บทที่ 5 ช่วยเหลือ

1822 Words
รินลดาไม่ได้เข้ามาพบเขาจริง ๆ ชายหนุ่มรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อโทรไปอีกฝ่ายก็ไม่รับสายของเขาแล้ว ปุณณกันต์นั่งรอภายในห้องพักอาจารย์ เขารอตั้งแต่สอนเสร็จ จนตอนนี้จะถึงช่วงเย็นแล้ว ครืด ครืดด~ อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฝ่ามือหนารีบคว้ามาดู ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ เมื่อคนที่โทรมานั้นเป็นภรรยาสาว ติ๊ด! “ฮัลโหลครับ” น้ำเสียงราบเรียบของเขานั้นทำเอาต้นสายที่โทรมาแปลกใจ ปกติคนเป็นสามีทำน้ำเสียงกับเธอแบบนี้เสียเมื่อไร [เลิกงานแล้วนี่คะ วันนี้กลับบ้านหรือเปล่า] น้ำเสียงของเธอลุ้น ๆ อยากให้คนเป็นสามีกลับบ้าน ถ้ากลับก็คงได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูก “ผมมีเรื่องต้องทำหน่อยนะ นากินข้าวยังครับ” [เรื่องต้องทำเหรอ...] พึมพำเสียงแผ่วเบา ไม่ได้สนใจประโยคหลังที่เขาถามเลยสักนิด [มีเรื่องอะไรเหรอ] “นักศึกษาน่ะ” [หืม คนนั้นน่ะเหรอ] “ช่าย~ เธอไม่มาพบผมเลย ก็เลยว่าจะไปตามดูสักหน่อย” [อย่างนั้นเหรอ ไม่ลองโทรถามผู้ปกครองของเธอดูก่อน] ลัลนาเองก็เข้าใจคนเป็นสามี เธอเองก็เคยเป็นนักศึกษามาก่อน เวลามีปัญหาอะไรอาจารย์ที่ปรึกษานี่แหละคอยช่วย เคี่ยวเข็ญให้เรียนจนจบ “ลองโทรแล้วครับ ไม่ติดสักเบอร์ แต่ผมมีที่อยู่ของเธออยู่” ในเอกสารส่วนตัวของรินลดาระบุที่อยู่ไว้ ชายหนุ่มอยากลองไปตามดูก่อน ถ้าเธอยืนยันจะลาออกก็คงห้ามไม่ได้ แต่ว่าในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาก็คงต้องพยายามทำให้เต็มที่ [โอเคค่ะ ถ้ายังไงคุณหมอโทรมาบอกนาด้วยนะว่าจะกลับบ้านตอนไหน นาจะรอ] “นาไม่ต้องรอนะ กินข้าวกับลูก แล้วก็นอนเลยนะ” [นาอยากรอคุณนี่...เอาเป็นว่าโทรมาบอกนะ] เขากำลังจะเอ่ยปากขัดไม่ให้เธอรอ แต่สาวเจ้าก็ชิงกดวางสายไปเสียก่อน ชายหนุ่มอยากให้เธอพักผ่อน เขารู้ว่าเธอเลี้ยงลูกเหนื่อยแถมตอนนี้ก็ยังท้องอีกด้วย ...ปุณณกันต์มองที่อยู่ของรินลดา ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรง ๆ มีเพื่อนร่วมงานพูดถึงเรื่องนี้ไม่น้อยเลย นักศึกษาไม่เข้าเรียนทั้ง ๆ ที่สอบติดมหา’ลัยดัง คงต้องมีปัญหา ไม่ใช่เพราะขี้เกียจไม่อยากเรียนหรอก คิดได้อย่างนั้นเขาก็ลุกเตรียมไปหารินลดาตามที่อยู่ที่มีในมือ ...หมู่บ้านที่ปรากฏในประวัติส่วนตัวของนักศึกษานั้นเป็นหมู่บ้านทาวน์เฮ้าส์ เขาก้มมองสลับกับมองป้ายชื่อหมู่บ้านด้วยความลังเล ปุณณกันต์ขับรถเบนซ์คันหรูที่ซื้อไว้ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ แน่นอนว่าตอนนั้นมีเงินเหลือเยอะมากพอตัว จึงทำให้เขาผยองพองขนไม่ยอมเชื่อฟังคนเป็นพ่อ ก่อนที่จะแต่งงาน ซื้อบ้านและมีลูก เงินเหล่านั้นก็ร่อยหรอลงด้วยความรวดเร็ว “บ้านเลขที่เท่าไรครับ” พอขับเข้ามาในหมู่บ้านก็มียามถาม ปุณณกันต์เลื่อนสายตาไปมองบ้านเลขที่ของรินลดา “53/244 ครับ” “แลกบัตรเข้าด้วยครับ” ชายหนุ่มยื่นบัตรประจำตัวประชาชนให้อีกฝ่าย ก่อนจะขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน พลางเลื่อนสายตามองป้ายเลขที่บ้านไปด้วย โชคดีที่รปภ.ได้บอกซอยไว้ให้จึงไม่ได้ยากที่จะตามหา “50 51 52 53...” เอี๊ยด! พอนับตามตัวเลขได้แล้ว ฝ่าเท้าหนาก็เหยียบเบรกทันที เขาเหยียบกะทันหันแม้แต่ตัวเองยังแทบหัวทิ่ม โชคดีที่ไม่มีรถทางด้านหลังขับตามมา “เงียบจัง” เขาชะเง้อคอมองเข้าไปในบ้าน เป็นทาวน์เฮ้าส์สองชั้นซึ่งติดกับบ้านหลังอื่น ๆ เหมือนกับทาวน์เฮ้าส์หลังอื่น ๆ แต่บ้านเลขที่ 53 นี้ดูเก่ากว่าบ้านหลังอื่น แถมยังเงียบราวกับเป็นบ้านร้าง ทว่าพอเห็นข้าวของเครื่องใช้รวมถึงราวตากผ้าก็พอเดาได้ว่ายังมีผู้คนอาศัยอยู่ ปุณณกันต์ตัดสินใจลงจากรถ ไปกดกริ่งเรียกเจ้าของบ้านด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่มั่นใจเท่าไรนัก กริ่ง กริ่ง~ เสียงกริ่งดังเข้าไปในบ้าน ทำให้คนที่ถูกขังอยู่ข้างในนั้นเบิกตากว้าง เธอกลืนน้ำลายลงคอเลื่อนสายตามองดูเวลาบนฝ่าผนัง เวลานี้คงไม่มีใครอยู่บ้าน แล้วใครกันที่มากดกริ่งเวลานี้ รินลดาในสภาพมอมแมม ใบหน้าของเธอนั้นมีรอยฟกช้ำเต็มไปด้วยร่องรอยถูกทำร้าย หน้าผากของเธอนูนเขียวช้ำจากการถูกจับโขกใส่โต๊ะแรง ๆ มันไม่แตกและไม่มีเลือด ราวกับว่าคั่งเลือดอยู่ข้างใน “ฮึก ช่วยด้วย! ชะ ช่วยหนูด้วย!!” เธอตะโกนเสียงดัง หันไปมองหน้าต่างที่ถูกล็อกจากข้างนอก โดยการใช้ไม้ทาบปิดไว้ เธอยกเก้าอี้ขึ้นทุ่มแรง ๆ ให้บุคคลภายนอกนั้นรับรู้ว่าเธอถูกขังอยู่ข้างใน ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! บานหน้าต่างไม้ที่สะเทือนอย่างแรงนั้นทำให้หมอหนุ่มเลื่อนสายตาขึ้นมอง เขาขมวดคิ้วด้วยความฉงนใจ “ไรวะ” เขาพึมพำเสียงแผ่วเบากับตัวเอง รั้วบ้านก็ไม่ได้สูงพอที่จะปีน แต่จะปีนไปทำไม ถ้าปีนไปแล้วโดนข้อหาบุกรุกจะทำยังไง แล้วทำไมบานหน้าต่างถึงสั่นสะเทือนแรงอย่างนี้ ราวกับว่ามีคนกำลังพยายามส่งสัญญาณบางอย่าง “ดูหนังมากไปเปล่าวะ” คราวนี้เขาพูดคนเดียว พลางยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองด้วยความสับสน ขณะนั้นเองที่สายตาเหลือบไปเห็นเพื่อนบ้านที่เปิดม่านหน้าประตูออกมาดู หมอหนุ่มไม่ลังเลที่จะเดินไปกดกริ่งเพื่อนบ้าน กริ่ง~ กริ่ง~ ซึ่งไม่นานเพื่อนบ้านหลังนี้ก็เดินออกมาเปิดประตูด้วยท่าทีหวาดระแวง ราวกับกลัวอะไรบางอย่าง “มาหาใครพ่อหนุ่ม” เธอเป็นหญิงวัยกลางคน รูปร่างท้วม หน้าตานั้นไม่สดใสเลยสักนิด “ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของรินลดาน่ะครับ เธออยู่บ้านหลังนี้ใช่ไหมครับ” เขาพยักพเยิดหน้าไปบ้านข้าง ๆ “เอ่อ...” เธอมีสีหน้าเลิ่กลั่ก ท่าทีหวาดกลัวนั้นทำให้ปุณณกันต์สงสัยมากเลยทีเดียว “อย่ายุ่งเลยดีกว่าค่ะอาจารย์” “หืม...ไม่ยุ่งไม่ได้หรอกครับ นักศึกษากำลังหลุดจากระบบการศึกษาแบบนี้ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ” เขาว่าด้วยน้ำเสียงอ่อน เขาก็ไม่อยากมาบ้านใครยามวิกาลแบบนี้หรอก “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” “ทำไมครับ ทำไมต้องช่วยเหรอครับ...หรือเธอมีปัญหาอะไรอยู่” หญิงวัยกลางคนไม่กล้าพูดอะไรเท่าไรนัก มันไม่ใช่เรื่องของเธอ และอาจจะทำให้มีปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ทว่าขณะนั้นเอง ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! บานหน้าต่างบริเวณชั้นสองของบ้านก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง เหมือนกับมีคนเอาของหนักชิ้นใหญ่ทุ่มใส่มัน “เธอถูกขังเหรอครับ” เขามองพร้อมกับเอ่ยปากถามด้วยความใคร่รู้ ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วงลูกศิษย์ “เอ่อ...” เพื่อนบ้านไม่กล้าพูด ก่อนที่ไม่นานจะมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ตุบ! ตุบ! ตุบ! “บ้าฉิบ!” เขาทนไม่ได้หรอก ชายหนุ่มเดินกลับทางเดิมหมายจะไปปีนรั้วบ้านของรินลดาเข้าไป แต่ทว่า “อาจารย์อย่าไปยุ่งเลยดีกว่าค่ะ! ป้าเคยพยายามช่วยแล้ว แต่พอไปแจ้งความเธอกลับไม่เอาเรื่อง แถมยังกลายเป็นแจ้งความเท็จอีก ถ้าอาจารย์เข้าไปช่วยก็จะซวยเปล่า ๆ นะคะ” “หมายความว่าไงครับ เธอถูกขังจริง ๆ เหรอ” “จริงค่ะ แล้วก็เป็นอย่างนี้บ่อยแล้วด้วย ฉันพยายามช่วยแล้ว แต่ก็นั่นแหละค่ะ ทำคุณบูชาโทษชัด ๆ” เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างที่เพื่อนบ้านคนนี้บอกจริง ๆ ก็เท่ากับว่าแจ้งความไปก็เปล่าประโยชน์ ...กระนั้นเขาก็ทนไม่ได้หรอก ทนให้ใครถูกกักขังไม่ได้หรอก มันต้องมีเหตุผลที่รินลดาไม่ยอมให้แจ้งความ คิดได้อย่างนั้นเขาก็หันกลับไปที่บ้านของเธออีกครั้ง “เดี๋ยวค่ะอาจารย์!” “ผมต้องช่วยเธอ” เขาหันมาบอกกับเพื่อนบ้านวัยกลางคนคนนี้อีกครั้ง น้ำเสียงแน่วแน่นั้นทำให้อีกฝ่ายอยากช่วยอีกแรง “ไม่ใช่ค่ะ ถ้าอาจารย์อยากช่วย...กุญแจบ้าน อยู่ตรงกระถางต้นไม้หน้าบ้านค่ะ” “ครับ?” “คือฉันแอบดูบ้านหลังนี้ตลอดค่ะเลยรู้” เธอก็เป็นเพื่อนบ้านชั้นเลิศ ที่ชอบจุ้นเรื่องของเพื่อนบ้านอยู่แล้ว เวลาที่คนในบ้านหลังนี้ทะเลาะอะไรกันเสียงดัง ก็มักแอบฟังเสมอ “อ้อ ขอบคุณครับ ว่าแต่ป้าชื่ออะไรครับ” “อิ่มจ้ะ ช่วยแม่หนูรินให้ได้นะ น่าสงสารมาก” เขารู้สึกหวั่นใจกับคำนี้ ดูท่าที่ผ่านมาลูกศิษย์คนนี้จะมีปัญหาตลอด ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะปีนรั้วบ้านเข้าไป ก่อนจะไปเอากุญแจบ้านตามที่เพื่อนบ้านบอก แกร็ก! ใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อไขกุญแจเข้าไปได้สำเร็จ หลังจากนี้อาจจะโดนข้อหาบุกรุกบ้านถ้าที่นี่มีกล้องวงจรปิด แต่ว่ามองดูแล้วไม่น่ามี ซึ่งภายในบ้านนั้นรกมาก แทบไม่มีที่ให้เดิน ราวกับว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่ทำความสะอาดเลย และเป็นคนไม่มีระเบียบ “อึก...” มีกลิ่นเหม็นของอาหารที่ยังไม่ถูกเอาไปทิ้ง ปุณณกันต์จับคอเสื้อของตัวเองขึ้นมาอังจมูกกันกลิ่นไม่พึงประสงค์เข้ามา เขาแทบอ้วกกว่าจะพาตัวเองขึ้นมายังชั้นสองของบ้านได้ ปัง ๆ “รินลดา!” ชายหนุ่มตะคอกเสียงดัง เกรงว่าคนในห้องนี้จะไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขา ทว่า “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ฮึก หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮือ~” เสียงร้องให้ช่วยนี้ทำให้เขาตัดสินใจใช้กุญแจที่มีอยู่หลายดอกในมือไขเข้าไป ซึ่งลองไขมันทุกดอกด้วยความลุกลี้ลุกลนกลัวเจ้าของบ้านกลับมา ดูจากข้าวของเครื่องใช้แล้วบ้านหลังนี้คงอยู่กันไม่ต่ำกว่าสองคน แกร็ก~ ในที่สุดเขาก็ไขเข้าไปจนได้ “ฮึก ช่วยหนูด้วย” เสียงของเธอนั้นไม่ได้น่าตกใจเท่าสภาพของเธอ ปุณณกันต์ยืนตัวแข็งทื่อมองผู้หญิงคนหนึ่งในสภาพที่เรียกได้ว่าไม่ต่างจากศพ เนื้อตัวมอมแมมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย เขาพูดอะไรไม่ออกเลย...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD