---------สิงห์
…‘คนเรามักจะลืมรักครั้งแรกไม่ได้’…
คุณคิดว่าประโยคนี้มันเป็นความจริงหรือเปล่า? ส่วนตัวแล้วผมก็มีรักครั้งแรกใน ตอนที่ยังเด็กมาก ๆ อยู่เหมือนกัน ผมชื่อ ‘ห้าวหาญ’ หรือที่ใคร ๆ รู้จักผมดีในชื่อเล่นว่า สิงห์ ปัจจุบันผมอายุ 30 แล้วครับ ทำงานราชการอยู่ในที่ว่าการอำเภอแห่งหนึ่ง เป็นงานที่มั่นคงและผมก็ชอบมันนะ สมัยเรียนผมมันบ๊วยของห้องครองแชมป์ที่สุดท้ายตลอดกาล มีปัญญาเรียนจนจบได้แค่ ม.6 เพิ่งมาเรียน กศน.เทียบได้ปริญญาเมื่อไม่นานนี่เอง ฟังแค่นี้คงพอจะเข้าใจคำว่าหมาวัด ที่ดันไปหลงรักดอกฟ้าแล้วใช่ไหมครับ
รักครั้งแรกของผม เธอชื่อว่า ‘เดือนเต็ม’ ปัจจุบันเธอเป็นพยาบาลวิชาชีพที่ทั้งสวยและยังคงทำให้ผมรู้สึกใจเต้นแรง ไม่เป็นตัวเองทุกครั้ง เหมือนกับตอนที่ยังเป็นเด็กนักเรียน สมัยเรียนเธอเรียนเก่งมาก แล้วก็เป็นเดือนสมชื่อเธอนั่นแหละครับ เดือนเต็มดวงที่สุกสว่างงดงามน่ามอง เรียนก็เก่ง ที่บ้านก็มีฐานะ เดือนเป็นลูกสาวของร้านทองรายใหญ่ในตัวอำเภอ ส่วนผมก็แค่เป็นเพื่อนในชั้นเรียนของเดือน ที่บังเอิญบ้านใกล้กันเท่านั้น อาศัยว่าแม่ของผมคุยเก่ง ก็เลยไปสนิทกับแม่ของเธอ เราจึงพอมีโอกาสได้รู้จักกันบ้าง
ตั้งแต่เด็กหรือตั้งแต่จำความได้เลยก็ไม่รู้ ผมน่ะเป็นเด็กที่ถือว่าเกเรมากคนหนึ่ง มีเรื่องกับคนนั้นคนนี้ประจำ ก็สมชื่อห้าวหาญนั่นแหละครับ ส่วนเรื่องของผมกับเดือนจะเป็นยังไง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังผมจะเล่าให้ฟัง
-ปี 2545-
“ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อ....”
หน้าเสาธงเป็นสถานที่ ซึ่งเด็กนักเรียนทุกคนแสนจะเอือมระอา หากจินตนาการถึงความร้อนของแดดตอน 8 โมงเช้ามันไม่เคยสร้างความอบอุ่นให้ใครเลย อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของกิจกรรมหน้าเสาธง คือครูใหญ่ที่ยืนพูดให้โอวาสกับเด็ก ๆ บนหน้าเสาธง ท่านไม่เคยพูดสั้น ๆ เลยสักครั้ง หากย้อนไปตอนเกริ่นก่อนที่ท่านจะเริ่มพูด ไม่ว่าครูใหญ่โรงเรียนไหน ก็จะพูดเหมือนกันเสมอว่า ‘วันนี้ครูจะพูดแค่นิดเดียว’ และแน่นอนว่านั่นก็เป็นเพียงแค่ประโยคบอกเล่าเท่านั้นเอง แต่ถึงแม้ว่าแดดจะร้อนสักเพียงไหน หรือต้องทนฟังครูใหญ่พูดนานเท่าไร ท้ายที่สุดนักเรียนทุกคนก็ต้องมาเข้าแถวตามระเบียบของทางโรงเรียน
“อีเดือน การบ้านมึงเสร็จหรือยัง เอามาลอกหน่อย” เสียงเด็กชายตัวสูงรูปร่างกำยำผิวกายคล้ำ จากการเผาไหม้ของแดด เขาเดินแทรกแถวจากด้านหลังเข้ามายืนข้าง ๆ เด็กสาวผมเปียที่ยืนอยู่เกือบจะหน้าสุดของแถวผู้หญิง
“.......” ดวงตากลมโตเหลือบมองค้อนเด็กชายที่ก้มตัวลงมาถาม ก่อนจะทำท่าเมินเฉยใส่เขาแล้วหันกลับไปให้ความสนใจกับกิจกรรมหน้าเสาธงตามเดิม
“อีเดือน!!เอาการบ้านครูนิตยามาลอกหน่อย” เด็กชายยังคงตื้อที่จะเอาสมุดการบ้านวิชาภาษาไทยจากเพื่อนให้ได้ เขาขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นกว่าเดิม และเปล่งเสียงเอ่ยถามให้ดังแข่งกับเสียงสวดมนต์
“การบ้านทำไมไม่ทำมาให้เสร็จจากที่บ้าน มาขอลอกของคนอื่นทุกวันหน้าไม่อายเลยนะสิงห์” เดือนเต็มหันมาต่อว่าคนที่พยายามขู่บังคับ ไม่ว่าวิชาไหน ๆ ห้าวหาญ หรือคนที่เอเรียกว่าสิงห์ ก็มักจะมาขู่เอาการบ้านจากเธอไปลอกเสมอ
“ปากดี! เดี๋ยววันนี้กูไม่ให้ซ้อนรถจักรยานกูกลับบ้านนะ” นี่คงเป็นไพ่ใบเดียวในมือที่พอจะยกขึ้นมาข่ม เด็กหญิงเดือนเต็ม ให้ยอมทำตามคำขอจากเขา ด้วยความที่เดือนเต็มนั้นขี่จักรยานไม่เป็น และที่บ้านก็ไม่มีเวลามารับมาส่งเธอในตอนเช้า ทำให้เดือนเต็มนั้นต้องอาศัยซ้อนจักรยานห้ามหาญมาโรงเรียนทุกวัน
“ถ้าสิงห์ไม่ให้เรากลับด้วย งั้นเรากลับบ้านกับวินัยก็ได้” เด็กหญิงว่าพลางมองไปทางเด็กชายอีกคน ที่เธออาจพึ่งพาได้ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าเลยว่าเพื่อนคนที่ว่าจะยอมไปส่งเธอไหม
“ไม่ได้หรอก ไอ้วินัยมันกลัวหมาหน้าบ้านลุงชูมีแต่กูที่หมามันไม่ไล่ เพราะกูสนิทกับไอ้ตูบหัวหน้าแก๊งมัน” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“......” เด็กสาวอมยิ้มเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเพื่อน ‘คนอะไรสนิทกับหมา’ เธอพลางคิดขึ้นในใจ
“ไม่ต้องมาขำเลย เอาการบ้านมาเร็ว ๆ” ห้าวหาญยังคงไม่ลืมเรื่องการบ้าน เขาแบมือแล้วทำกระดิกนิ้วเรียกเอาสมุดการบ้านจากเดือนเต็ม
“ขอโทษนะสิงห์ แต่เราส่งไปแล้ว” เดือนเต็มบอกกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด และเธอไม่ได้โกหก การบ้านมีกำหนดส่งก่อนเข้าแถว ทำให้เดือนเต็มนั้นรีบนำไปส่งเสียตั้งแต่ก่อนจะถึงเวลาเข้าแถวแล้ว
“ทำไมไม่รอกูก่อนวะ มึงก็รู้ว่ากูทำไม่เป็น” เด็กชายต่อว่าเพื่อน ถ้าเขารู้ก่อนว่ามีการบ้านก็คงจะขอลอกจากเดือนเต็มมาตั้งแต่ที่บ้านแล้ว แต่เพราะว่าเรื่องการบ้านไม่มีอยู่ในความทรงจำของห้าวหาญเลยสักนิด หากวิชิตรเพื่อนสนิทของเขาไม่ทักขึ้นมาก่อน ห้าวหาญก็คงจะไม่รู้เลยว่ามีการบ้านที่ต้องส่งเช้าวันนี้
“ทีหลังก็ไปทำกับเราที่บ้านสิ เราจะได้สอนให้ สิงห์มาลอกเราแบบนี้จะเข้าใจได้ยังไง ตอนสอบสิงห์ก็จะทำไม่ได้ด้วยนะ” สาวน้อยบอกกับเพื่อนด้วยความหวังดี
“เฮ้ย ๆ อีเดือนชวนไอ้สิงห์ไปบ้านว่ะ” เด็กชายอีกคนในแถว ที่แอบฟังสองคนคุยกันอยู่ ร้องแซวขึ้น ทั้งยังหันไปชักชวนให้เพื่อนคนอื่น ๆ โห่ร้องล้อเด็กสาวและเด็กชายที่กำลังพูดคุยกันอยู่ แก้มใสของเดือนเต็มเริ่มแดงขึ้นเพราะเลือดที่สูบฉีดพร้อมกับแสดงอาการเคอะเขิน อยู่ดี ๆ ก็ถูกล้อว่าเป็นแฟนกับเพื่อนผู้ชาย ถึงจะไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็เขินอยู่ดี
“เฮ้ย! เป็นแฟนกันหรือเปล่า ทำไมต้องไปหาที่บ้านด้วย” เด็กชายคนเดิมขยี้ซ้ำ ยิ่งทำให้เดือนเต็มประหม่าจนต้องก้มหน้าหลบสายตาเพื่อน ๆ ที่จองมองมา
“หุบปากไปเลยนะ กูจะไปลอกการบ้านมัน ฟงแฟนอะไรวะ เป็นเด็กเป็นเล็กหัดทะลึ่งเหรอมึง เดี๋ยวกูก็ทุบหน้าให้” ห้าวหาญโวยลั่นอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งยังทำท่าถกแขนเสื้อชูกำปั้นขู่ จนเด็กชายคนพูดต้องหันหน้าหนีไปด้วยความกลัว ใคร ๆ ก็รู้จักสรรพคุณของห้าวหาญคนนี้ทั้งนั้น เขาน่ะพูดริงทำจริง ยิ่งเป็นเรื่องใช้กำลังแล้วล่ะก็อย่าคิดไปชนกับเขาจะดีที่สุด
“สรุปคือมึงส่งการบ้านแล้วใช่ไหม” เขาหันมาถามย้ำอีกครั้งและได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ เดือนเต็มไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนถามเพราะยังเขินที่ถูกจับคู่ให้เป็นคนรักกับห้าวหาญอยู่
“เอาไงดีวะ ถ้ากูไปเรียนนิตยาตีกูตูดลายแน่ ๆ คาบเช้ากูโดดก็แล้วกัน” เขาบ่นกับตัวเองพลางคิดแผนการว่าจะหนีเรียนเพราะกลัวถูกทำโทษที่ไม่มีการบ้านส่ง และตัวเขานั้นก็รู้ดีว่าครูภาษาไทยแสนเฮี้ยบแค่ไหน แถมครูนิตยาคนนี้ก็ยังตีเจ็บมากด้วย
“ไม่ได้นะถ้าโดดเรียนเดี๋ยวก็โดนหักคะแนนหรอก” เดือนเต็มที่ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเพื่อน รีบเงยหน้าขึ้นห้าม สำหรับเดือนเต็มแล้วนั้น คะแนนมีค่าดั่งทองคำ แม้เสี้ยวเดียวเธอกไม่ยอมเสีย
“ก็มึงไม่เอาการบ้านมาให้กูลอก กูไม่มีการบ้านส่งกูก็โดนครูตีความผิดมึงนะอีเดือน ยังมาห้ามไม่ให้กูโดดอีกเหรอ” เด็กชายยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าป้ายความผิดให้อีกฝ่ายหน้าตาเฉย
“เราผิดตรงไหนสิงห์ไม่ยอมทำการบ้านเอง จะมาโทษเราได้ยังไง” เด็กสาวก็กอดอกเถียงอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน จะไปเป็นความผิดของเธอได้อย่างไร หากห้าวหาญทำการบ้านมาส่งจะผิดหรือจะถูกเขาก็ไม่โดนตีแน่ แต่นี่เขาเล่นไม่ทำมาเลย จนไม่มีอะไรไปส่ง ก็ต้องโดนทำโทษ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา แล้วไหนกันเล่าสิ่งที่จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของแม่เด็กสาวเดือนเต็ม
“ไม่รู้แหละมึงไม่ให้กูลอกการบ้าน กูไม่ยอมโดนครูตีหรอกมึงเป็นหัวหน้าห้อง ปลอมจดหมายลาให้กูด้วยก็แล้วกัน กูจะโดดไปเล่นตะกร้อกับไอ้พวกมอปลาย พอคาบสองค่อยขึ้นไปเรียน” ห้าวหาญออกคำสั่ง
“สิงห์ก็เขียนเองสิ อยากโดเองไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องมาสั่งเรา” เดือนเต็มก็ใช่ว่าจะยอมเขาง่าย ๆ เธอเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“กูไม่เขียนหรอก เขียนไม่เป็น แล้วนี่มันก็ความผิดมึงนะเดือน มึงทำให้กูไม่มีการบ้านส่งมึงต้องรับผิดชอบสิ” เด็กชายยังคงโต้เถียงไปข้าง ๆ คู ๆ ทั้งยังปัดป้ายความผิดให้กับอีกฝ่าย
“แต่ลายมือเราไม่เหมือนกัน” ไม้เด็ดของเดือนเต็มทำให้คนแถไปเรื่อยชะงักก่อนจะทำท่าครุ่นคิดตามสิ่งที่เดือนเต็มยกขึ้นมาพูด
“.....”
“เออ!! มึงก็เอาข้างขวาเขียนสิ มึงถนัดซ้ายไม่ใช่เหรอ” ห้าวหาญคิดขึ้นมาได้ว่าเดือนเต็มเป็นคนถนัดเขียนมือซ้าย หากใช้อีกข้างที่ไม่ถนัดลายมือก็คงจะออกมาไม่สวย แค่นี้ครูก็ดูไม่รู้แล้วว่าคนที่เขียนจดหมายเป็นใคร
“อืม เราเขียนให้ก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าครูจะเชื่อหรือเปล่านะ” สุดท้ายเด็กหญิงก็ต้องยอมให้คนดื้อรั้น เพราะเริ่มเหนื่อยกับการเถียงกับเขาแล้ว มันไม่มีที่ท่าว่าจะชนะเขาได้เลย
“มึงยืนยันกับครูสิว่าจริง ยังไงเขาก็เชื่อมึงอยู่แล้ว”
“เรา...ไม่ชอบโกหก” เด็กหญิงพูดด้วยความกลัวเพราะเธอไม่เคยโกหกใคร และก็ไม่ชอบที่จะพูดโกหกด้วย
“เรื่องมากจัง กูไปเรียนก็ได้วะ!!” พอเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ห้าวหาญก็นึกสงสารขึ้นมา ใบหน้าสดใสพลันหมองลงทันที ดวงตาที่เคยร่างเริงงดงามน่ามองเต็มไปด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิดราวกับว่าการโกหกเรื่องของเขานั้นเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเหลือเกิน สุดท้ายแล้วห้าวหาญก็ต้องใจอ่อน ยอมขึ้นห้องเรียนด้วยความจนปัญญาที่จะบังคับให้เดือนเต็มทำตามได้ โดนตีเจ็บแค่ครู่เดียว คงจะง่ายกว่าที่ต้องมาเห็นแม่เดือนเต็มทำหน้าทำตาเหมือนไปฆ่าใครตายแบบนี้