ตอนที่ 1
“ฉันบอกกี่ครั้งแล้วสงกรานต์ ห้ามเข้าใกล้น้องสาวฉันเกินสิบเมตร ทำไมถึงไม่เชื่อฟัง”
สงกรานต์สะดุ้งเฮือกเมื่อเจอกับน้ำเสียงดังสนั่นลั่นห้องราวกับฟ้ากำลังผ่าซึ่งมาจากชายหนุ่มร่างหนาใหญ่ราวกับยักษ์วัดแจ้งที่กำลังยืนเท้าสะเอว
ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนผิวสีแทนอยู่แล้ว เมื่อต้องทำงานในไร่ในสวนตากแดดทั้งวันใบหน้าคมคร้ามดุกร้าวจึงเป็นสีดำคล้ำยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้กับคนที่ถูกเรียกชื่อเป็นยิ่งนัก
ใบหน้าขาวสวยงองุ้ม ริมฝีปากเบะออกอย่างไม่ชอบใจอย่างรุนแรงเหมือนกัน ไม่ใช่ความผิดเขา...เอ๊ย...ไม่ใช่ๆ เธอเสียหน่อยนี่น่า เพราะคุณน้องน้ำฟ้าต่างหากที่ชอบเข้ามาป้วนเปี้ยนวนเวียนหาทางเข้าใกล้ ขับไล่แล้วก็ไม่ยอมไป แล้วเธอจะไปทำอะไรได้มากล่ะ ก็เป็นเพียงแค่ลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้นเอง
สงกรานต์อยากระบายความหงุดหงิดและอึดอัดใจที่มีเหมือนกัน แต่มันก็มีเหตุผลที่ทำให้เธอทำอย่างนั้นไม่ได้ คงต้องโทษไอ้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตต่างหากที่ทำให้เธอต้องกลายมาเป็นคนหลอกลวงคนอื่นแบบนี้ ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดออกไปก็ไม่ได้ แต่พอไม่พูดก็กลายเป็นการทำร้ายตัวเองอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ถึงหน้าตาจะไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่ก็ถือว่าน่ารักมากอยู่ แต่กลับต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของผู้ชาย ต้องแสดงออกให้เหมือนกับผู้ชายทุกอย่าง
สงกรานต์ก้มหน้าลงมองพื้นไม้ปาร์เกต์ที่ขัดเงาจนมันวาว น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว บ่อยครั้งที่สะดุ้งตื่นตอนดึกๆ เพราะฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอน
เหตุการณ์ที่แม้จะหลายปีผ่านพ้นไป แต่มันยังคงเป็นเหมือนแผลที่ตกสะเก็ด พอมีอะไรมาสะกิด เลือดก็ไหลออกมาทันที เหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องกลายมาอยู่ในสภาพแบบนี้ จะหญิงก็ไม่ได้ จะชายก็ไม่เชิง มันดูเหมือนเด็กหนุ่มที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองไปทางไหนดี ทั้งที่ความจริงแล้วในตอนนี้เธอน่าที่จะได้อยู่ที่บ้านหรือไม่ก็เรียนมหาวิทยาลัยอย่างที่วาดฝันเอาไว้
วันนั้น...วันที่เธอเรียนจบม.หกด้วยเกรดเฉลี่ยที่สูงมากกับข่าวดีเรื่องได้โควตาไปเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นมหาลัยที่เธอใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก แต่กลับกลายเป็นว่าเธอกลับต้องเจอกับเรื่องร้าย เพียงแค่ย่างเท้าเข้าบ้านก็พบว่าข้าวของแตกกระจายเหมือนกับพายุเข้า เช่นเดียวกับภายในบ้านที่ข้าวของถูกรื้อค้น บางส่วนแตกหักเสียหายจนไม่มีชิ้นดี ที่ตกใจมากจนน้ำตาคนเป็นลูกไหลอาบแก้ม เพราะสภาพของบิดา
พ่อ...ถูกทำร้ายจนหน้าตาเขียวช้ำ มีหยดเลือดเกรอะกรังอยู่บริเวณริมฝีปากซึ่งแตกระแหง ดวงตาก็ปูดบวมจนแทบจะลืมไม่ขึ้น ที่สำคัญที่สุดก็คือมีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กที่เธอชอบนั่ง เมื่อมองออกไปนอกบ้านจะได้เห็นดอกไม้ที่ปลูกไว้อวดโฉมอวดดอกแข่งกัน
เพียงแค่เธอเดินเข้าไป ดวงตาของพวกนั้นก็มองมาที่เธอเป็นจุดเดียวกัน ทำเอาสาวน้อยที่ยังไม่พ้นวัยรุ่นดีกลัวจนตัวสั่น ยืนแข็งอยู่กับที่ เย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า เพราะสายตากักขฬะที่มองกายสาวน้อยที่ยังสวมชุดนักเรียนอย่างจาบจ้วงโลมเลียเหมือนกำลังปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกายและทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกับเธอ
ยามที่หนึ่งในคนกลุ่มนั้นเดินมาหาและวางมือลงบนบ่า ทำให้เธอถึงกับสั่นเทาด้วยความกลัวและขยะแขยงจนอยากที่จะสำรอกออกมา
“หนูคนนี้ลูกสาวแกสินะพนัส หน้าตาใช้ได้นี่ ขนาดอยู่ในชุดนักเรียนยังจะสวยน่ารักขนาดนี้ ถ้าเวลาที่ไม่มีเสื้อผ้าติดกายมันจะงามขนาดไหนวะ นางฟ้าก็นางฟ้าเถอะ ได้เห็นยังนี้ก็คงต้องรีบหลบด้วยความอายแหละมึงเอ๊ย ถ้าได้ร่วมนอนเตียงเดียวกัน โอ๊ย...สวรรค์บนดินเลยวะ”
คำพูดหยาบโลนและกักขฬะอย่างคนที่การศึกษาน้อยที่ดังจากปากสีดำคล้ำทำเอาสาวน้อยวัยเพิ่งจะแตกเนื้อสาวไม่นานถึงกับกลัวจนตัวสั่น เผลอก้าวถอยหลังด้วยความกลัวในทันที กายเย็นยะเยือก หัวใจที่แทบจะหยุดเต้นร่วงหล่นลงกองที่ตาตุ่ม
คำว่ากลัว รังเกียจและเกลียดสักอยู่บนหน้าผากอย่างชัดเจน เธอก้าวเท้าถอยไปด้านหลังแต่กลับต้องชะงักเมื่อสัมผัสถูกอะไรบางอย่าง เมื่อหันหน้าไปมองก็พบว่าเป็นชายที่ท่าทางเหมือนกับคนแรก แต่คนนี้ดูจะร้ายกว่ามาก เพราะมันไม่พูดอะไร แต่ใช้แขนเกี่ยวเอวเธอเอาไว้แล้วฝังใบหน้าเหม็นราวกับขยะของมันลงที่ลำคอระหงไล่และเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า
ขนกายเธอลุกชันด้วยสะอิดสะเอียน คลื่นความรังเกียจหมุนติ้วๆ ไหลขึ้นมาจากท้องน้อยจุกแน่นอยู่ที่อกและลำคอแต่ก็ต้องสะกดกลั้นไม่ให้มันไหลออกมาด้านนอก กายเล็กบางยืนนิ่งสนิทเหมือนถูกสาปให้ตัวแข็งเป็นหิน ใบหน้าเผือดสีไร้สีเลือด ในดวงตามีแต่ความกลัวที่ปกปิดเอาไว้ไม่มิดมองไปที่ร่างของบิดาซึ่งถูกคนในกลุ่มนั้นที่มากันห้าคนได้จ่อปืนที่ขมับอยู่
บิดาอยากร้องขอความช่วยเหลือ หากสิ่งที่ทำได้คือร้องไห้อย่างอดสูและหวาดกลัว
“แก...พะ...พวกแกอย่าทำอะไรลูกสาวฉันเลยนะ ฉันยอมแล้ว ยอมทุกอย่าง พวกแกอยากได้อะไรก็ขนเอาไปเลย แต่อย่าทำลูกฉัน อย่าทำลูกสาวฉันเลย”
เสียงพ่อพูดพร่ำอ้อนวอนจนลิ้นพันกันจับคำไม่ได้ แต่สิ่งที่ได้รับตอบแทนมาก็เป็นเสียงหัวเราะเหมือนกับซาตานร้ายผุดขึ้นมาจากนรกขุมสุดท้ายก็ไม่ปาน ปลายกระบอกปืนสีดำเขื่อมตบลงไปบนใบหน้าซึ่งปูดบวมอยู่แล้วให้ยิ่งบวมช้ำมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็มีเลือดไหลจากมุมหนึ่งของปากด้วย
“ให้เวลามึงสามวัน เอาเงินล้านหนึ่งที่เมียมึงติดเจ้านายกูไว้ไปคืน ไม่งั้นมึง...” ปืนกระบอกสีดำมะเลื่อมขยับแนบชิดที่ขมับพ่อและมีเสียงดังฟิ้วออกจากปากได้ตัวคนขู่
“ตาย!”
น้ำเสียงคนพูดแข็งกร้าวและเหี้ยมเกรียมจนเธอได้ยินแล้วกลัวตัวสั่น
“ส่วนลูกสาวมึง ขอนะ จะเอาไปเป็นของขวัญให้นาย สวยน่ารักแบบนี้ นายคงไม่อยากออกจากห้องนอน ไว้นายเบื่อเมื่อไหร่ พวกกูค่อยขอ แล้วค่อยพาไปให้เจ้ฉวี หน้าตาแบบนี้ คงทำให้เงินให้เจ้แกเยอะเชียวล่ะ”
“เงิน...เงินตั้ง...ตั้งล้าน สามวันหาให้ไม่ทัน ขอ...ขออาทิตย์นึงได้ไหม”
พ่อต่อรอง ตอนแรกพวกมันก็จะไม่ให้ แต่สิ่งที่พวกมันต้องการคือเงิน พ่อรีบเข้าไปในห้องของเธอ พลิกเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งที่เก่าและขาดเป็นบางจุดขึ้น ก่อนจะสอดมือล้วงเข้าไปหยิบเอาซองสีน้ำตาลขนาดกระดาษเอสีออกมาเปิด ภายในมีธนบัตรใบละร้อยและใบละพันอยู่หลาย แต่ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นสร้อยคอทองเส้นใหญ่
พ่อเอาของพวกนี้มาจากไหน?
ทำไมถึงนำไปไว้ในห้องนอนของเธอ?
ไม่นานสงกรานต์ก็เข้าใจ เมื่อนึกขึ้นมาได้ พ่อเคยเปรยเรื่องแม่ใช้เงินหนักมือ ให้เท่าไหร่ไม่เคยพอและยังไปหยิบยืมคนโน้นคนนี้อยู่เสมอ แล้วยังมาอ้อนวอนขอพร้อมข่มขู่และค้นข้าวของทุกอย่างด้วย นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อหาทางหมกเม้มเงินเอาไว้ และสถานที่ซึ่งดีที่สุดก็คือห้องของเธอที่แม่ไม่ชอบเข้า เพราะเห็นว่าไม่สำคัญและไม่มีอะไรให้เจริญหูเจริญตา
“วันนี้ฉันให้พวกแกแค่นี้ก่อน แล้วอีกหนึ่งอาทิตย์ฉันจะหามาให้อีก นะ...นะ ขอเวลาอาทิตย์หนึ่ง อาทิตย์เดียวจริงๆ ไม่โกหกเลย”
“ได้ ให้โอกาสแกอีกหนึ่งอาทิตย์ แต่ถ้าพวกกูมาแล้วไม่ได้เงิน แกเป็นศพ...” เจ้าตัวคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมและเลือดเย็นเหมือนกับว่าการฆ่าคนเป็นอะไรง่ายๆ อย่างกับบี้มดให้ตาย