ยั่วยวน ที่ 1
แม่พันธุ์ตั้งครรภ์ทายาทสกุลโจว
ความจนบีบบังคับ
“ฮูหยินจะให้ข้าทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
หวางเชียงอิงเงยหน้าขึ้นทันที นั่นเพราะเงินเหล่านี้คือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว ที่จะสามารถทำให้น้องชายคนเล็กหายขาดจากโรคประหลาดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเสียที
“ตั้งครรภ์ทายาทสกุลโจว”
“ตะ...ตั้งครรภ์หรือเจ้าคะ”
เชียงอิงย้อนถามอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ใบหน้าของนางเหลอหลาอ้าปากค้าง ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาจากสตรีสูงศักดิ์คือการพยักหน้าราวกับเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดา
“เจ้าน่าจะพอรู้มาบ้างว่าบุตรชายของข้าประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่จนกลายเป็นชายพิการ สภาพจิตใจย่ำแย่จากการสูญเสียบิดาจนทำให้พูดไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการให้บุตรชายของข้ามีทายาทในเร็ววันไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามเพื่อประโยชน์ของตระกูลโจว”
หญิงสาวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เชียงอิงมองเข้าไปในดวงตาของฮูหยินโจวเมื่อพูดถึงบุตรชายผู้เป็นลูกเลี้ยง มองไม่เห็นถึงความรักที่มีในแววตาเลยแม้สักกระผีกริ้น แต่กลับมองเห็นเพียงการกอบโกยผลประโยชน์เท่านั้น
นี่สินะ...
ธรรมดาของโลกที่นางต้องพบเจอ นางเองก็เคยประสบมาแล้วเมื่อครั้งสิ้นไร้อำนาจวาสนา และคุณชายโจวผู้นั้นคงกำลังตกอยู่ในสถานะไม่ต่างจากนาง
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน...
“ข้าเห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติเหมาะสม หากเจ้าตอบตกลงห้าสิบตำลึงทองที่กองอยู่ตรงหน้าจะเป็นของเจ้าในวันนี้ทันที อีกหนึ่งร้อยตำลึงทองจะมอบให้เมื่อเจ้าตั้งครรภ์ หากบุตรคลอดออกมาเป็น ‘ชาย’ เจ้าจะได้เพิ่มอีกสองร้อยตำลึงทอง เงินเหล่านี้จะช่วยให้น้องๆ ของเจ้ามีชีวิตอย่างสุขสบายแน่นอน”
จังหวะที่ฮูหยินโจวยื่นข้อเสนอ พ่อบ้านก็นำสัญญามาวางไว้เบื้องหน้าหวางเชียงอิงอย่างรู้งาน
“ตะ...แต่ว่า”
เชียงอิงทำท่าจะปฏิเสธ ด้วยใจลึกๆ นางรู้สึกสงสารคุณชายโจวผู้นั้น การต้องพบเจอกับเหตุการณ์สูญเสียก็เจ็บปวดมากพอแล้ว มิหนำซ้ำยังต้องมาหลับนอนกับหญิงที่ไม่รู้จักคงทำให้รู้สึกแย่ไม่น้อยเลย
“อย่าปฏิเสธเลย เพราะงานที่ข้าให้เจ้าทำนั้นย่อมดีกว่าการไปเป็นหญิงคณิกาขายตัวให้ชายมากหน้าเป็นไหนๆ”
“ฮะ...ฮูหยินทราบ!”
“ไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้หรอกนะ เจ้าคิดว่านายหน้าผู้นั้นจะไว้ใจได้แน่หรือ คิดหรือไม่ว่าตำลึงทองที่เบิกล่วงหน้านั่นจะต้องแลกมากับอะไรบ้าง”
หวางเชียงอิงหลุบเปลือกตาลง จ้องมองถ้วยชาเบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน
มีหรือที่นางจะไม่รู้!
มีหรือที่นางจะไม่เอะใจสงสัย!
แต่เพราะนางไม่มีทางเลือก นางจึงต้องแสร้งทำเป็นหลับหูหลับตาทำตัวดั่งแมลงเม่าบินเข้าหาเปลวเพลิงจนตัวตาย
“ลองคิดดูให้ดีเถอะว่าการหลับนอนกับชายคนเดียวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีย่อมดีกว่ามิใช่หรือ พิธีแต่งงานจะมีขึ้นอย่างเรียบง่ายและรวดเร็วภายในตระกูลเท่านั้น น้องๆ ของเจ้าและคนอื่นๆ จะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าแต่งงานเพราะเงินหรอกนะ เจ้าวางใจในข้อนี้ได้ เพราะคนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเชียงอิงก็ถึงกับเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง นางเหมือนคนที่ยืนอยู่บนหุบผาสูงชัน หนทางที่เลือกเดินแม้จะต้องทำร้ายคุณชายโจวผู้นั้น แต่ว่าน้องชายของนางจะมีชีวิตรอด
รู้สึกว่าตนเองช่างเห็นแก่ตัวนัก แต่นางก็ไม่อาจปล่อยมือจากน้องชายได้
“รับตำลึงทองเหล่านี้ไปเถอะ น้องชายของเจ้าต้องการยาอย่างเร่งด่วนไม่ใช่หรือ เดี๋ยวข้าจะให้อาหุ้ยแนะนำหมอมากฝีมือให้เจ้าเอง”
ฮูหยินโจวดันหีบตำลึงทองไปยังเบื้องหน้าสตรีอ่อนเยาว์กว่าด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายอับจนหนทางมากเท่าใด ก็ยิ่งหมายมั่นว่าจะควบคุมได้ง่ายราวกับหุ่นเชิดให้นางคอยชักใยขยับซ้ายขวาดั่งใจ
“ละ...แล้วถ้าหากข้าไม่ตั้งครรภ์เล่าเจ้าคะ”
เชียงอิงย้อนถามว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นหากนางไม่ตั้งครรภ์ตามที่ฮูหยินโจวต้องการ ซึ่งสาเหตุอาจจะมาจากนางหรือมาจากคุณชายโจวก็ย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น
“อย่าได้กังวลไปเลยอายุสัญญาจะมีผลเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ระหว่างนี้ภายในครึ่งปีแรกหากเจ้าไม่ตั้งครรภ์ ข้าจะจัดหาอนุภรรยาคนใหม่ให้กับบุตรชายของข้า โดยเจ้ายังมีโอกาสทำหน้าที่ต่อไปอีกหกเดือนในฐานะภรรยาเอก
หากครึ่งปีหลังจากนั้นเจ้ายังไม่ตั้งครรภ์ เจ้าก็จะพ้นจากสัญญา ทำการหย่าขาดกับบุตรชายข้า และกลับไปใช้ชีวิตตามเดิม โดยที่เงินห้าสิบตำลึงทองที่ให้ไปแล้วในวันนี้นั้นจะไม่มีการเรียกคืนอย่างแน่นอน”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ อย่างครุ่นคิด สัญญาไม่ได้เอารัดเอาเปรียบ ออกจะสบายกว่าการไปเป็นหญิงคณิกาด้วยซ้ำไป นางก็แค่ต้องอดทนทำหน้าที่ภรรยาให้ผ่านพ้นหนึ่งปี
แม้จะรู้สึกเห็นใจสงสารคุณชายโจว แต่เมื่อได้ยินว่าฮูหยินโจวพร้อมจะจัดหาภรรยาคนใหม่มาให้บุตรชาย ก็ทำให้นางตระหนักได้ว่านี่เป็นชะตากรรมที่คุณชายโจวต้องเผชิญ ต่อให้ไม่ใช่นางก็ต้องเป็นสตรีคนอื่นๆ อยู่ดี
“ข้าตกลงเจ้าค่ะ”
เชียงอิงรู้สึกถึงความเค็มปะแล่มของน้ำตาที่ไหลผ่านลำคอแต่กลับไม่ไหลออกจากดวงตา นางไม่มีทางเลือก อย่างน้อยๆ การเป็น ‘แม่พันธุ์’ ย่อมดีกว่าการเป็น ‘หญิงคณิกา’
นางคงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นสายตาผิดหวังและเสียใจของน้องๆ ที่นางรัก สู้ให้ไม่รู้ไม่เห็นว่านางหาเงินมาได้ด้วยวิธีใดคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“เจ้าตัดสินใจถูกแล้ว”
ฮูหยินโจวยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี เมื่อแผนทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างที่นางต้องการ เหลือบตามองพ่อบ้านที่กำลังจัดแจงให้แม่พันธุ์ลงลายมือชื่อและลายนิ้วมือลงในเอกสารสัญญา
เพียงเท่านี้สกุลโจวก็จะอยู่ในเงื้อมมือของนางดังที่ควรจะเป็น นางจะเป็นคนเลี้ยงดูฟูมฟักทายาทสกุลโจวที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมาด้วยตัวของนางเอง เพื่อที่จะล้างสมองให้เทิดทูนบูชานางซึ่งเป็นท่านย่าเหนือชีวิตตั้งแต่เพิ่งลืมตาดูโลก
“ท่านพี่กลับมาแล้ว!”
น้องสามเด็กหญิงวัยสิบปีรีบเดินออกจากเล้าไก่แล้ววิ่งไปหาพี่สาวด้วยความดีใจ ในขณะที่น้องสองกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นจนใบหน้ามันแผล็บ
ส่วนน้องสี่น้องชายคนเล็กนั้นแม้ร่างกายจะอ่อนแอ แต่กระนั้นยังไม่ยอมอยู่เฉย ใช้เวลาว่างช่วยพี่สาวสานตะกร้าจากไม้ไผ่เพื่อนำไปขายในตลาดเป็นรายได้อีกทาง
หวางเชียงอิงตื้อในคอราวกับมีก้อนแข็งๆ จุกแน่น ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยหยาดน้ำใส ยิ่งน้องๆ เป็นเด็กดีมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งอยากให้เด็กทั้งสามมีความสุข นางในฐานะพี่สาวคนโตเป็นตัวแทนของบิดามารดาจะต้องทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ขอเพียงน้องๆ ได้มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าก็เพียงพอแล้ว
“อะ...นั่นใครเดินตามหลังท่านพี่มา”
“นี่คือท่านหมอจะมารักษาอาการของเสี่ยวต้า”
หวางเชียงอิงได้นำตำลึงทองสี่สิบหกก้อนไปฝากไว้ที่สำนักธนาทรัพย์เพราะพวกนางเป็นเพียงสตรีและเด็กไม่อาจปกป้องเงินทองได้หากนำมาเก็บไว้ที่จวนแสนทรุดโทรมแห่งนี้
นางเหลือไว้ใช้เพียงสี่ตำลึงทองโดยแบ่งเป็นสองตำลึงทองสำหรับค่ายา และอีกสองตำลึงทองสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปซึ่งน่าจะใช้ได้นานราวๆ สี่ถึงห้าเดือนเลยทีเดียว เพราะปกติพวกนางใช้จ่ายอย่างประหยัด เน้นการพึ่งพาตนเอง ปลูกผัก เลี้ยงไก่ไข่ เอาไว้รับประทานเองโดยไม่ต้องซื้อหา หากมีไข่ไก่เหลือมากหน่อยก็นำไปแลกเป็นข้าวสารบ้าง เมล็ดธัญพืชต่างๆ บ้าง
“ทะ...ท่านหมอหรือเจ้าคะ เย้! น้องสี่จะได้รับการรักษาแล้ว”
เด็กหญิงวัยสิบปียังเด็กและไม่ประสากับโลกใบนี้นักถึงดีใจจนตัวโยน ทว่าน้องสองที่เริ่มโตเป็นสาวกลับมองพี่สาวคนโตด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล
“เชิญท่านหมอทางนี้เจ้าค่ะ”
เชียงอิงหลบสายตาน้องคนรอง ก่อนจะพาท่านหมอไปตรวจรักษาอาการของน้องชาย ซึ่งหมอคนนี้คือหมอมากฝีมือที่หัวหน้าสาวใช้เป็นคนแนะนำมานั่นเอง