“เดือนเดียวผมก็หามาให้พวกคุณได้หมดแล้วด้วยซ้ำ ว่าไง! ตกลงหรือเปล่า”
เขาหันไปหาสิงหรัฐที่เพิ่งจะรู้จักจากการแนะนำของจักรวาลนี่เอง ว่าเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดที่เขาได้มาถลุงในบ่อนอย่างง่ายดาย
“ถ้าคุณมั่นใจขนาดนั้น ผมก็ไม่มีปัญหา คุณลุงช่วยดูเรื่องหลักฐานและสัญญาอื่นๆ ด้วยนะครับ”
สิงหรัฐหันไปหาทนายประจำบริษัทที่หอบหิ้วมาด้วยอย่างคนรอบคอบและพร้อมจะขย้ำเหยื่อให้แดดิ้นคามือ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม
“ขอคุณนะครับ รับรองผมจะได้เงินมาไถ่สร้อยกับบ้านคืนก่อนสองเดือนแน่ ถึงเวลานั้นอย่าอิดออดกับผมก็แล้วกัน”
กันต์กวีรีบหิ้วกระเป๋าเงินออกจากห้องทำงานจักรวาลไปทันทีที่เซ็นเอกสารทุกอย่างหลังถูกทนายตรวจสอบ และเจ้าของเงินจรดปลายปากกาลงในสัญญา
“ดูนายนั่นจะมั่นอกมั่นใจมากเลยนะ ว่าจะได้เงินจากบ่อนมาใช้หนี้แกน่ะ”
จักรวาลไม่ได้แปลกใจตรงไหน แต่ก็พยักหน้าให้ลูกน้องคอยสอดส่องดูลูกค้าชั้นสูงใกล้ชิดเป็นพิเศษ เพราะถ้าลองได้กล้าเอาสมบัติมาถลุงขนาดนี้แล้ว แปลว่ามีแนวโน้มที่จะเล่นตุกติก
“มันคงคิดว่าเพื่อนใหม่อย่างชยันต์จะช่วยทำให้มันโกงแกได้ล่ะมั้ง”
สิงหรัฐแค่นเสียงเย้ยหยันหนุ่มสูงศักดิ์ผู้น่าสงสารอย่างไม่ปิดบัง และพยักหน้าให้ทนายที่ขอตัวกลับก่อนพร้อมกวีการ์ดหนุ่ม เหลืออุดมการ์ดอีกหนึ่งเอาไว้ให้เขาเท่านั้น จักรวาลเองก็พยักหน้าให้การ์ดที่เหลือออกจากห้องไปได้เช่นกัน เมื่ออยากได้ความเป็นส่วนตัว
“ความจริงคุณชายเป็นคนฉลาดนะ แต่ไม่น่าโง่ถูกแกตบตาได้ง่ายๆ ตั้งแต่ถูกแม่เยลหลี ที่แกส่งไปเป็นนางนกต่อนั่นแล้ว”
“ความโลภ ความไม่รู้จักพอของมันไงล่ะ ดี! ให้มันโลภมากๆ ฉันจะได้รอเด็ดหัวมันเร็วๆ และง่ายๆ ด้วย”
“ว่าแต่แผนขั้นต่อไปของแกจะเป็นยังไงล่ะ” จักรวาลอดอยากรู้ไม่ได้
“รอให้เงินสามสิบล้านกลับมาหาฉันก่อนสิ อ้อ! ว่าแต่แน่ใจนะที่จะไม่เอาค่าเหนื่อยน่ะ”
เพราะยังไงเขาก็ยังอยากให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากเงินหกสิบล้านที่เอามาให้เป้าหมายถลุงเล่น แล้วโอนไปเข้ากระเป๋าเขาอยู่ดี
“บอกว่าไม่ก็ไม่สิวะ! เพื่อนกัน! ขอกันกินมากกว่านี้ ถึงฉันจะเป็นเจ้าของบ่อน ถึงพ่อฉันจะไหลไปตามน้ำตามเกมนักการเมือง แต่ฉันก็เป็นคนดีมีสัจจะในหมู่เพื่อนนะโว้ย! แกพูดเหมือนไม่รู้จักฉัน เหมือนเพิ่งคบกันมาปีสองปีอย่างนั้นล่ะ”
จักรวาลอดเหน็บไม่ได้ เพราะทั้งสองคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเมืองไทย ยันไปจบปริญญาตรีถึงลอนดอน เรียกได้ว่าเจอหน้ากันทุกวันตลอดตั้งแต่เข้าอนุบาลเลยก็ว่าได้ มีขาดช่วงก็ตอนที่เขาเรียนต่อโท
ส่วนสิงหรัฐเลือกที่จะกลับบ้านช่วยงานพ่อกับแม่ที่โหยหาธรรมชาติด้วยการไปซื้อที่ดินไว้ที่สอยดาวนับพันไร่ เพื่อเตรียมผันตัวเองไปเป็นชาวสวน มีชีวิตในบั้นปลายที่สงบสุข
“ฉันรู้ว่าแกแฟร์ แต่ก็รู้สึกผิดที่มากวน แต่เชื่อเถอะว่าอีกไม่นาน ฉันจะปิดจ๊อบนี้ให้จบไวๆ”
“ปิดแบบไหน และจะทำอะไรคุณชายนั่นบ้าง ถึงตายหรือเปล่าวะ”
“ตาย! แต่เป็นตายทั้งเป็น! ส่วนจะทำยังไงหรือทำอะไรต้องรอดูไปเรื่อยๆ รับรองไม่นานแกได้เห็นแน่”
และกับคนที่กำลังตกเป็นเป้าหมายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่นั้น ก็แทบไม่เป็นอันจะกินจะนอนเลยทีเดียว เมื่อเงินสามสิบล้านหมดเกลี้ยงภายในเวลาหนึ่งเดือนกับอีกยี่สิบห้าวันเท่านั้น ส่วนชยันต์ไอ้คนที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีวิธีโกงจนได้เงินคืนภายในไม่กี่วัน ก็ไม่รู้หายหัวไปไหน
หลังจากที่เล่นเข้าขาด้วยกันได้เงินมาเพิ่มสี่ห้าล้าน เจ้านั่นก็หายเงียบไปเลย ทิ้งเขาให้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพังจนถลุงเงินไม่เหลือแม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ว่าได้
‘ถูกเก็บไปเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง มันไม่เลี้ยงไว้หรอกคนโกงน่ะ คุณชายก็ระวังไว้ให้ดีๆ สิ’
นั่นคือข้อสันนิษฐานของยัยเยลหลีที่เป็นคนชักชวนเขาไปเสี่ยงดวงในบ่อนนั้น เมื่ออดรนทนไม่ได้เขาเลยไปปรึกษา แทนที่จะได้ความสบายใจกลับมา เลยกลายเป็นกลัดกลุ้มหนักกว่าเดิมอีก เพราะกลัวจะมีชะตากรรมเหมือนเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน
“คุณชายคะ! มีแขกมาขอพบค่ะ”
มะลิขึ้นมาบอกถึงห้องนอนในวันหยุดที่เขาจำต้องมุดอยู่แต่ในบ้าน
“ใครเหรอครับป้า บอกชื่อหรือเปล่า แล้วตอนนี้อยู่ไหน”
“เห็นว่าชื่อสิงหรัฐกับจักรวาลค่ะ คุยกับท่านหญิงอยู่ในห้องรับแขกค่ะ”
ชื่อหลังทำเอาเขาสะดุ้งโหยง แม้จะเกรงกลัวมากแค่ไหน แต่ก็รีบรุดลงไปทันที ด้วยไม่อาจรู้ได้ว่าทั้งสองจะคุยอะไรกับแม่ที่เป็นโรคหัวใจและป่วยกระเสาะกระแสะบ้าง ภาวนาว่าอย่าให้เป็นเรื่องสร้อย กับเรื่องบ้านเลย
“ไม่ได้คุยอะไรมากมายหรอกจ้ะชาย แม่กำลังถามถึงพ่อคุณจักรจ้ะ ไม่เจอกันนานมากแล้ว ถ้าจำไม่ผิดก็ตั้งแต่งานศพท่านพ่อล่ะมั้ง”
ผู้แม่ไขข้อข้องใจเมื่อเขาลงไปหาและถามเป็นเรื่องแรก แขกหนุ่มทั้งสองหันมองเขาแล้วยิ้มจางๆ ให้เท่านั้น
“งั้นแม่ขอไปดูในครัวก่อนนะว่าหญิงฟ้าทำอะไรเป็นมื้อเย็นบ้าง”
มะลิรีบเข้ามาพยุงเจ้านายอย่างรู้งาน สองแขกก็ลุกขึ้นยืนให้อย่างคนมีมารยาท แต่กันต์กวีเชื่อว่าถ้าไม่มีข่าวเรื่องการเอาเงินไปไถ่ถอนของทั้งสองอย่างที่เขาบอกไว้ รับรองแน่ว่าจะหามารยาทจากจักรวาลไม่เจอ ส่วนกับอีกคนเขาไม่รู้
แต่เท่าที่อ่านท่าทีและการพูดจาก็น่าจะมีแววปรานีมากกว่าพ่อเจ้าของบ่อนลูกนักการเมืองจอมโกงบ้านกินเมืองเป็นแน่แท้ นี่ยังไม่นับรวมกับชื่อเสียงด้านใช้ผู้หญิงเปลือง เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ให้เห็นบ่อยๆ เข้าไปด้วย
“เราไปคุยกันตรงศาลาด้านนอกดีกว่านะครับ”
เขาเดินนำไปทันที ไม่สนใจว่าแขกจะคิดยังไง เพราะไม่อยากให้เรื่องที่จะคุยไหลเข้าหูคนในบ้านแม้แต่คนเดียว สิงหรัฐหันไปหาเพื่อนที่พยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่ายอมตามนั้น เขาเลยจำต้องลุกตามไป