เหตุการณ์ก่อนหน้านี้...
...ใครต่างบอกว่าสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุด น้อยคนนักจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นหัวใจต่างหากที่สำคัญที่สุด หากสมองตายแต่หัวใจยังเต้นก็ยังต่อลมหายใจให้ผู้ป่วยได้ ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอกนั้นจึงสำคัญมาก ปุณณกันต์ในวัย 39 ปีจึงไม่ค่อยมีเวลาเท่าไรนัก เขาเป็นทั้งหมอ เป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งหัวหน้าครอบครัว เป็นสามี และเป็นพ่อของลูก
“อาจารย์ลงเวรวันไหนคะเนี่ย” เสียงของแพทย์สาวคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้แพทย์หนุ่มหันไปมอง เขายิ้มทักทายหมอฟ้าใส ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานของเขา ชายหนุ่มยิ้มแย้มกับเพื่อนร่วมงานตามฉบับของหนุ่มอัธยาศัยดี
“ไม่รู้เลย ผมยังไม่ได้ดูตารางเวรเลยครับ”
“หึ งานยุ่งจริง ๆ ช่วงนี้”
“สุด ๆ ครับ” เขาว่าพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ใครบอกว่าทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน แต่สำหรับปุณณกันต์นั้นมีเวลาแค่สามชั่วโมงสำหรับการนอนเท่านั้น
“ไหวไหมคะ อาจารย์แบ่งเวรมาทางนี้ก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ ช่วงนี้ตึง ๆ ครับ” หมายถึงเงินในกระเป๋าน่ะที่ตึง แม้นจะมีอาชีพการงานที่ดี แต่ภาระครอบครัวนั้นไม่ดีตามไปด้วย
“ฮ่า ๆ บอกใครใครจะเชื่อคะเนี่ย” ไม่มีใครเชื่อเขาหรอก หมอหนุ่มสกุลดังคนนี้ เป็นทายาทคนโตของธนาคารธนธาดา (TTD bank) ธนาคารเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง เป็นธนาคารแรก ๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้
“ครับ” เขาไม่แก้อะไรทั้งนั้น ใครจะไปเชื่อว่าเขาไม่ได้เงินสักบาทจากธุรกิจครอบครัว ด้วยความที่ตนเลือกที่จะทำงานเป็นหมอ คนเป็นพ่อจึงยื่นคำขาดว่าเขาต้องไม่พึ่งเงินครอบครัวอีกต่อไป
...ชายหนุ่มเดินเลี่ยงเพื่อนแพทย์เข้าไปในห้องนอนเวร เขามีผ่าตัดอีกสองชั่วโมงหลังจากนี้ ด้วยเวลาและเคสที่ล้นมือแพทย์ คิวที่ยาวแน่นของแพทย์แต่ละคนจึงทำให้เขารับคิวผ่าตัดดึก ๆ ดื่น ๆ เสมอ ด้วยความที่ตอนเช้าต้องเข้าไปสอนนักศึกษาแพทย์ปีสอง ในวิชากายวิภาคศาสตร์ และสอนเลกเชอร์ในบางวิชาที่เขารับผิดชอบ และก็ยังมีสอนนักศึกษาแพทย์ชั้นพรีคลินิก ในวิชาเฉพาะที่เขาจบมา ซึ่งก็เกี่ยวกับวิชาศัลยกรรมหัวใจและทรวงอกที่ตนทำงานอยู่
ปุณณกันต์จบปริญญาเอกสาขากายวิภาคศาสตร์ หลังจากเรียนจบแพทย์ ขณะเดียวกันก็ทำงานเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ก่อนจะเรียนต่อยอดไปเรื่อย ๆ จนจบวิชาเฉพาะศัลยกรรมหัวใจและทรวงอก ชีวิตนี้มีแต่เรียนกับทำงานจนอายุของเขานั้นเลยเลขสามมานาน กระทั่งได้พบรักกับภรรยาสาวในวัยสามสิบสองปี
“ผมกำลังพักครับ” เขาส่งข้อความหาเธอ ก่อนจะเลื่อนสายตามองดูเวลาที่ดึกมากแล้ว ปุณณกันต์ตัดสินใจกดยกเลิกข้อความเพราะอยากให้เธอพักผ่อนจากการเลี้ยงลูก แต่ทว่า
ติ๊ง!
[ส่งอะไรมาเหรอ] กลับมีข้อความส่งกลับมาจากภรรยาสาว ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเล็กน้อย
“บอกว่าพักแล้วน่ะ”
“จริง ๆ คิดถึงครับ”
“ทำไมยังไม่นอน” เห็นเธอยังไม่นอน ปลายนิ้วก็รัวข้อความส่งให้ทันที
ติ๊ง!
[นอนไม่หลับค่ะ]
“ทำไมเหรอ แล้วลูกนอนยังครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นปม ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกจะกวนจนเธอไม่ได้นอน
[นอนแล้วค่ะ] ลัลนา (ลัน-ละ-นา) ตอบกลับพร้อมกับถ่ายรูปลูกนอนหลับปุ๋ยมาให้เขาดู
“อยากเห็นหน้านาด้วย”
[ไม่เอา นาไม่ได้แต่งหน้าเลย วันนี้โทรมสุด ๆ]
“คิดถึงครับ” เขาส่งข้อความบอกคิดถึงอีกครั้ง อยากส่ง ๆ มันอย่างนี้ทุกวัน ไม่ได้เจอหน้าภรรยาและลูกมาหลายวันแล้ว ใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลอย่างกับว่าเป็นบ้านหลังที่หนึ่ง ส่วนบ้านหลังที่สองนั้นคือบ้านตนเอง
[คิดถึงเหมือนกันค่ะ พักผ่อนนะ]
“อยากคุยกับนา”
[คุณหมอต้องนอนพักนะ] เขาไม่ชอบให้เธอเรียกเขาว่าหมอเท่าไรนัก ที่โรงพยาบาล ที่มหา’ลัยทุกคนต่างเรียกเขาว่าหมอ ที่บ้านเมียยังเรียกเขาว่าหมออีก
“ครับ นาก็นอนนะ ถ้ามีอะไรกังวลก็ระบายออกมาให้ผมรู้ด้วยนะ อย่าเก็บไว้คนเดียว” เธอไม่ใช่คนนอนหลับยาก แต่ว่าวันนี้กลับนอนไม่หลับ คงมีเรื่องกังวลใจ
[โทรหาได้เปล่า]
“ได้สิ” ไม่รอให้เธอเป็นฝ่ายโทรมา ปุณณกันต์กดโทรหาภรรยาสาวก่อนที่เธอจะโทรมาเสียอีก
ติ๊ด!
ซึ่งรอไม่นานเธอก็กดรับ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
[คือ...หมอ นากลัวท้อง]
“หืม...”
[นารู้สึกแปลก ๆ เมนส์ก็ยังไม่มา รู้สึกอ้วนด้วย]
“อ้าวเหรอ...” เขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ตอนนี้ตนมีโซ่ทองคล้องใจแล้ว อีกอย่างงานของเขาก็เยอะมากไม่มีเวลาให้เมียให้ลูก ไหนจะค่าใช้จ่ายที่จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีก “นากินยาคุมทุกวันไหม หรือว่าลืมหรือเปล่า”
[กินทุกวันสิ นาก็ไม่ได้อยากมีลูกอีกนะ]
“_”
[นาอยากทำงานแล้ว นาเบื่อบ้าน แล้วนาก็ไม่อยากให้คุณหมอทำงานหนักหาเงินคนเดียวด้วย] เสียงของเธอสั่นเครือ
“พรุ่งนี้ลองตรวจดูนะครับ ผมจะรีบกลับบ้าน” ยังไม่ได้ดูตารางเวรหรอก แต่ถ้าไม่มียังไงก็คงต้องฝากเพื่อนก่อนสักชั่วโมง
[ไม่กล้าตรวจเลยอะ]
“ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเรามีอีกคนก็ไม่ได้แย่หรอก ผมดูแลได้”
[โห นาไม่อยากท้องแล้วอะ] น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย ซึ่งลูกสาวก็กำลังเข้าโรงเรียน หลังจากที่เรียนโฮมสคูลกับคนเป็นแม่ ถ้าเธอท้องอีกก็เท่ากับว่าจะไม่ได้กลับไปทำงานอีกเลย อายุก็สามสิบห้าแล้ว
“ไม่เป็นไรนะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย พรุ่งนี้ตรวจนะครับ” เขาไม่ได้อยากขัดใจเธอหรอก แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้อยากให้เธอคิดมาก อยากให้เธอนอนก่อน
[ค่ะ ฝันดีนะคะ ทำงานสู้ ๆ นะ คิดถึงคุณมาก ไม่อยากให้ทำงานหนักเลย] เธอว่าเสียงอ่อนจนคนถือสายอยู่นั้นแทบไม่ได้ยินเสียง ปุณณ์กันต์ยิ้มให้โทรศัพท์บาง ๆ ก่อนที่เธอจะกดตัดสายไปในที่สุด
...งานหนักและเครียดมากแค่ไหน แต่พอได้ฟังเสียงของเจ้าของหัวใจก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมา ถ้าเธอท้องอีกก็คงต้องทำงานหนักกว่าเดิม แต่เชื่อเถอะว่าเขาจะทนและทำงานหนักเพื่อเธอและลูก ๆ ได้อย่างไม่อิดออดเลยล่ะ