ชมนาดดิ้นรนจนหัวชนฝา ไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองได้อย่างไร มั่นใจว่าตนนั้นป้องกันดีแล้ว แต่ดันพลาดอีกจนได้ นั่งมองหน้าท้องที่นูนโตด้วยอายุครรภ์สามเดือนอย่างหนักใจ
“น้านาด ๆ” เสียงเรียกดังอยู่หน้าประตูห้องเช่า
“เอออยู่ในนี้เข้ามาเลยไอ้โก้”
“ยาที่น้าให้ไปซื้อได้แล้ว เอ้านี่” เด็กชายผอมแห้งยื่นถุงยาในมือให้ชมนาด
“เออ นี่ค่าแรงมึง” ยัดเงินใส่มือเด็ก รีบเอาถุงยาเข้ามาในห้อง มองขวดยาแล้วนึกถึงคำพูดของเพื่อนร่วมงานที่โรงงานเมื่อวาน
‘นาดเอ็งไปเอาออกเถอะ นี่พี่หวังดีกับเอ็งจริง ๆ นะ ปล่อยมาได้ไงตั้งสามเดือน’
‘ฉันไม่ไปทำแท้งหรอกพี่ปู ฉันกลัว’
‘กลัวไม่เข้าท่าเลยนะเอ็งนี่ ทำแบบนังอรมันสิ’
‘แบบไหนเหรอพี่ปู’
‘มันกินยาขับเลือด ให้ตกเลือดออกมาเอง ลงโถส้วมกดชักโครกหายแว่บไปเลย’
‘จริงเหรอพี่ปู แล้วหลังจากนั้นพี่อรเขาเป็นไงบ้าง มีอาการอะไรไหม อันตรายหรือเปล่าพี่’
‘โอ๊ย ไม่เป็นอะไรเลย มันลางานไปนอนพักแค่วันเดียวก็กลับมาทำงานได้ตามปกติ’
‘จริงเหรอพี่’
‘พี่จะโกหกเอ็งทำไมนาด ถามแปลก ๆ’
ชมนาดไม่อยากทำแท้งเพราะรู้สึกกลัว เลยตั้งใจให้เด็กหลุดออกมาเอง จึงเลือกใช้ยาขับเลือดตามคำแนะนำของรุ่นพี่ที่โรงงาน
ทว่าฟ้ากลับไม่เป็นใจให้เป็นแบบนั้น แม้รู้สึกมีอาการไม่ปกติในท้องของตัวเอง แต่เด็กในท้องกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ชมนาดใจไม่กล้าพอที่จะไปทำแท้ง กลายเป็นทำอะไรไม่ถูกไปเลยในตอนนี้
“ทำไมมึงดื้อด้านแบบนี้วะ” หญิงสาวมองขวดยาที่กินไปแล้วจนหมดขวด แต่ลูกในท้องกลับไม่มีทีท่าหลุดออกมาสักที
จนเข้าเดือนที่ห้าชมนาดก็ล้มเลิกความคิด ที่จะกินยาขับเลือดอีกต่อไป ปล่อยให้เด็กโตขึ้นมาตามธรรมชาติ มารู้ภายหลังว่าเพื่อนร่วมงานที่กินยาขับเลือดแล้วเด็กหลุดออกมานั้น เป็นคนชอบดื่มชอบเที่ยว แล้ววันที่แท้งลูกก็ไปเต้นที่ผับอย่างเมามัน ทั้งเหล้าทั้งการออกแรงเลยส่งผลให้เด็กหลุดออกมา และด้วยความสงสัยจึงเอาขวดยาไปถามเภสัชที่ร้านขายยา
“ไปฟังใครมาคะคุณ ชื่อมันก็บอกว่ายาสตรี มีไว้บำรุง ไอ้ที่กินไปนี่มีแอลกอฮอล์ด้วยนะ กินแล้วอาจจะไม่แท้ง แต่ถ้ากินเยอะเกินไปลูกในท้องมีสิทธิ์พิการได้”
“พิการ” ชมนาดตกใจหลังได้ยินผลกระทบจากการกินยาขวดนี้เกินขนาด ถ้าเกิดมาแล้วพิการนั่นหมายความว่า ชีวิตในวันข้างหน้าคงมีแต่ความยากลำบากเป็นเท่าตัว
“แล้วกินไปเยอะไหมคะเนี่ย”
“ไม่เยอะค่ะแค่ขวดเดียว”
“ฉันว่าคุณควรไปหาหมอนะคะ ให้หมอตรวจดูเด็กในท้องสักหน่อย ตรวจดูร่างกายคุณเองด้วยว่าเป็นอะไรหรือเปล่า อย่าประมาทนะคะ”
“เอ่อ ค่ะ” นางชมนาดรีบเดินออกจากร้านขายยาไป ความรู้สึกกลัวมีมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ลูกคนแรกคลอดออกมาอย่างง่ายดาย สุขภาพแข็งแรง เพราะตนไม่ได้อยากทำแท้งเลยสักนิด แต่พอคนนี้ทุกอย่างมันดูทุลักทุเลไปหมด และคำพูดเหมือนหวังดีของเภสัชคนนั้น ทำให้ชมนาดรีบขึ้นแท็กซี่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลในทันที
หลังจากคุณหมอทำการตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าเด็กในท้องยังปกติดี คุณหมอแนะนำให้ฝากท้องที่โรงพยาบาลเลย และให้ยาบำรุงครรภ์กลับมากินอีกด้วย ชมนาดไม่สามารถสลัดเรื่องนี้พ้นตัวไปได้ จึงยอมรับสภาพให้ลูกในท้องเกิดมาอย่างจำใจ และด้วยการเงินค่อนข้างขัดสน หญิงสาวจึงเลือกที่จะทำงานจนถึงวันคลอดกันเลยทีเดียว
ทารกเพศหญิงมีโอกาสได้ลืมตา ขึ้นมาดูโลกเหมือนเด็กคนอื่นเขา แม้ว่าผู้เป็นแม่จะไม่ได้อยากให้เกิดมาก็ตามที ชมนาดตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า จันทร์เจ้า
หลังออกจากโรงพยาบาลมา ชมนาดเองยังไม่ได้มีจิตสำนึกของความเป็นแม่แม้แต่น้อย ยังคงมองลูกสาวด้วยสายตาว่างเปล่า แต่จะให้ทิ้งเลยก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน ก่อนตัดสินใจว่าคงต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ด้วยตัวเอง หญิงสาวโทรศัพท์ไปบอกเรื่องนี้กับพี่สาวของตนเอง เพื่อให้รับรู้ว่ามีหลานสาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน และตนก็จะเป็นคนเลี้ยงดูเอง
“ว่าไงนกมีอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” เห็นภรรยาส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจดัง ๆ หลังวางสาย ปองเดชจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“นาดมันคลอดลูกแล้วพี่เดช”
“ฮ้า คลอดลูก” ปองเดชทำหน้าตกใจเพราะเพิ่งได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก รีบเดินเข้าไปหาภรรยาใกล้ ๆ
“ฉันลืมเล่าให้พี่เดชฟัง ว่าก่อนหน้านาดมันโทรมาบอกว่าจะยกลูกในท้องอีกคนให้ฉันเลี้ยง ฉันบอกไปว่าเลี้ยงให้ไม่ไหวหรอก เพราะตอนนี้เลี้ยงลูกสองคนก็หนักอยู่แล้ว เลยตัดสายมันไป นึกว่ามันจะไปเอาออก ที่ไหนได้มันกลับปล่อยท้องโตจนคลอดเมื่อหลายวันก่อน”
“บาปกรรมเปล่า ๆ นะนก ดีแล้วล่ะที่นาดไม่ได้ไปทำแท้ง” ปองเดชรู้สึกใจหายกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าภรรยาจะเก็บเงียบเรื่องนี้เอาไว้เพียงลำพัง
“พี่เดชไปทำแท้งยังจะดีเสียกว่านะพี่ ให้หลานฉันมีแม่แบบนังนาดนี่ไม่รู้จะมีชีวิตแบบไหน”
“ใจเย็น ๆ สินก เราเองก็เต็มกลืนแล้วนะ พี่ไม่คิดว่าเลี้ยงเด็กสองคนจะต้องใช้เงินเยอะขนาดนี้”
“นั่นแหละ ฉันก็คิดว่าเราสองคนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แต่ว่าลูกนังนาดที่ออกมาดันเป็นเด็กผู้หญิงด้วยสิ ฉันล่ะเป็นห่วงจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรหรอกนก นาดเองต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบเรื่องที่ตัวเองก่อเหมือนกัน ไม่แน่เด็กคนนี้อาจจะทำให้นาด มีความเป็นแม่คนเหมือนคนอื่นเขาก็ได้นะ นกคิดในแง่ดีไว้ก่อนสิ”
“นั่นสินะ นาดบอกว่าจะเลี้ยงลูกเองพี่เดช ฉันคงคิดมากไปจริง ๆ นั่นแหละ บางทีสัญชาตญาณความเป็นแม่ของมันอาจจะมีอยู่ก็ได้ คงต้องให้มันเรียนรู้ที่จะเลี้ยงลูกเองบ้าง”
“เราคงได้แค่ห่วงอยู่แบบห่าง ๆ เพราะเราเองก็ลำบากเหมือนกันนะนก” ปองเดชพยายามสะกิดเตือนในเรื่องนี้
“ฉันรู้จ้ะพี่เดช ไปกินข้าวกันเถอะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นปัญหาของนาดมันก็แล้วกัน ฉันพอแล้วล่ะหนนี้ฉันช่วยอะไรมันไม่ได้จริง ๆ”
เมื่อพี่สาวไม่สามารถช่วยเหลือได้แล้วจริง ๆ ชมนาดจึงต้องแบกเรื่องลูกไว้เพียงลำพัง ชีวิตของสองแม่ลูกจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องฝากสถานรับเลี้ยงเด็กแถวสลัมที่อยู่ ให้เลี้ยงจันทร์เจ้าตั้งแต่ตอนสามเดือน ครั้งแรกเขาก็ไม่รับเพราะว่าอายุน้อยไป แต่เพราะคนรู้จักกันบวกกับความจำเป็น จึงทำให้จันทร์เจ้าถูกเลี้ยงมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กเสียส่วนใหญ่ พอชมนาดเลิกงานก็มารับกลับไปที่ห้องเช่า และด้วยชีวิตที่ซ้ำซากจำเจอยู่แบบนี้ ทำให้เกิดความเครียดสะสมขึ้น จนต้องหันหน้าไปพึ่งพาขวดเหล้า และกินทุกวันจนกลายเป็นคนติดเหล้าไป
เจ็ดปีต่อมา
“จันทร์เจ้าไปซื้อเหล้าให้แม่หน่อยสิลูก” ชมนาดกวักมือเรียกจันทร์เจ้าในวัยเจ็ดขวบ ให้ไปซื้อเหล้าที่ปากซอยให้ตนเอง
“แม่จะกินเหล้าอีกแล้วเหรอ หนูว่าอย่ากินเลยนะแม่” เด็กหญิงตัวมอมผมสั้นเท่าติ่งหู ยืนเท้าเอวมองมารดาอย่างเบื่อหน่าย
“เอ๊ะ ใครเป็นแม่เป็นลูกกันแน่ ไปเดี๋ยวนี้เลยก่อนที่จะโดนก้านมะยม”
“บ้านเรามีต้นมะยมตรงไหน เพ้อเจ้อแล้วแม่”
“หน็อยแน่เถียงฉอด ๆ เลยนะเอ็ง มานี่เลยจะฟาดด้วยมืออีนาดนี่แหละ” พูดแล้วก็ยกฝ่ามือขึ้นตรงปรี่ไปหาลูกสาว
“โอ๊ยแม่พอแล้ว ไปแล้ว ๆ ไหนเงิน ๆ” จันทร์เจ้าหลบไวเป็นลิง ก่อนจะแบมือขอเงินแม่
“ก็แค่นี้ เอาไป บอกอาแปะด้วยว่าเอาแบบเดิม”
“รู้แล้วน่า” จันทร์เจ้ากำเงินในมือแน่น ๆ เดินข้ามสะพานคลองน้ำเน่า เพื่อไปซื้อเหล้าที่ร้านขายของชำหน้าปากซอย
สักพักใหญ่ ๆ เด็กหญิงตัวน้อยก็กลับมา พร้อมกับขวดเหล้าในถุง ยื่นให้คนเป็นแม่
“เออ ดีนี่ได้อย่างที่สั่ง เงินทอนล่ะอย่าคิดงุบงิบนะเอ็ง”
“แหม แม่ก็แค่สิบยี่สิบบาทเอง”
“เอามา !”