่เธอไม่รับโทรศัพท์เขา เธอแสร้งทำเป็นยิ้มแห้งแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ทำตาโตขึ้นนิดหน่อยให้ดูเหมือนคนตกใจ
“จริงด้วยค่ะ ขอโทษนะคะ”
“พี่แค่ถามเพราะเป็นห่วงน่ะ แต่พิมพ์ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เขาบอกอย่างคนไม่คิดอะไร ทั้งที่เธอนึกอยากจะให้เขาลองคิดดูสักนิดว่าทำไมเธอถึงไม่สนใจที่จะรับโทรศัพท์ของเขา เฮ้อ
จะว่าไปแล้วจิรภักดิ์ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร หากตัดเรื่องความละเอียดเป๊ะปังกับทุกเรื่อง เนี้ยบจนเธอรู้สึกหายใจไม่ออกเวลาอยู่ใกล้ เขาก็ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง ติดตรงที่ข้อเสียของเขา ดันเป็นข้อสำคัญที่เธอคิดว่าไม่มีทางปรับเข้าหากันกับเธอได้นั่นแหละ
หากเจอกันไม่นาน เธอก็ยังพอจะทนได้ แต่ใครจะอยากอดทนไปตลอดทั้งชีวิต ครั้นจะให้เธอปรับตัวเองเพื่อเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่เธออยากทำแน่ๆ
“หิวไหม จะสามทุ่มแล้ว พิมพ์ได้กินอะไรบ้างหรือยัง”
“ยังค่ะ พอดีเพิ่ง...”
“เดี๋ยวจะปวดท้องเอานะ อีกอย่างกินดึกๆ จะไม่สบายท้องรู้ไหม”
ก็เป็นเสียแบบนี้ไงเธอถึงไม่อยากพูดด้วย
“เดี๋ยวเราแวะหาอะไรกินก่อน แล้วพี่ค่อยไปส่งพิมพ์กลับก็แล้วกัน เรื่องอื่นไว้คุยกันทีหลัง ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือกระเพาะ”
เป็นหมอโรคหัวใจ ไหงมานั่งเป็นห่วงกระเพาะเธอ
พิมพ์พัชรลอบถอนหายใจแล้วยิ้มอ่อนเพราะปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร อาศัยระยะเวลาภายในรถทำสมาธิ ตระเตรียมคำพูดเอาไว้พูดคุยกับเขา เพราะตั้งใจแล้วว่าจะเปิดอกคุยกับเขาอย่างจริงจัง