เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน จินเยว่ได้นำกระดาษที่เหมยกุ้ยยัดใส่มือเธอออกมาดูถึงกลับตกใจ ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่ากระดาษที่เหมยกุ้ยยัดใส่มือเธอนั้นต้องมีเงินอยู่ด้วยแน่นอน แต่เธอไม่คิดว่าหล่อนจะให้มากขนาดนี้จินเยว่จ้องมองเงินสามพันหยวนที่อยู่ในมือตนเองอย่างเหม่อลอย
ถึงแม้ในยุคปัจจุบันจินเยว่จะมีเงินฝากในธนาคารจำนวนหลายสิบล้านหยวน แต่เธอที่ย้อนมาอยู่ในยุคอดีตมีฐานะอยากจนมาก
ร่างนี้มีเงินแค่สิบหยวนที่แม่ของเด็กสาวให้เมื่อตอนที่ส่งเธอมาที่ชนบทครั้งแรก แม่ของเธอยัดเงินให้เธอจำนวนสิบหยวน พร้อมกับตั๋วอาหารห้าใบโดยที่พ่อของเธอไม่รู้ และตั้งแต่วันนั้นจนมาจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว
ครอบครัวของจินเยว่ไม่เคยถามข่าวคราว พ่อแม่ของจินเยว่ไม่เคยส่งเงินหรือตั๋วอาหารมาให้เด็กสาวอีกเลย เงินสิบหยวนที่ไม่กล้าใช้จ่ายซื้อของกินของใช้ หญิงสาวยังกล้าเอาไปให้ป๋อเหวินยืมอีกช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ
ช่วงเวลาที่วิญญาณของจินเยว่มาอยู่นี้ นโยบายของรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายลงและเริ่มสนับสนุนให้ประชาชนทำการค้าขายได้แล้ว
ภายในปลายปีนี้รัฐบาลจะประกาศเปิดสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก ตอนนี้เธอมีเวลาอีกแปดเดือน เพื่อเตรียมความพร้อมเธอจะต้องได้ใบรับรองของมัธยมปลายมาให้ได้เสียก่อน เพราะตอนนี้เธอมีแค่ใบประกาศของมัธยมต้น ถือว่าเงินสามพันหยวนที่เหมยกุ้ยให้เธอมา สามารถช่วยให้จินเยว่แก้ปัญหาได้พอดี
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา จินเยว่สังเกตเห็นหลายครอบครัวส่งลูกเข้าไปเรียนที่มัธยมในเมืองและหลายคนจบมัธยมปลายแล้ว เธอต้องการความช่วยเหลือจากกัปตันทีมเพื่อออกหนังสือรับรองให้
แต่คนที่จะช่วยเธอได้ดีที่สุดคือป้าเจียง โชคดีที่ป้าเจียงเป็นภรรยาของกัปตันทีมที่มีเหตุผลพอสมควร ดังนั้นการที่เธอจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากป้าเจียงจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“จินเยว่มากินข้าว”
“เธอกินเลยเจียลี่ฉันไม่หิว เมื่อตอนที่เข้าเมืองฉันกินซาลาเปาไปแล้ว”
“เธอเอาเงินมาจากไหนไปซื้อซาลาเปา”
เจียลี่ถามด้วยความแปลกใจเธอรู้ว่าจินเยว่ไม่มีเงิน ถ้าจินเยว่มีเงินเธอต้องเอาออกมาใช้สิ เพราะหลายปีที่เธออยู่กับจินเยว่มา เธอไม่เคยเห็นจินเยว่ซื้ออะไรเลย
เจียลี่เคยชวนจินเยว่เข้าไปในเมืองด้วยกันหลายครั้ง แต่จินเยว่ก็บอกว่าไม่ไปเพราะไม่มีเงิน วันนี้กลับบอกว่าซื้อซาลาเปากินแล้ว นั้นจึงทำให้เจียลี่แปลกใจเป็นอย่างมาก
“ฉันมีเงินแม่ให้ไว้ตั้งนานแล้ว วันนี้มีโอกาสไปที่เมือง ฉันจึงซื้อซาลาเปากินนะเพราะฉันไม่ได้กินอาหารดี ๆ มาตั้งนานแล้ว”
“อ่อ ดีแล้วที่เธอซื้ออะไรให้ตัวเองกินบาง ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองหิวจนเป็นลม”
เจียลี่พยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอน ถึงแม้เจียลี่จะคอยพูดคุยและทำเหมือนเป็นห่วงจินเยว่ แต่แท้จริงแล้วเธอไม่เคยคิดว่าจินเยว่คู่ควรเป็นเพื่อนกับเธอเลย
เพราะจินเยว่มีฐานะยากจนและหน้าตาก็น่าเกลียด แต่เจียลี่ก็ต้องคอยทำทีห่วงใยจินเยว่ เพื่อใช้งานอีกฝ่ายให้ซักผ้าและทำงานที่ใช้แรงงานแทนเธอในไร่
เงินสิบหยวนในยุคสมัยนี้ สามารถซื้อของได้หลายอย่าง เพราะค่าแรงของคนงานที่ทำงานในโรงงานเดือนละสี่สิบสามหยวน ครอบครัวของชาวบ้านที่ทำงานในไร่หนึ่งปีมีเงินเก็บไม่ถึงห้าสิบหยวนด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นเงินสิบหยวนที่เคยอยู่ในมือของจินเยว่ บางครอบครัวสามารถนำไปใช้จ่ายได้อย่างน้อยก็สามถึงสี่เดือน เสียดายที่หญิงสาวที่แสนจะโง่คนนี้ เอาไปให้ผู้ที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอย่างป๋อเหวินยืมและจินเยว่คิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เงินสิบหยวนคืนเสียแล้ว
จินเยว่คิดว่าพรุ่งนี้เช้าเธอจะไปหาป้าเจียง เพื่อให้ป้าเจียงช่วยเธอพูดกับกัปตันทีม เรื่องหนังสือรับรองเพื่อไปเรียนต่อมัธยมปลาย อีกไม่ถึงสองเดือนก็ถึงช่วงตรุษจีนจินเยว่วางแผนว่าหลังตรุษจีน เธอจะออกไปจากหมู่บ้าน
เพื่อไปเรียนหนังสือที่ในเมือง และเธอต้องหาทางซื้อบ้านที่เซินเจิ้นไว้ให้ได้ เพราะต่อไปในอนาคตอีกไม่กี่ปี ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในเซินเจิ้นจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จินเยว่ตื่นนอนขึ้นมาภายในห้องนอนของเธอในยุคปัจจุบัน เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอส่งเสียงดังรบกวนหนวกหูมากจนเธอทนไม่ไหวต้องกดรับ
“สวัสดีค่ะจินเยว่รับสาย”
จินเยว่เห็นเป็นเบอร์แปลก ๆ ที่เธอไม่เคยรู้จักจึงใช้เวลาสักพักก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
“สวัสดีครับผมทนายความหรงซิ่ง จากสำนักงานทนายความหมิงยู่ ไม่ทราบว่าคุณจินเยว่สะดวกจะให้ผมเข้าไปพบที่บ้านในวันนี้ไหมครับ?”
“คุณทนายมีอะไรด่วนไหมคะ คุณสามารถเข้ามาพบฉันได้ที่บ้านได้เลยตอนสิบโมงค่ะ”
“ได้ครับผมจะเข้าไป สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
จินเยว่มองโทรศัพท์อย่างแปลกใจ ทนายหรงซิ่งเป็นทนายความที่คุณยายไว้วางใจมอบหมายให้ทำพินัยกรรมให้คุณยาย
และเป็นคนดูแลเกี่ยวกับทรัพย์สินทั้งหมดของคุณยาย จินเยว่ก็ยังคงไว้วางใจคุณลุงทนายเช่นกัน เพราะเธอยังคงให้สำนักงานทนายความของเขาดูแลสินทรัพย์ให้เธออยู่
จินเยว่อยากจะรู้ว่าอีกฝ่ายมีธุระอะไรถึงต้องโทรมาขอพบเธอตั้งแต่เช้าแบบนี้
เมื่อทนายความมาถึงความสงสัยของจินเยว่ ก็ได้รับการแก้ไขแต่ไม่ทั้งหมด เพราะสิ่งที่คุณยายสั่งให้ทนายความทำนั้น ได้สร้างความสงสัยเพิ่มขึ้นอีกอย่าง
“หมายความว่าคุณยายยังมีบ้านอีกหลังอยู่ที่เซินเจิ้น”
“ใช่ครับมาดามฟู่ให้ทางสำนักงานทนายความของเรา จัดการเรื่องบ้านหลังนี้ โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าคุณหมอย้ายกลับมาที่กว่างโจวภายในสามปี ให้ทางเราทำเรื่องมอบบ้านหลังนี้ให้กับคุณจินเยว่ แต่ถ้าผ่านไปสามปีคุณจินเยว่ยังไม่ย้ายกลับมาที่กว่างโจว ให้ทางสำนักงานทนายความประกาศขายบ้านหลังนี้และบริจาคเงินเข้าหน่วยงานการกุศลของรัฐบาลครับ”
“ทำไมคุณยายต้องทำแบบนั้นด้วยคะ?”
“ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน ผมทำไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไว้ ตอนนี้เมื่อคุณจินเยว่ได้ย้ายกลับมาที่กวางโจวตามเงื่อนไขของมาดามฟู่
ทางสำนักงานทนายความของเราจึงได้ทำการโอนโฉนดและทะเบียนบ้านเป็นชื่อของคุณเรียบร้อยแล้วครับ นี้คือกุญแจบ้านและเอกสารสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ครับ
ถ้ามีปัญหาอะไรคุณจินเยว่สามารถติดต่อสำนักงานทนายหมิงยู่ได้ตลอดเวลาครับ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมต้องขอตัวกลับก่อนนะครับพอดีมีนัด”
จินเยว่นั่งมองเอกสารและกุญแจบ้านที่ทนายบอกว่าตั้งอยู่ที่เซินเจิ้นอย่างสนใจ เธอไม่เคยรู้เลยว่าคุณยายมีบ้านอีกหลังที่นั่น
ถ้าแม่ของเธอรู้ว่าคุณยายยกบ้านที่อยู่เซินเจิ้นให้เธอ แม่ของเธอต้องโมโหจนความดันขึ้นแน่ ๆ เพราะอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่เซินเจิ้นราคาแพงมาก ปัจจุบันนี้ถ้ามีเงินไม่ถึงร้อยล้านอย่าหวังว่าจะได้บ้านมาครอบครอง เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวและเมืองศูนย์รวมเศรษฐกิจก็ว่าได้
บ้านแบบไหนที่คุณยายซื้อไว้จินเยว่นึกไม่ออกเลยเพราะเธอไม่เคยรู้เลยว่าคุณยายมีบ้านอยู่ที่เซินเจิ้นมาก่อน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี เธอไม่เคยได้ยินคุณยายกล่าวถึงบ้านหลังนี้เลยสักครั้ง
หรือว่าคุณยายลืมเพราะมีสมบัติมากเกินไป จึงทำให้หลงลืมไปว่าเคยมีบ้านหลังนี้ จินเยว่อยากจะเดินทางไปดูบ้านหลังนั้นในวันนี้ เธอจึงตัดสินใจจัดกระเป๋าเพื่อเดินทางจากที่บ้านของคุณยายที่กว่างโจวไปเซินเจิ้นทันที จินเยว่คำนวณเวลาในการเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ เธอก็หน้าจะถึงจุดหมายปลายทาง
ในระหว่างที่จินเยว่กำลังขับรถอยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เมื่อเห็นเบอร์ที่โทรมาจินเยว่ก็กดรับผ่านบลูทูธด้วยความดีใจ
“ไงถิงถิง?”
“จินเยว่ เธอไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนใช่ไหม?”
“โอ้ ทำไมฉันถึงไม่เห็นเธอเป็นเพื่อนล่ะ?”
“ถ้าเห็นฉันเป็นเพื่อนของเธอทำไมมีเรื่องอะไรไม่เคยบอกฉันเลย?”
“เรื่องอะไรล่ะ ที่ฉันไม่เคยบอกเธอ?”
“ก็เรื่องไอ้สารเลวอี้หานและผู้หญิงหน้าด้านซินอี้ยังไงละ ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าคนสารเลวสองคนนั้นทำเรื่องไว้กับเธอ
ถ้าสองคนนั้นไม่ควงกันออกมาเปิดตัวในงานเลี้ยง ฉันก็ไม่รู้ว่าสองคนนั้นแอบคบกันลับหลังเธอ ทำไมเธอถึงไม่เล่าให้ฉันฟัง?”
“โอ้! พวกเขาสองคนควงกันออกมาเปิดตัวแล้วหรือ?”
“จินเยว่ เธอโอเคไหม?”
ถิงถิงถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เธอไม่น่าปากเร็วพูดออกไปเลยว่า หญิงร้ายชายเลวคู่นั้นควงกันออกงาน เพื่อเปิดตัวให้คนอื่นรู้ว่ากำลังคบกันอยู่ให้จินเยว่ฟังเลย
“ฉันไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านมาแล้วฉันก็ไม่อยากจดจำอะไรอีก ถ้าพวกเขาอยากจะเปิดตัวหรืออะไรก็ช่างเถอะ”
“จินเยว่ เป็นเพราะเรื่องนี้ใช่ไหมถึงทำให้เธอตัดสินใจขอย้ายไปกว่างโจว?”
“อืม เรื่องนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง”
“ไหนเธอบอกว่าไม่เป็นไรยังไงละ ฉันจะลางานแล้วเดินทางไปหาเธอ”
“ไม่จำเป็นตอนนี้ฉันทำใจได้แล้ว ช่วงนี้ฉันอยู่ในระหว่างลาพักผ่อนเธอไม่ต้องมาหรอก”
จินเยว่และถิงถิงเป็นเพื่อนกันสมัยเรียนมหาลัย ทั้งสองคนเรียนคณะแพทย์เหมือนกันจึงทำให้สนิทกันมานานหลายปี
“เธอไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ ทำไมฉันต้องเสียงใจและให้ความสำคัญกับคนที่ไม่ได้รักฉัน ฉันอาจจะมีเสียความรู้สึกไปบ้างแต่ฉันก็ไม่เป็นไรจริง ๆ เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะถิงถิง”
“ดีแล้วที่เธอไม่เป็นไร ปีหน้าเธอต้องมาร่วมงานแต่งงานของฉันกับซินหยางให้ได้นะ”
“ฉันยินดีกับเธอด้วยนะถิงถิง ในที่สุดเธอก็ตกลงใจได้สักทีนะหลังจากที่ถูกขอแต่งงานครบสามครั้ง ฉันยินดีกับเธอสองคนด้วยนะ ฉันจะต้องไปรวมงานแต่งของเธอแน่นอน”
จินเยว่แสดงความยินดีกับเพื่อนด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข เพราะซินหยางและถิงถิงคบกันมานาน ทั้งสองคนตกลงเป็นแฟนกันตั้งแต่เรียนมหาลัยแพทย์ปีสาม
จนกระทั่งเรียนจบและเริ่มทำงาน ซินหยางขอถิงถิงแต่งงานสองครั้งแล้วแต่อีกฝ่ายยังไม่ตกลงสักที ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามถิงถิงคงจะตัดสินใจได้แล้วถึงได้ตอบตกลง
“ขอแต่งงานครบสามครั้งอะไรละ”
ถิงถิงอดหัวเราะไม่ได้ เธอรู้ว่าจินเยว่กำลังแซวเธอที่ ซินหยางขอแต่งงานเธอถึงสามครั้ง
“แน่นอนซินหยางเป็นผู้ชายที่มีความอดทนจริง ๆ ถึงรักเธอแบบมั่นคงแบบนี้”
“ฉันเป็นผู้หญิงสวยและเก่ง เขาถึงรักฉันมั่นคงยังไงละ”
“จ้า เธอสาวและสวยแถมเก่งอีกด้วย แต่อย่ามั่วเอาเวลาทำแต่งานละ เธอต้องหาเวลาไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับซินหยางด้วยเข้าใจไหม?”
“ฉันรู้แล้ว จินเยว่แค่นี้ก่อนนะฉันต้องไปทำงานแล้ว”
“โอเค บาย”
“บาย เธอดูแลตัวเองดี ๆ นะ”
“อืม ฉันรู้”
จินเยว่ขับรถยนต์มาจอดที่กำแพงหน้าบ้านโบราณที่คุณยายยกให้เธอ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองออกมาประมาณสามสิบกิโลเมตร
สมัยก่อนบริเวณแถวนี้อาจจะถือว่าอยู่ห่างตัวเมืองมาก แต่ปัจจุบันมีรถโดยสารสาธารณะและรถยนต์ส่วนตัว ประกอบกับมีการขยายตัวของเมืองออกมา จึงทำให้สะดวกในการเดินทาง
ถึงแม้เซินเจิ้นจะถูกจัดให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ แต่ก็มีบางพื้นที่ที่ยังมีบ้านแบบสมัยเก่าอยู่ด้วย บ้านของคุณยายอยู่นอกพื้นที่ของการเวนคืนที่ดิน เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งเศรษฐกิจและที่อยู่อาศัย
จึงทำให้ยังสามารถรักษาสภาพบ้านไว้ได้ และตรงนี้เป็นหมู่บ้านโบราณทำให้ทางรัฐบาลมีนโยบายอนุรักษ์ไว้
บ้านที่คุณยายให้ไว้เป็นบ้านชั้นเดียว ที่มีพื้นที่ใช้สอยประมาณหนึ่งร้อยตารางวา มีสองห้องนอนหนึ่งห้องหนึ่งโถง หนึ่งห้องครัวและห้องน้ำสองห้อง ภายในบ้านยังคงตกแต่งแบบสมัยเก่า
จินเยว่เริ่มลงมือทำความสะอาด ทนายความบอกว่ามีแม่บ้านมาทำความสะอาดเดือนละสองครั้ง จึงทำให้ภายในบ้านไม่ค่อยมีฝุ่นเท่าไหร่
จินเยว่ดึงผ้าสีขาวที่ใช้คลุมเฟอร์นิเจอร์ออกทีละผืน ไม่ว่าจะเป็นเตียงนอน โซฟาชุดรับแขกที่ทำจากไม้เนื้อแข็งหรือโต๊ะกินข้าว ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่ดีมากและพร้อมใช้งาน จินเยว่ใช้เวลาทำความสะอาดเกือบครึ่งวันทุกอย่างถึงสะอาดเอี่ยม
ด้านหลังบ้านมีพื้นที่สำหรับปลูกต้นไม้นิดหน่อย จินเยว่เห็นว่าคล้ายกับเป็นแปลงผักเก่าที่ตอนนี้มีหญ้าเกิดขึ้นเต็มไปหมด
ส่วนด้านหน้ามีเป็นลานปูนที่มีขนาดเล็กเอาไว้เดินออกกำลังกาย หรือไม่ก็คงจะเอาไว้ให้สมาชิกในครอบครัวใช้ทำกิจกรรมร่วมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ
เมื่อเดินสำรวจบ้านจนทั่วจินเยว่รู้สึกชอบบ้านหลังนี้มาก เธอรู้สึกเหมือนเคยอยู่บ้านหลังนี้มาก่อน เพราะรู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้กลับมาบ้านของตัวเอง