พลันหญิงสาวก็ตัดสินใจมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนของพี่สะใภ้ ก่อนจะออกปากถามกับบ่าวรับใช้ที่นั่งๆ นอนๆ อยู่หน้าเรือน
“นายหญิงของเจ้าทำสิ่งใดอยู่ข้างในกัน เหตุใดจึงไม่ออกมานอกเรือนบ้าง นี่ก็เย็นย่ำแล้ว ปกตินางจะต้องออกมาเดินเล่นสิ ไม่สบายเจ็บไข้ตรงไหนหรือเปล่า”
หลินซานซานไม่ตามตรง ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับ
“ข้าน้อยก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”
“ไม่รู้? ไม่รู้หรือ ไม่รู้ได้อย่างไร เจ้าคอยรับใช้นางอยู่ทุกวัน เหตุใดจึงไม่รู้”
บ่าวรับใช้ส่ายหน้าอย่างอับจนปัญญา สีหน้าก็ฉายแววหวาดหวั่นเมื่อถูกคุณหนูดุเข้าให้ หลินซานซานถอนหายใจ ก่อนจะตัดบทเอาดื้อๆ
“ถ้าเช่นนั้นหากนางออกจากเรือนแล้ว เจ้าช่วยไปบอกข้าหน่อยก็แล้วกัน ข้าจะได้แวะเวียนมาพบนาง”
เมื่อบ่าวรับใช้ตอบรับ หลินซานซานก็ผละจากไป แต่...จนแล้วจนเล่า จางอี้ซวนก็ยังไม่ยอมออกจากเรือนจนกระทั่งหลินจิ้นฝูกลับมาถึง เมื่อนั้นเองที่หลินซานซานเลิกสนใจพี่สะใภ้ เบนมาต้อนรับการกลับมาของญาติผู้พี่แทน
“เจ้าจะกินข้าวเลยไหม ข้าจะได้สั่งให้พ่อบ้านเตรียมสำรับให้”
น้ำเสียงใสเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น หลินจิ้นฝูเห็นดวงหน้าผุดผาดแต่งแต้มรอยยิ้มของญาติผู้น้องแล้ว เขาก็พยักหน้าตอบรับ
“ข้าหิวจนกระเพาะครางโครกครากแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เรากินข้าวกันในสวนเถิด เจ้าจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”
หลินซานซานเสนอ ฝ่ายชายหนุ่มพยักหน้ารับไปอีก นางอยากจะกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่เถิด เขาไม่ได้สนใจนัก แค่กระเพาะได้รับการเยียวยาด้วยอาหาร เท่านี้เขาก็พอใจแล้ว
ทั้งคู่ตรงไปนั่งยังม้าหินอ่อนในสวนบุปผชาติหน้าเรือนใหญ่ ไม่นานนักพ่อบ้านและสาวใช้ก็ยกสำรับอาหารมา หลินซานซานสั่งให้คนครัวทำแต่อาหารของโปรดของญาติผู้พี่ทั้งสิ้น ชายหนุ่มมองนางที่กุลีกุจอตักอาหารใส่ถ้วยข้าวเขาแล้วก็ได้แต่หัวเราะอย่างเอ็นดู
“เจ้านี่ดูแลข้าดีประหนึ่งกับว่าเป็นภรรยาข้าอย่างไรอย่างนั้นล่ะ”
หลินซานซานชะงักมือที่กำลังคีบชิ้นเนื้อให้กับเขาทันควัน เห็นเขายิ้มก็รับรู้ได้ว่าเขาเพียงแค่หยอกล้อ
“หากข้าเป็นฮูหยินของเจ้า ข้าจะดูแลเจ้าดีกว่านี้อีก”
นางว่าประหนึ่งหยอกล้อเช่นกัน แต่ในใจของนางนั้นกลับจริงจัง หลินจิ้นฝูรับรู้จึงรีบเบี่ยงประเด็นด้วยตระหนักได้ว่าเขาไม่ควรพูดอะไรลักษณะนี้ออกมา
“แต่ข้าว่าเจ้าน่าจะเหมาะเป็นท่านแม่ของข้ามากกว่า กลัวข้าผอมหรืออย่างไรถึงได้ตักอาหารให้เยอะเพียงนี้ คิดจะขุนข้าแล้วจับกินใช่หรือไม่ นางปีศาจจิ้งจอก”
หลินซานซานย่นปากยู่ ทำแก้มป่องพลางว่าเสียงอู้อี้
“ใครเป็นนางปีศาจจิ้งจอกกัน ที่ข้าดูแลเจ้าก็เพราะเจ้าไม่มีผู้ใดดูแลต่างหาก หากฮูหยินของเจ้าดูแลปรนนิบัติเจ้าดี มีหรือที่ญาติผู้น้องอย่างข้าจะต้องเดือดร้อน มีภรรยาก็เหมือนไม่มี หากเป็นเช่นนี้จะตบแต่งฮูหยินเข้าสกุลไปเพื่อการใด”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินซานซานบ่นว่าอย่างนี้ แต่ก็นั่นล่ะ เขาไม่ถือสา... ไม่ถือสาที่นางต่อว่าฮูหยินของเขา และไม่ถือสาที่ภรรยาหาได้ใส่ใจตนด้วย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ปล่อยนางไปเถิด”
“ปล่อยนางไปเถิดๆๆ เจ้าก็พูดเช่นนี้ตลอด นางถึงได้ใจ ละเลยเจ้าอย่างไรเล่า ไม่เข้าใจเจ้าเลยว่าเหตุใดถึงได้ตามใจนางนัก”
“เพราะนางทำให้ข้าคิดถึงเจียเฟย”
จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อนางในดวงใจออกมา หลินซานซานชะงัก พอสบตา อีกฝ่ายก็ว่าออกมาอีก
“ถึงอี้ซวนจะไม่ได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพี่สาวมากนัก แต่นางก็ทำให้ข้าสุขใจยามเห็นหน้านาง ดังนั้นอะไรที่ทำให้นางสบายใจ ข้าย่อมไม่ต่อว่า ให้นางได้ทำสิ่งที่อยากทำเถิด”
หลินซานซานเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเหตุใดญาติผู้พี่ถึงทำเป็นเมินเฉยไม่รับรู้สิ่งใด ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้...
ถึงนางจะปวดแปลบในใจขึ้นมาน้อยๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร ความสุขของหลินจิ้นฝูก็คือความสุขของนาง อีกอย่าง ในเมื่อสามียังไม่กล้าต่อว่าฮูหยินของตนเองเลย แล้วนางเป็นใคร ไยจะกล้าต่อว่าพี่สะใภ้ไปมากกว่านี้กันได้เล่า
ไร้บทสนทนาแล้ว ทั้งสองร่วมมื้อเย็นกันเงียบๆ ไม่นานนัก บ่าวรับใช้ที่หน้าเรือนของจางอี้ซวนก็รีบเดินมาหา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหูของหลินซานซาน
“คุณหนูเจ้าคะ นายหญิงออกจากเรือนแล้วเจ้าค่ะ”
ครานี้ไม่ใช่แค่หลินซานซานเท่านั้นที่มองหาคนที่บ่าวรับใช้พูดถึง หลินจิ้นฝูเองก็เช่นกัน ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งของคนที่ถูกพูดถึงเดินผ่านอีกด้านหนึ่งของสวนซึ่งไม่ไกลจากบริเวณที่ทั้งคู่ จางอี้ซวนซึ่งรู้ตัวว่าถูกจับจ้องก็หันมามอง เท่านั้นนางก็ย่อตัวลงเล็กน้อยเป็นการคำนับทักทายแก่หลินจิ้นฝู ครั้นเขาแย้มยิ้มให้ นางก็ผละจากไปโดยไม่สนใจจะเข้ามาพูดคุยสักนิด
ท่าทางนั้นทำเอาหลินซานซานถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
นางหมางเมินสามีถึงเพียงนี้แล้วหรือ!
หลินซานซานรีบหันขวับมองชายหนุ่ม ก็พบว่าหลินจิ้นฝูทำเพียงยิ้มบางๆ
“ไม่เป็นไร ปล่อยนางไปเถิด”
ปล่อยนางไปอีกแล้ว เมื่อไรกันนะที่เขาจะจริงจังกับการสั่งสอนภรรยาให้ประพฤติปฏิบัติตัวต่อสามีดีๆ บ้าง
หลินซานซานได้แต่ขบคิดในใจ จ้องมองบุรุษที่บัดนี้เอาแต่จ้วงกินอาหารตรงหน้าอย่างไม่ยี่หระกับสิ่งใด
หรือจะต้องให้นางเป็นผู้สอนสั่งเอง?
นางไม่อยากจะก้าวก่ายหรอก แต่ในเมื่อทั้งสามีและภรรยาต่างฝ่ายต่างไม่สนใจซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันประหนึ่งคนแปลกหน้า นางก็จะยื่นมือเข้าไปแทรกเพื่อให้ทั้งสองเรียนรู้ที่จะครองเรือนเอง
ทำเป็นอวดดีไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วหลินซานซานรู้เรื่องการประพฤติปฏิบัติของสามีและภรรยาที่ดีเสียที่ไหนกัน นางเพิ่งจะอายุเพียงสิบแปด แต่งงานหรือก็ยังไม่เคย ดูตัวยังไม่เคยเลยสักครั้ง ทำเอานางอดหัวเราะเย้ยตัวเองไม่ได้ที่ทำเก่ง
ประสบการณ์ก็ไม่มี แล้วยังจะมาทำเป็นถือดีเก่งกาจจะสอนสั่งพี่สะใภ้
แต่ถึงอย่างนั้น หลินซานซานก็จะสั่งสอน อย่างน้อยก็ไปพูดให้พี่สะใภ้รู้สักหน่อยว่าควรปฏิบัติกับสามีอย่างไร
วันใหม่มาถึง หลินซานซานจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนของพี่สะใภ้ตั้งแต่เช้าตรู่ บังคับให้บ่าวรับใช้ประจำตัวของจางอี้ซวนไปปลุกผู้เป็นนาย ให้ตื่นด้วย ไม่ใคร่สนใจว่าจางอี้ซวนจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวมากเพียงใดที่ถูกรบกวนเวลานอน เพราะนางจะเป็นฝ่ายที่ฉุนเฉียวยิ่งกว่าหากปลุกสตรีเกียจคร้านผู้นั้นไม่ได้
ไม่นานนัก คนถูกรบกวนเวลานอนก็ทนไม่ไหว ทั้งเสียงร้องเรียกของบ่าวรับใช้ ทั้งเสียงโวยวาย แสร้งเคาะประตูบ้าง หน้าต่างบ้าง ในที่สุดก็จำต้องตื่น
“พี่สะใภ้ ตื่นแล้วก็ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปนั่งเล่นที่ศาลากับข้าเถิด ข้าอยู่ในจวนทั้งวัน เหงายิ่งนัก อยากมีเพื่อนคุยเหลือเกิน”
เห็นดวงหน้างามสะคราญของจางอี้ซวนแล้ว หลินซานซานก็ว่าเสียงใส ยิ้มกว้างพร้อมดวงตาพราวระยับออดอ้อนด้วยคิดว่าจะช่วยให้พี่สะใภ้เอ็นดูนางได้ หารู้ไม่ว่าคนมองไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จะเอ็นดูนาง มารบกวนเวลานอนเช่นนี้ หากนางเป็นบ่าวรับใช้ที่จวนแม่ทัพยังชายแดนแคว้นแล้ว นางได้ถูกสั่งโบยจนหลังหักแน่
แต่ก็หาได้พูดสิ่งใจ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ว่าเสียงเจื้อยแจ้ว
“ข้าจะไปรอท่านที่ศาลา รีบตามมานะเจ้าคะ”
หลินซานซานทิ้งท้ายก่อนจะผละจากไป ปล่อยให้จางอี้ซวนระบายลมหายใจอย่างหัวเสีย ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในเรือนผลัดอาภรณ์ชุดใหม่แทน