บนเวทีมีการแสดงของตัวแทนเด็กนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษา ผลัดเปลี่ยนมาสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับคนที่มาร่วมงาน โดยเฉพาะกับปราณปวิชที่เฝ้ารอคอยดูการแสดงของเด็กชายที่เขาเดินชนตรงทางเข้าห้องน้ำแบบใจจดใจจ่อ ซึ่งปกติแล้วเขาจะเฉยๆ กับการแสดงเหล่านี้ที่นั่งดูตามมารยาท ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่ เขาตั้งตารอเลยก็ว่าได้ ปราณปวิชอดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เมื่อถึงคิวโรงเรียนวัดไผ่วัวนักเรียนจำนวนเก้าคนขึ้นมาแสดงบนเวที ปราณปวิชที่นั่งอยู่โต๊ะแถวหน้าสุดยิ้มกว้างและโบกมือให้เพชรกล้าที่ยืนอยู่แถวหน้า เพชรกล้าเห็นปราณปวิชจึงยิ้มให้และแสดงตามที่ฝึกซ้อมไว้
“เด็กผู้ชายที่อยู่แถวหน้าสุดหน้าตาเหมือนปราบตอนเด็กๆ เลยนะ” ปริญญาพูดกับภรรยาที่หันไปมองเด็กชายคนดังกล่าวตามสามมีบอก
“เหมือนจริงด้วยค่ะ” คุณหญิงนารถลดาเห็นด้วยกับสามี “คุณไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหนหรือเปล่าคะ”
คนเป็นภรรยาเย้าสามี
“ผมจะไปทิ้งเชื้อที่ไหนได้ล่ะ คุณก็รู้นี่ว่า ผมทำหมันตั้งนานแล้ว นู่นลูกชายเรามากกว่า ไปทิ้งเชื้อไว้กับผู้หญิงคนไหนหรือเปล่า” นารถลดาเมื่อได้ยินสามีพูดก็หันมาทางบุตรชาย พูดยิ้มๆ
“พ่อบอกว่าเด็กผู้ชายที่อยู่แถวหน้า หน้าตาเหมือนแกตอนเด็ก แกไปทิ้งเชื้อไว้กับผู้หญิงคนไหนหรือเปล่าเนี่ย”
เป็นคำถามที่ไม่ได้มีความจริงจัง เป็นเพียงการเย้าแหย่ระหว่างแม่ลูก เพราะรู้ดีว่า ลูกชายป้องกันเรื่องนี้ดี แล้วไม่ยอมมีลูกกับหญิงสาวคนใดนอกจากสตรีคนหนึ่งที่จากลาไปเมื่อเจ็ดปีก่อน
“ผมน่ะเหรอครับจะไปทิ้งเชื้อไว้กับผู้หญิงคนไหน ผมหวงเชื้อผมจะตายไป ไม่มีทางหลุดไปอยู่ในรังไข่ของใครแน่นอนครับ” ปราณปวิชตอบอย่างมั่นใจ
“ผมว่าไม่มีใครทิ้งเชื้อ คงจะเป็นคนหน้าเหมือนทั่วๆ ไปน่ะ อย่างเช่นหน้าเหมือนดารา เหมือนนักการเมืองที่เขาเอามาล้อเลียนสนุกๆ ตามที่เราเห็นกัน”
“ถูกต้องนะครับ” คนเป็นลูกเห็นด้วยทันที ไม่ได้ติดใจอะไรกับคำพูดหยิกแกมหยอกของบิดาที่ว่า “ไปทิ้งเชื้อ” เพราะคนอย่างปราณปวิชระวังเรื่องนี้มาก ไม่มีวันผิดพลาดแน่นอน ปราณปวิชละความสนใจเรื่องที่บิดามารดาพูดหันหน้าไปมองเวทีอีกครั้ง ส่งยิ้มให้เพชรกล้าและดูการแสดงจนจบ
เด็กๆ พากันก้าวลงจากเวทีก่อนพากันเดินกลับไปยังห้องแต่งตัวที่อยู่ใกล้กัน เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่ามีผู้ปกครองคอยบุตรหลานอยู่ หนึ่งในนั้นคือพวงชมพูที่วันนี้มาให้กำลังใจลูกชายก่อนขึ้นแสดงแต่ไม่ได้เข้าไปดูหน้าขอบเวที เป็นเพราะการแสดงครั้งนี้จัดขึ้นในโรงแรม เวทีจึงถูกสร้างขึ้นมาเฉพาะกิจและอยู่ในพื้นที่งานจัดเลี้ยง ไม่มีด้านหลังเวทีหรือด้านข้างเวทีให้ผู้ปกครองดูบุตรหลานแสดง หากเข้าไปคงไปยืนออดูกันหน้าเวที อีกเหตุผลหนึ่งคือ ทางทีมงานเกรงว่าหากให้ผู้ปกครองเข้าไปดูการแสดงในงานจะทำให้เกิดความไม่เรียบร้อย จึงไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเข้าไป ให้ได้เฉพาะคุณครูที่มากับเด็กเท่านั้น ซึ่งผู้ปกครองก็เข้าใจในเหตุผล
แม้ว่าพวงชมพูจะไม่ได้เข้าไปดูการแสดงของบุตรชาย แต่เธอก็ไว้วานให้ครูนงเยาว์อัดวีดิโอลงในมือถือ เพื่อที่จะได้ดูการแสดงของเพชรกล้าภายหลัง
“เพชรเต้นเก่งมากเลยนะ เก่งกว่าทุกคนเลย” นงเยาว์บอกพวงชมพูขณะคืนมือถือให้
“ขอบคุณค่ะครูปิ่น” พวงชมพูกล่าวของคุณนงเยาว์ ก่อนก้มหน้ามองบุตรชาย “เพชรของแม่เก่งที่สุดเลยครับ”
พูดจบก็หอมแก้มเพชรกล้าฟอดใหญ่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี เพชรกล้าคือของขวัญจากฟากฟ้าที่แม้นว่าจะไม่ได้เกิดมาจากความรักระหว่างพ่อกับแม่ และไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของคนเป็นพ่อ แต่เธอก็ไม่คิดฆ่าลูกน้อยเพื่อผลักไสความรับผิดชอบ พวงชมพูฟูมฟักดูแลตัวเองให้ดีที่สุด แม้ว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตก็ตาม เพราะไม่เพียงแค่ดูแลตัวเองกับลูกในครรภ์ เธอต้องดูแลมารดาที่ป่วยกระเสาะกระแสะ กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ พวงชมพูร้องไห้ไปหลายปี๊บ ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยและอดทน
“ฉันว่ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เพชรเถอะ จะได้รีบกลับ” รัชนีกรบอกสองแม่ลูก พวงชมพูทำตามที่เพื่อนรักบอก พาลูกชายไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนเดินออกจากห้องแต่งตัวหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
“ฉันขอเข้าห้องน้ำก่อนนะ เกิดปวดฉี่ขึ้นมา” พวงชมพูบอกรัชนีกรที่พยักหน้ารับรู้ ก่อนชี้บอกเพื่อนว่า ห้องน้ำไปทางไหน พวงชมพูเดินไปตามทางที่รัชนีกรชี้
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ พวงชมพูเดินมาตามทางกำลังจะเลี้ยวไปทางด้านขวา แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อพนักงานโรงแรมสองคนช่วยกันยกฉากกั้นเดินผ่านมา เธอจึงหยุดให้ทั้งสองเดินผ่านไปก่อน จังหวะนั้นปราณปวิชได้เดินขนานกับฉากกั้น ทำให้เขามองไม่เห็นคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
และเมื่อพนักงานสองคนเดินผ่านไป พวงชมพูเดินเลี้ยวขวาเพื่อกลับไปหาลูกชายและเพื่อนสนิท ส่วนปราณปวิชเดินไปยังลานจอดรถที่อยู่ด้านขวามือของเขา ปราณปวิชกับพวงชมพูจึงคลาดกันราวกับว่า พรหมลิขิตไม่ปรารถนาให้ทั้งสองได้พบกันเวลานี้
กลิ่นขนมหม้อแกงลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณใกล้เคียง ใครได้สูดกลิ่นเป็นต้องน้ำลายไหลอยากกินขนมชนิดนี้ขึ้นมาทันทีทันใด แต่ไม่ใช่ว่าคนละแวกบ้านหลังนี้จะได้กลิ่นขนมหม้อแกงทุกวัน คนทำจะทำเดือนละสองครั้ง และทำตามออเดอร์ที่สั่งเท่านั้นด้วย หากใครไม่ได้สั่งก็ต้องอดกิน ต้องรอรอบต่อไปถึงจะได้กินขนมหม้อแกงสูตรโบราณของเอมอร
ระหว่างที่รอขนมหม้อแกงอบได้ที่ เอมอรเจ้าของสูตรขนมกำลังตักขนมตาลใส่กระทงใบตองก่อนนำไปวางไว้บนซึ้งนึ่ง และเมื่อวางเรียงกันจนเต็มก็นำขึ้นไปนึ่งบนเตาไฟ หลังจากตักขนมตาลจนหมด เอมอรตักขนมกล้วยใส่กระทงเป็นลำดับต่อไป
ขณะที่เอมอรกำลังทำขนมขายอยู่นั้น เพชรกล้าหลานชายสุดที่รักเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมขันน้ำใส่น้ำเย็น เด็กชายมายืนข้างผู้เป็นยาย ก่อนยื่นขันน้ำให้
“ยายฮะ น้ำเย็นๆ ชื่นใจฮะ”
“ขอบใจนะเพชรกล้าของยาย” เอมอรรับขันน้ำมาดื่ม ก่อนวางลงบนโต๊ะ
“ยายเหนื่อยไหมฮะ ให้เพชรช่วยยายนะฮะ”
คนเป็นยายยิ้ม มองดูหลานชายหยิบถุงกระดาษที่สำหรับใส่ถาดขนมหม้อแกงมากางเตรียมไว้ เมื่อขนมหม้อแกงสุกและหายร้อนจะได้ใส่ถุงกระดาษรอให้ลูกค้ามารับ ก่อนนางจะเบนสายตามองพวงชมพูลูกสาวเพียงคนเดียวเดินยกโต๊ะพับมาวางกางหน้าบ้าน จัดวางของที่ต้องใช้วางไว้บนโต๊ะพับสองตัวที่เรียงต่อกัน เตรียมตัวขายขนมที่วันนี้ทำขนมตาลและขนมกล้วย
สายตาเอมอรขณะมองพวงชมพูอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกผิด เสียใจและเศร้าใจ พวงชมพูเป็นเด็กดี อยู่ในโอวาท หัวอ่อนและรักแม่มาก อาจเป็นเพราะนางเลี้ยงพวงชมพูมาคนเดียวตั้งแต่หนึ่งขวบ อดทนและทำงานหนักเพื่อเลี้ยงลูกสาว อดเพื่อให้ลูกอิ่มและได้เรียนหนังสือ ทว่าพวงชมพูต้องมาพบเจอกับเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งเอมอรก็ไม่คิดว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับลูกสาวของนาง เอมอรมารู้เรื่องนี้หลังจากเกิดเรื่องแล้วหนึ่งปีหกเดือน
เอมอรตัดสินใจออกจากบ้านหลังนั้น ไม่สนใจความรู้สึกของตนเองว่าจะต้องเจ็บปวดเมื่อจากคนที่ตนรัก ละทิ้งความสุขสบายทุกอย่างที่สามีมอบให้ นางสนใจเพียงความรู้สึกและเรื่องที่พวงชมพูได้รับ หลังออกมาเผชิญความลำบากอีกครั้ง พวงชมพูสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้มารดาลำบาก เธอทำงานมาตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ นอกจากจะทำขนมสูตรโบราณของเอมอรที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากกมลผู้เป็นยายขายเลี้ยงชีพ เธอยังรับจ้างสอนพิเศษให้เด็กระดับชั้นประถมและมัธยมต้นหารายได้พิเศษอีกทางหนึ่ง เก็บหอมรอมริบไว้ใช้จ่ายยามลูกน้อยคลอด
การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นหน้าที่ที่มีคุณค่าและยิ่งใหญ่มาก เป็นทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน เธอต้องเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว ก้าวผ่านสิ่งต่างๆ อย่างกล้าหาญ หลังจากคลอดนองเพชรกล้า ความขยันของพวงชมพูเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และมองหางานประจำทำ แต่ก็ไม่ทิ้งการขายขนมแม้ว่ากำไรจะไม่มากมาย แต่อย่างน้อยๆ ก็มีเงินเข้าบ้าน งานประจำที่ว่านี้คือ เป็นพนักงานทำความสะอาดห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่งแถวสุขุมวิท เป็นโรงแรมระดับห้าดาว มีเงินเดือนและเซอร์วิสชาร์ต ที่สำคัญมีอาหารให้พนักงานกินฟรี ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ต่อเดือนไปได้มาก
จากเดิมที่ขายขนมทุกวัน พอได้งานประจำพวงชมพูจะทำขายในวันหยุด หลังจากช่วยกันทำขนมเสร็จ เธอก็จะรับจ๊อบทำความสะอาดห้องชุดสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่เจ้าของเป็นเพื่อนกับเจ้าของโรงแรมที่ตนทำอยู่ เหตุผลที่พวงชมพูไปทำความสะอาดห้องชุดราคาเกือบหนึ่งร้อยห้าสิบล้านนั้นได้ เพราะพวงชมพูเก็บต่างหูเพชรที่ตกในห้องน้ำได้ และนำมาคืนเจ้าของ ซึ่งราคาต่างหูข้างนั้นหากนำไปขายจะได้หลักแสนบาท เจ้าของห้องชุดมองเห็นความดีและความซื่อสัตย์ จึงจ้างวานพวงชมพูมาทำความสะอาดที่ห้องอาทิตย์ละหนึ่งวันคือในวันหยุด ตอบแทนความดีของเธอไปในที
แม้ว่าจะทำงานไม่มีวันหยุด ทำงานพิเศษทุกอย่างที่ได้เงิน ไม่มีสามีคอยช่วยเหลือแบ่งเบาภาระที่แบกไว้จนหนักบ่า พวงชมพูไม่เคยบ่น ไม่เคยโทษโชคชะตา เหนื่อยแค่ไหนไม่ท้อ ไม่ถอย บางครั้งเหนื่อยจนร้องไห้ในห้อง ร้องไห้โดยไม่ให้มารดารู้ พอร้องเสร็จก็สร้างพลังกายใจให้เข้มแข็ง ตระหนักในใจว่า ตนมีคนอันเป็นที่รักต้องดูแลสองคน ฉะนั้นจะอ่อนแอหรือท้อถอยไม่ได้ พวงชมพูทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต หวังให้แม่กับลูกชายสุขสบาย มีเงินเก็บไว้ให้เพชรกล้าเรียนสูงๆ เก็บเงินอีกส่วนหนึ่งสำหรับดูแลมารดาที่มีโรคประจำตัวคือ ความดันโลหิตสูง ในความเหน็ดเหนื่อยพวงชมพูก็มีความสุข เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเอมอรกับเพชรกล้า
พวงชมพูทำงานหนักแต่ก็ไม่เคยซื้ออะไรให้ตัวเอง เธอจะนึกถึงเอมอรกับเพชรกล้าก่อนตัวเองเสมอ สิ่งของที่ซื้อจึงเป็นของทั้งสองเสียส่วนใหญ่ ส่วนตัวเธอเดือนหนึ่งจะซื้อเสื้อกับกางเกงสักชุด ที่ใส่อยู่บางตังรัชนีกรก็ซื้อให้ หรือนำเสื้อผ้าที่ตัวเองไม่ใส่มาให้เพื่อนรักใส่แทน พวงชมพูเป็นแม่และลูกที่ดี แม้นลำบากแต่ก็ไม่เคยคิดหวนกลับไปหาพ่อของลูกที่รวยล้นฟ้าช่วยเหลือ เธอก้าวออกมาจากชีวิตเขาแล้วก็จะไม่หวนกลับไปอีก แม้ว่าจะลำบากยากเข็ญเพียงไรก็ตาม
ชั่วขณะที่เอมอรมองบุตรสาว พวงชมพูหันกลับเพื่อไปหยิบของมาวางบนโต๊ะ เธอได้เห็นนัยน์ตาคนเป็นแม่ที่มีน้ำใสๆ เกลือกกลิ้ง เธอรู้ได้ทันทีว่า สาเหตุของน้ำตานั้นคืออะไร
“แม่คิดมากอีกแล้วนะ” พวงชมพูเดินมาใกล้มารดา
“ก็มันอดคิดไม่ได้ เพราะแม่แกถึงต้องลำบากแบบนี้” เอมอรน้ำตาไหล ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา “เพราะแม่คนเดียว ถ้าแม่ยับยั้งชั่งใจไม่เป็นเมียน้อยเขา ไม่เข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น แกคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ไม่ต้องมานั่งเลี้ยงลูกตามลำพัง ไหนจะต้องดูแลแม่อีก เพราะแม่คนเดียว”
นับตั้งแต่รู้ความจริง เอมอรโทษตัวเองเรื่อยมา แม้ว่าพวงชมพูจะบอกหลายครั้งหลายหนแล้วว่า เธอก็มีส่วนผิดด้วย เพราะหากไม่ยอม เรื่องนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น
“ชมเคยบอกแม่แล้วไงคะว่า ไม่ใช่ความผิดของแม่ มันเป็นความผิดของชมเอง แม่เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะคะ อีกอย่างชมไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะมันทำให้แม่มีความสุข มีชีวิตที่ดี และชมก็ได้ของขวัญจากสวรรค์ ที่ทำให้เราสองคนมีความสุขไงคะแม่” ประโยคนี้พวงชมพูพูดกับมารดาหลายครั้งหลายหน แต่ดูเหมือนว่า คำพูดของเธอไม่อาจทำให้ความรู้สึกในจิตใจคนเป็นแม่เบาลงเลย “เรื่องมันผ่านมานานแล้วนะคะแม่ อย่าไปนึกถึงให้จิตใจเราย่ำแย่เลยค่ะ ตอนนี้เรามีชีวิตใหม่ อยู่กันสามคน อยู่กันตามอัตภาพ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องในอดีตนะคะแม่”
ปากบอกให้มารดาลืม ทว่าคนพูดกลับไม่เคยลืมเรื่องที่ผ่านมา ราวกับว่าฝังอยู่ในความทรงจำที่พยายามสลัดให้หลุด แต่ไม่เลย มันไม่เคยเลือนหายกลับตอกย้ำอยู่ทุกวัน เป็นเพราะหน้าตาของเพชรกล้าเหมือนคนเป็นพ่อราวกับถอดแบบออกมา อีกทั้งความรักที่มีต่อชายใจร้ายใจดำก็ฝังแน่นในหัวใจ รู้ว่าเขาไม่รักแต่ก็ภักดีรักไม่เสื่อมคลาย
“ถึงแกจะพูดให้แม่สบายใจยังไง แม่ก็ยังรู้สึกว่า ตัวเองผิดอยู่ดี”
“ช่างมันเถอะแม่ เราผ่านมันมาแล้ว ชมไม่อยากให้แม่คิดมากและโทษตัวเอง ชมไม่สบายใจเลยนะแม่ ที่แม่โทษตัวเองแบบนี้ มันทำให้ชมรู้สึกผิดยังไงไม่รู้”
เอมอรมองหน้าลูกสาวที่ตอนนี้มีน้ำตาคลอเบ้า นางไม่อยากเห็นพวงชมพูร้องไห้อีกแล้ว นางฝืนยิ้มทั้งที่ใจตรมเพื่อให้ลูกสบายใจ
“แกก็อย่าร้องไห้สิ แกร้องทีไรหัวใจแม่เจ็บทุกที เอาเป็นว่า แม่จะไม่โทษตัวเองอีก เราจะปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไปเหมือนสายลม” พวงชมพูเช็ดน้ำตา ส่งยิ้มและสวมกอดมารดา เพชรกล้าเห็นภาพยายกับแม่นั่งกอดกันก็ละมือจากงานที่ทำ เดินมากอดร่างทั้งสอง ทั้งสามจึงกอดกันกลม กอดที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่นที่ทั้งสามมีให้กันและกัน