ยั่วยวน ที่ 3
สี่พี่น้องร่ำไห้
สตรีที่น่ายกย่อง
“คุณชายจะออกไปข้างนอกหรือขอรับ”
ซือห้าวเดินมายืนข้างๆ คล้ายคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงใบหน้าของผู้เป็นนาย จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิบแผ่นหนังอีกชิ้นมาสวมใส่ใบหน้าของตนบ้าง
พลันใบหน้าของซือห้าวกลับเหมือนเหวินหลงผู้เป็นนายราวกับคนคนเดียวกัน
‘พักตร์ปีศาจ’ เป็นเคล็ดวิชาของเผ่าปีศาจที่สามารถสวมใบหน้าเป็นใครก็ได้ ซึ่งวิชานี้เป็นวิชาลับของตระกูลโจวที่ตกทอดสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น บิดาได้สอนเคล็ดวิชานี้ให้เขาเมื่อไม่กี่เดือนก่อนราวกับล่วงรู้ว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ซึ่งบิดาบอกว่าเคล็ดวิชานี้ส่งต่อจากประมุขของตระกูลสู่ทายาทที่จะขึ้นเป็นประมุข แม้แต่ฮูหยินโจวก็ไม่เคยล่วงรู้ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน
‘จำไว้นะอาเหวิน เคล็ดวิชานี้ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ในอนาคตสิ่งนี้ย่อมมีประโยชน์กับเจ้าอย่างแน่นอน’
แล้วเวลานี้พักตร์อสูรก็มีประโยชน์กับเขามากจริงๆ ในระหว่างที่เขาสวมบทบาทเป็นคุณชายพิการแห่งสกุลโจว ทว่าเขากลับสวมหน้าเป็นคนอื่นแล้วออกไปสืบค้นหาหลักฐานด้วยตนเองมาโดยตลอด เพื่อจะมั่นใจว่ามารดาเลี้ยงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารจริงๆ
“ข้าว่าจะออกไปสืบดูอะไรสักหน่อย ฝากทางนี้ด้วย”
“ได้เลยขอรับคุณชาย”
ซือห้าวถอดเสื้อผ้าของตนเองออก ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าของเจ้านายมาสวมใส่ เดินไปนั่งบนรถเข็นซึ่งทำจากไม้ประกอบล้อไว้สองฝั่งสำหรับเคลื่อนย้าย แล้วหันไปหยิบผ้าสีน้ำเงินมาคลุมหน้าขาจนถึงปลายเท้า
เขาปลอมตัวเป็นเจ้านายจนชินเสียแล้ว จึงทำมันได้อย่างคล่องแคล่ว อีกอย่างการที่คุณชายโจวแสร้งเป็นใบ้ยิ่งทำให้เขาไม่ต้องออกเสียงใดๆ
ทางด้านคุณชายโจวได้หยิบเสื้อผ้าอีกชุดมาสวมใส่ ก่อนจะก้าวออกจากเรือนตะวันออกไปอย่างไม่อนาทรร้อนใจ
“อะ...เติ้งหลุนไม่เห็นเสียหลายวัน แล้วนั่นเจ้ากำลังจะไปไหนอีก”
อี๋ฉีสาวใช้ที่แอบชอบเติ้งหลุนเอ่ยถามพลางส่งยิ้มหวานอย่างยั่วยวน ทว่าเหวินหลงในนามเติ้งหลุนกลับไม่ตอบราวกับเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงอากาศ อีกทั้งยังเดินผ่านไปเสียดื้อๆ
“เย็นชาเสียจริง แต่ยิ่งเย็นชาใจร้ายมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งชอบ ยิ่งอยากได้”
อี๋ฉีมองตามแผ่นหลังกว้างไปจนลับตา หมายมั่นว่าสักวันหนึ่งนางต้องได้ผู้คุ้มกันเติ้งหลุนมาเป็นสามีให้จงได้
อาการของหวางต้าเจิงดีขึ้นแทบจะทันทีเมื่อได้รับการรักษาจากหมอมากฝีมืออีกทั้งยังได้ดื่มโอสถราคาแพงช่วยบำรุงปราณภายในที่ยุ่งเหยิงแปรปรวนให้สงบลง
หวางเชียงอิงยืนมองน้องชายคนเล็กที่หลับใหลด้วยความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดเข้ามาจนท่วมท้นหัวใจ ก่อนจะยื่นมือเล็กบอบบางที่กรำงานหนักจนหยาบกระด้างมาทั้งชีวิต ค่อยๆ ลูบลงบนเส้นผมสีดำสนิทของน้องชายอย่างเบามือ
“ข้าไม่เสียใจเลยที่เลือกวิธีเห็นแก่ตัวเช่นนั้น เพื่อรักษาชีวิตของเจ้า อาเติ้งขอให้เจ้าเป็นเด็กดีและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงนะ”
หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ จังหวะที่หมุนตัวเดินออกจากห้องนอนของน้องชายหมายจะไปจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็น เพราะวันพรุ่งนี้หัวหน้าแม่บ้านตระกูลโจวจะส่งเกี้ยวมารับนางแต่เช้าตรู่
ซึ่งนางหาข้ออ้างกับน้องๆ เอาไว้แล้ว โดยจะอ้างว่านางต้องไปทำงานเป็นหญิงรับใช้ในสกุลโจว จึงอาจไม่ได้กลับบ้านเป็นระยะเวลานาน ให้ทั้งสามคนดูแลตัวเองให้ดีระหว่างที่นางไม่อยู่
ทว่า...
“อะ...อิ๋งเอ๋อร์!”
หวางเชียงอิงตกใจไม่น้อยเมื่อหมุนกายกลับมาแล้วพบว่าน้องสาวคนรองยืนรออยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ฉายชัดว่าได้ยินสิ่งที่นางเอื้อนเอ่ยออกไป แต่ต่อให้ไม่ได้ยินซีอิ๋งก็ตั้งข้อสงสัยอยู่ก่อนแล้ว ว่าพี่สาวสามารถพาหมอมากฝีมือที่มีค่าตัวแพงระยับมาได้อย่างไร หมอผู้นี้ค่าตัวแต่ละครั้งหลายตำลึงเงิน อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในหมู่ขุนนางชั้นสูง แทบไม่รับรักษาคนยากจนที่ไม่มีเงินเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งสามารถซื้อโอสถราคาแพงถึงสองตำลึงทองมาด้วย
“ท่านพี่ข้าว่าเรามีเรื่องต้องพูดคุยกัน”
หวางซีอิ๋งในวัยสิบสี่ปี ปีหน้านางก็จะย่างเข้าสู่วัยปักปิ่นเติบโตเป็นสาวเต็มตัว นางมีความคิดความอ่านดั่งผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วยต้องปากกัดตีนถีบช่วยพี่สาวเลี้ยงน้องและทำงานบ้านทั้งหมดภายในจวนมาโดยตลอด
เชียงอิงปล่อยให้น้องสาวคนรองจูงมือกึ่งลากนางออกไปจากห้องนอนของต้าเจิง ทั้งสองยืนคุยกันด้านหลังจวนซึ่งเวลานี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นสถานที่ปลูกผักนานาชนิด
“ได้โปรดบอกข้ามาเถอะ ว่าท่านพี่นำเงินจากไหนมารักษาเสี่ยวต้า”
“คะ...คือข้า”
หวางเชียงอิงเม้มริมฝีปากเข้าหากันเป็นเส้นตรง ดวงตากลมโตกลิ้งกลอกไปมาเมื่อกำลังคิดถ้อยคำโกหก
“ทะ...ที่ทำงานใหม่ได้ให้ข้าเบิกล่วงหน้ามาก่อน....”
“ท่านพี่โปรดอย่าโกหกข้า”
เชียงอิงสะดุ้งน้อยๆ ด้วยรู้ดีว่าน้องรองจะไม่มีทางปล่อยนางแน่ คงจะคาดคั้นจนกว่าจะได้ความจริง
ตามนิสัยของหวางซีอิ๋งน้องสาวคนรองนั้นเป็นคนเด็ดขาดค่อนไปทางดุ บางคราก็ปากร้ายทุ่มเถียงกับแม่ค้าในตลาดอยู่เนืองๆ เพราะไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบ จะต่างจากพี่สาวที่ค่อนข้างใจอ่อน และขี้สงสารคนที่ตกทุกข์ได้ยาก จนบางครั้งทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เนืองๆ
“หอโคมแดงใช่หรือไม่ ท่านพี่ไปทำงานที่นั่นจึงสามารถเบิกเงินมาก่อน ใช่หรือไม่!”
“จะ...เจ้าพูดอะไร”
“ตำลึงทองที่ซื้อโอสถนั่นมาจากหอโคมแดงใช่หรือไม่! นายหน้าเบิกเงินให้ท่านก่อนตามที่ได้ตกลงสินะ...”
โดนถามย้ำอีกครั้งหวางเชียงอิงก็ถึงกับนิ่งงันด้วยความตกใจ ราวกับถูกของแข็งทุบที่ศีรษะอย่างแรง ก่อนจะจับที่ไหล่ของน้องสาวคนรองแล้วเป็นฝ่ายเค้นถามเสียเอง
“อะ...อิ๋งเอ๋อร์เจ้ารู้เรื่องนายหน้าได้อย่างไรกัน”
“ท่านพี่คิดหรือว่านายหน้าไร้จรรยาบรรณเช่นนั้นจะติดต่อท่านพี่เพียงผู้เดียว ข้าเองก็ได้รับการติดต่อเช่นกัน”
ซีอิ๋งเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงขมขื่น มองพี่สาวด้วยความสงสารจับใจ ด้วยเข้าใจว่าพี่สาวคงแอบไปทำงานที่หอโคมแดงมาแล้ว จึงได้ตำลึงทองมารักษาน้องชายคนเล็กเช่นนี้
พี่สาวอ้างว่าออกไปทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่โรงน้ำชาหัวถนน แต่ที่จริงแล้วกลับต้องยอมพลีกายอย่างเจ็บปวด ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสารพี่สาวจนปวดร้าวไปทั้งหัวใจ
“ตะ...แต่ว่าเจ้ายังไม่ถึงวัยปักปิ่น!”
“ท่านพี่คิดหรือว่าคนพวกนี้มันจะสนใจว่าข้ามีระดูหรือยังไม่มี ข้าโตเป็นสาวพอจะหลับนอนกับบุรุษได้แล้วหรือไม่ พวกมันไม่สนใจหรอก เพราะมีตาแก่ตัณหากลับอีกมากมายที่อยากจะชำเราเด็กสาวที่ยังไม่โตเต็มไว”
เชียงอิงหน้าซีดเผือด ผงะถอยหลังแทบจะเป็นลมล้มทั้งยืน ไม่คิดเลยว่านายหน้าจะเลวทรามแอบเข้าหาน้องสาวที่นางหวงแหน
“เพราะการขายเด็กสาวนั้นผิดกฏอาญาบ้านเมือง แต่หากขายลับๆ จะได้เงินมาก พวกมันเสนอให้ข้าเบิกล่วงหน้าถึงสี่ตำลึงทอง”
“ไอ้พวกสารเลว!”
เมื่อได้สติก็โผเข้ากอดน้องสาวเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยถามออกไปแม้จะหวาดกลัวคำตอบสุดหัวใจ
“จะ...เจ้ายังไม่ได้ไปทำสิ่งนั้นใช่หรือไม่”
“ข้ายังไม่ได้ไปทำเจ้าค่ะ นายหน้าเพิ่งมาติดต่อข้าเมื่อเช้านี้เอง พอข้าเห็นท่านพี่นำท่านหมอมารักษาเสี้ยวต้า ข้าก็รู้ได้ในทันทีว่าเงินเหล่านั้นมาจากไหน เหตุใดท่านพี่จึงต้องยอมเสียสละตัวเองเพื่อพวกเราขนาดนี้ ข้าเสียใจเหลือเกินที่ไม่อาจแบ่งเบาภาระท่านพี่ได้เลย”
ซีอิ๋งที่เข้มแข็งมาโดยตลอดถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นความทุกข์ใจเอาไว้ได้อีกต่อไป เชียงอิงประคองใบหน้าน้องสาวก่อนจะค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วเช็ดหยาดน้ำตาบนแก้มอิ่มอย่างทะนุถนอม
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอกนะอิ๋งเอ๋อร์ ข้าไม่ได้เป็นหญิงคณิกา แล้วก็ไม่ได้ทำงานที่หอโคมแดงด้วย”
“ตะ...แต่ว่าตำลึงทองเหล่านั้น... ท่านพี่อย่าโกหกข้าเลย ข้าไม่อาจมีความสุขได้บนความทุกข์ของท่านพี่หรอกนะ”
ซีอิ๋งส่ายหน้าแรงๆ อย่างไม่ยอมเชื่อพี่สาว
“ข้าได้ตำลึงทองเหล่านั้นมาจากฮูหยินโจวต่างหาก”
หวางเชียงอิงจำต้องบอกความจริงกับน้องสาว ดีกว่าปล่อยให้น้องเข้าใจผิดและจมอยู่กับความรู้สึกผิดอีกทั้งยังโทษตัวเองที่ไม่อาจช่วยเหลือครอบครัวได้
“มะ...หมายความว่ายังไงเจ้าคะท่านพี่ ข้าสับสนไปหมดแล้ว ฮะ...ฮูหยินโจวมาเกี่ยวอะไรด้วย”
“ฟังนะอิงเอ๋อร์ ฮูหยินโจวว่าจ้างให้ข้าแต่งงานกับคุณชายโจวเพื่อตั้งครรภ์ทายาท โดยมีระยะเวลาสัญญาเพียงหนึ่งปี แลกกับตำลึงทองถึงห้าสิบก้อน ข้าจึงยอมตกลงเพราะมันดีกว่าการไปเป็นหญิงโคมแดง”
“อะ...อะไรนะเจ้าคะ”
น้องสาวคนรองถึงกับเสียงสั่นด้วยความงุนงงกว่าเดิม เชียงอิงจึงค่อยๆ อธิบายเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด และดึงกระดาษสัญญาคู่ฉบับที่นางเก็บเอาไว้ออกมาจากสาบคอเสื้อแล้วส่งให้น้องสาวอ่าน
“ไม่ต้องห่วงหรอกนะอิงเอ๋อร์ ข้าเป็นภรรยาของคุณชายโจวเพียงหนึ่งปีเท่านั้น หากหกเดือนแรกข้าไม่ตั้งครรภ์ ฮูหยินโจวจะรับภรรยาคนใหม่เข้ามาเพิ่ม ข้าก็แค่ต้องอดทนจนกว่าสัญญาจะหมดลง แต่พวกเราทุกคนจะสุขสบายไม่ต้องกลับไปลำบากเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้วนะ”
“ท่านพี่ ท่านเสียสละตนเองอีกแล้ว ไม่ว่าจะหญิงคณิกาหรือภรรยาของคุณชายโจว ท่านก็ต้องหลับนอนกับชายที่ไร้รักอยู่ดี ฮือ...”
หวางซีอิ๋งปล่อยโฮออกมาอีกคำรอบ กอดพี่สาวเอาไว้แน่น สะอึกสะอื้นร่ำไห้จนตัวโยน โดยไม่รู้เลยว่าไม่ไกลจากบริเวณนั้นน้องสามและน้องสี่ก็แอบฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด
น้องสาม ‘หวางซูลี่’ นั้นมักแกล้งทำเป็นร่าเริงสดใสเพื่อให้พี่สาวทั้งสองสบายใจ แต่แท้จริงแล้วนางเป็นเด็กคิดมาก และเต็มไปด้วยความกังวลอยู่เสมอ มีหรือที่นางจะไม่ระแคะระคายที่พี่สาวคนโตสามารถซื้อโอสถราคาแพงกลับมาได้ และเมื่อได้ยินเรื่องราวความเสียสละของพี่สาวก็ถึงกับปล่อยน้ำตาออกมาเป็นสาย ก่อนจะหันไปกอดน้องชายคนเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ นางเอาไว้แน่น
“เพราะข้า...เพราะข้าอ่อนแอ พี่ใหญ่ถึงต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้”
ต้าเจิงกำหมัดแน่น เม้มริมฝีปากเข้าหากัน เด็กชายตัวน้อยเจ็บปวดราวกับหัวใจกำลังจะแตกสลาย ในห้องนอนเมื่อครู่นั้นความจริงเขารู้สึกตัวตื่นนานแล้ว จึงได้ยินสิ่งที่พี่สาวคนโตเอ่ย และแอบย่องตามมาอย่างเงียบๆ
“เก็บความเจ็บปวดนี้ไว้เป็นพลังนะอาต้า เจ้าต้องเติบโตอย่างแข็งแรงให้สมกับความเหน็ดเหนื่อยของพี่ๆ และเมื่อถึงวันนั้นเจ้าต้องท่านพี่ และกอบกู้ตระกูลหวางคืนมาให้ได้นะ”
“ขอรับพี่สาม ข้าจะต้องปกป้องพวกท่านให้ได้”
พี่สาวคนโตและพี่สาวคนรองกอดกันร่ำไห้ ในขณะที่น้องสามและน้องสี่ก็กอดกันร่ำไห้เช่นกัน แขกผู้ไม่ได้รับเชิญที่นั่งอยู่บนหลังคาจวน มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับตื้อตันไปทั้งลำคอ
“ข้าไม่ได้มองนางผิดไป นางเป็นสตรีที่น่ายกย่องยิ่งนัก อีกทั้งน้องๆ ของพวกนางก็ล้วนเป็นเด็กดี”
เติ้งหลุนหรือคุณชายเหวินหลงถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโจนไปตามหลังคาบ้านเรือนมุ่งสู่สกุลโจวเพื่อเตรียมตัวรอรับเจ้าสาวของเขาในวันพรุ่งนี้