ช่วงเย็น
ปรี๊ดด ๆ ๆ
เสียงนกหวีดดังต่อเนื่องหน้าโรงเรียนแห่งนี้ ครูโลมาและฉายหลิงช่วงเลิกเรียนจะต้องไปโบกรถหน้าโรงเรียน เวรจราจรดูแลรถนักเรียนและผู้ปกครองขณะมารับบุตรหลานกลับบ้าน ไม่แปลกที่เสียงนกหวีด การโบกมือและเสียงพูดจะดังสม่ำเสมอ เวรทุกวันที่ทั้งสองได้รับนอกจากจะออกแรงปอดแล้วมือแขนขาทำงานทุกส่วนยิ่งกว่าออกกำลังกายไปในตัว
“สวัสดีครับ...”
ครูโลมายืนหน้าโรงเรียนทั้งเช้าและเย็น ไม่แปลกที่ผมจะรู้จักกับผู้ปกครองเด็กที่สนิทกัน และผมยังโดนนักเรียนแซวว่าผมจะไปจีบผู้ปกครองของนักเรียนคนนั้น ผมไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่จริงจังขนาดนั้นแค่รู้สึกดีเพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี
“ครูโลมาขขยันมากเลยนะคะ ครูมีลูกหรือเปล่าคะ”
คำถามที่ผมได้ยินมันไม่ยากเหมือนแคลคูลัสแต่ทำไมผมพูดไม่ออกไม่กล้าตอบเลย มันมีอะไรบางอย่างมาปิดปากไม่ให้ผมพูด ผมคิดพักหนึ่งแล้วในตอนนั้นผมได้คำตอบทันที แต่คนที่ตอบไม่ใช่ผม
“ครูโลมาเขาไม่มีลูกนะครับ”
ผมตกใจเมื่อฉายหลิงเข้ามาขัดจังหวะแล้วตอบคำถามแทนผม อาจดูเสียมารยาทแต่ช่วยผมแก้ต่างได้ดี ผู้ปกครองคนนั้นไม่สงสัยอะไรและยังบอกผมว่าดูแลนักเรียนขนาดนี้ถ้ามีลูก เด็กคนนั้นโชคดีไม่น้อยเลย ผมได้ยินแล้วรู้สึกดีแต่ว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว
“ขอบคุณมากนะคะครูโลมา ครูเป็นครูคนหนึ่งที่ใจดีกว่าครูท่านอื่น เม็ดทรายยังบอกฉันเลยว่าครูอังกฤษใจร้าย”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” ผมเกาหัวแก้เขินก่อนจะบอกลาผู้ปกครอง ผมรีบตัดเข้าสู่โหมดจริงจัง เดี๋ยวใครจะหาว่าผมอู้งานไปคุยกับผู้ปกครองแล้วไม่ทำหน้าที่จัดการจราจรหน้าโรงเรียนทำรถติดยาวไปถึงหน้าถนนเพราะถนนหน้าโรงเรียนไม่กว้างเท่ารันเวย์สนามบิน
หลังจากนั้น
“ผมขอโทษนะครับที่ผมเสียมารยาทแต่ผมเห็นครูไม่สบายใจยังไงไม่รู้ ผมก็เลยแก้ต่างให้ก่อน” ฉายหลิงรู้สึกผิดที่ผมไปขัดจังหวะแต่ผมจับสังเกตได้ว่าครูโลมาเงียบไปเมื่อผู้ปกครองถามคำถามนี้ หรือว่าครูมีลูกแต่ไม่บอกคนอื่น
“ไม่เป็นไรหรอก แต่ครูไม่อยากพูดเรื่องนี้เพราะครูทำใจไม่ได้”
“ครูหมายถึงใครครับ”
ผมไม่รู้ว่าครูโลมามีอะไรปิดบังในใจถึงไม่กล้าบอกใคร เรื่องที่ผมได้ยินและจับใจความก่อนหน้านั้นคือผู้ปกครองถามว่ามีลูกหรือไม่ กลายเป็นว่าครูเขาไม่ตอบ แสดงว่าอาจจะมีมาก่อนแต่ว่าเขาไม่อยู่แล้วก็ได้
“จริงเหรอครับครู ผมเสียใจด้วยนะครับ”
ผมขอถามครูโลมาและดูเสียมารยาทถามอะไรไม่เป็นเรื่อง แต่ผมไม่ชอบเห็นใครไม่สบายใจ กลัวคิดสั้นทำอะไรที่ไม่เห็นคุณค่าในชีวิต ปัญหาอื่นใหญ่กว่านี้ก็ผ่านมาได้จะคิดยาวหาทางฆาตกรรมตัวเองให้เสียเวลาชีวิตทำไม
“เธอไม่เคยเห็นลูกครูก็ไม่แปลก เพราะปกติเวลาอยู่โรงเรียนไม่อยากให้ใครรู้ กลัวครูจะให้ความไม่เท่าเทียมกันไง”
“แต่ครูท่านอื่นก็มีลูกและบอกว่าเป็นใครนะครับ”
“กลัวนักเรียนจะหาว่าให้ความไม่เท่าเทียมไง เธอเคยเห็นบางครอบครัวชอบสปอยลูกไหมเพราะเห็นว่าเป็นลูกครูจะทำอะไรก็ได้ ใช้หัวโขนบังไว้ว่าตัวเองมีพ่อแม่เป็นใคร”
“แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนนะครับ” ผมว่าความคิดครูโลมาถือว่าดูแลลูกได้ดีแต่บางทีครูเขาเป็นคนคิดมากเช่นกัน ผมค่อย ๆ ปลอบแล้วทำให้ครูโลมาสบายใจแต่ว่าทำไมผมรู้สึกเหมือนผมเป็นเจ้าตัวเจอเหตุการณ์เดียวกัน ผมชักไม่อยากพูดอะไรมาก กลัวแนะนำแล้วครูไม่เข้าใจหาว่าผมซ้ำเติม
“เอาเถอะ ฉายหลิงเธอมีน้องไหม”
“ไม่มีครับ ผมลูกคนเดียว ดูแลตัวเองได้ไม่ต้องมีคนอื่นมาเสริม”
“ชีวิตใครผูกพันมากก็รักเป็นปกติ ไม่ต้องห่วงนะครูไม่เป็นอะไรมากสบายใจได้ หมดเวรหน้าโรงเรียนแล้วต่อไปเข้าไปดูแลนักเรียนในโรงเรียนดีกว่า” ผมพาฉายหลิงเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนทำหน้าที่จนถึงเวลาเลิกงานคุณครูเวลาห้าโมงเย็น ผมจะได้กลับบ้านไปจัดการธุระส่วนตัวหน้าที่ใครหน้าที่มันจะได้ไม่เป็นปัญหา
ที่บ้านปอนด์
บล็อกตี้มักจะสังเกตกระจกมองหลังเหนือศีรษะด้วยความระแวงเสมอ ผมกลัวว่ารถยนต์สีดำคันนั้นจะตามมาอีกครั้ง เพราะความระแวงทำให้ปอนด์เหมือนจะรำคาญผม ขนาดเขานั่งอยู่หลังพวงมาลัยบังคับทิศทางยังมองผมเหมือนว่าผมกำลังหันไปมาเกิดความรำคาญตรงหางตา
“บล็อกตี้ มันไม่มีอะไรหรอกน่า”
“เราขอโทษที่ทำให้ปอนด์รำคาญ แต่ปกติปอนด์ไม่เคยหงุดหงิดกับเรื่องเล็กน้อยนี่นา” ผมไม่รู้ว่าปอนด์กำลังระแวงผมหรือรำคาญที่ผมทำตัวระแวงตลอดเวลา เรื่องที่ผมเป็นก็ไม่ใช่เขามีคนอื่นแค่กลังใครจะตามมาสืบดูพร้อมวางแผนจัดการเราสองคน
“ถ้าบล็อกตี้ไม่ได้ไปทำอะไรให้คนอื่นถึงตาย ก็ไม่ต้องกลัวเลยนะ” ผมไม่อยากให้บล็อกตี้ระแวงจนใช้ชีวิตไม่ปลอดภุย ผมต้องทำให้เขาสบายใจทุกวิธีจะได้ไม่ต้องมองซ้ายขวา ระแวงเหมือนคนหลอนยาเสพติดคิดว่ามีคนจะตามมาฆ่าปิดปากถึงบ้าน ผมเห็นเขาสงบแล้วแต่อาจจะยังไม่หายปลิดทิ้ง ภายนอกไม่พูดแต่ในใจตะโกนดังเข้าถึงหัวใจ
“เราไม่เคยทำร้ายใครอยู่แล้ว”
“ดีแล้วล่ะ เราไม่ชอบเลยคนขี้ระแวง” ผมจะเป็นคนหนึ่งไม่ชอบให้ใครมาระแวงกับอะไรบางอย่าง ถ้าเขาเป็นแบบนี้จะทำให้ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยจนทำอะไรในชีวิตไม่ได้ ผมพาบล็อกตี้และลูกข่างเข้าบ้าน วันนี้ผมได้ของดีมาทำอาหารกะว่าจะทำให้เขาทานอย่างพอใจจะได้หายระแวง การทานอาหารอร่อยและมีคุณภาพจะถือว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต แต่มันไม่มากพอเท่ากับสิ่งอื่นที่ผมจะมอบให้เขา
“อร่อยมากนะ แต่ว่าปอนด์จะทำให้เราทุกมื้อเลยเหรอ” ผมเห็นปอนด์ทำยำปลาแซลมอนให้ผมพร้อมชงชาเขียวไวท์มอล์ตให้ผมดื่ม เขารู้ว่าเป็นเครื่องดื่มโปรดของผมแต่ว่าจะทำให้ผมทุกมื้อมันก็ไม่ได้ไหม ผมจะได้คาเฟอีนเกินขนาดก่อนไหม ชีวิตผมยังมีอะไรต้องทำอีกเยอะจะมาตายน้ำตื้นเพราะคาเฟอีนไม่ได้หรอก
“ก็บล็อกตี้ชอบนี่นา”
“แต่ก็ไม่ได้ขนาดนี้ไหม เอาเถอะเราดื่มสักแก้วก็แล้วกัน” ผมยกแก้วดื่มก่อนจะทานอาหารต่อไปด้วยความสบายใจ ผมหันมาหาลูกข่างพบว่าน้องเขานั่งเงียบไม่พูดอะไรเลย หรือจะโดนใครแกล้งมาอีก
“โดนแกล้งอีกแล้วเหรอ”
“ครับพี่บล็อกตี้ เขาชอบหาว่าผมเป็นตัวประหลาด ชอบเห็นอะไรเป็นวงกลมสีแดงไปหมด”
เครง!!
บล็อกตี้ตกใจเมื่อผมได้ยินคำว่าวงกลมสีแดงแล้ว มือผมไร้เรี่ยวแรงทำช้อนตกพื้น ผมนิ่งไปชั่วครู่ราวกับว่าเรื่องที่ผมได้ยินมันคือเรื่องจริงที่ผมเคยเห็นและพบเจอมาในฝันร้ายเสมอ ผมพูดไม่ออกเพราะทำไมเหมือนอาการของผมส่งต่อให้ลูกข่าง
“บล็อกตี้...”
“เอ่อ... ขอโทษที เราไม่ทันระวัง” ผมลุกไปเปลี่ยนช้อนใหม่แล้วทานอาหารต่อไป ผมฟังจากปากน้องลูกข่างว่าน้องเห็นวงกลมสีแดงไม่เต็มววงไปทุกที่เหมือนเด็กคนหนึ่งเดินตามตลอดเวลา นี่มันไม่ใช่เวลาโกสต์ไทม์แต่ฟังแล้วขนลุกตลอดเวลา
ปอนด์นั่งสังเกตบล็อกตี้มาสักพักเหมือนเขากำลังหวาดกลัวกับอะไรที่ลูกข่างพูดออกมา หรือว่าฝันร้ายที่เขาโดนหลอกหลอนมาตลอดจะเป็นเรื่องเดิมที่ผมได้ยินความจริงไม่หมด ฟังแล้วถ้าบล็อกตี้จะหวาดกลัวสมจริงขนาดนี้ผมว่ามันคือเรื่องเดียวกันกับที่เกิดขึ้นตอนนี้
“บล็อกตี้ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จ ขอคุยหน่อยได้ไหม...”
“ได้สิปอนด์”
ผมว่าอาการของผมเก็บไม่อยู่และแสดงอาการกลัวชัดเจน ไม่แปลกที่ปอนด์จะถามผมแบบนี้เอาเป็นว่าผมขอเติมพลังก่อนแล้วค่อยจัดการปัญหาที่ผมกำลังเป็นตอนนี้อย่างสบายใจที่สุด
เช้าวันต่อมา
“ถ้าบล็อกตี้ไม่สบายใจเราปิดตาปิดหูไปตลอดทางไหม”
“แต่มันไม่ใช่ตัวตนเราเลยนะ” ผมกำลังจะเดินทางแต่วันนี้ปอนด์มาแปลกเหมือนไม่อยากให้ผมรับรู้อะไร จะให้มองทิวทัศน์สองข้างทางก็ไม่ได้ เขาให้เหตุผลว่าจะเกิดความระแวงเห็นรถยนต์สีดำตามมาอีก เขาเป็นห่วงผมก็เลยจะทำให้ผมแบบนี้ แต่ผมไม่ค่อยชินกับอะไรแบบนี้เพราะการมองสองข้างเวลานั่งรถคือการเปิดความคิดได้อะไรใหม่ ๆ เข้ามาจากการจินตนาการ ผมเชอบเขียนนิยายเวลาเห็นอะไรจะได้หนึ่งพล็อตแล้ว
“ถือว่าเราช่วยทำให้บล็อกตี้สบายใจได้ไง”
“ชาเขียวไวท์มอลต์ก็ทำให้เราพอใจแล้วนะ”
“งั้นเหรอ แต่เราว่าของแบบนี้ดีกว่านะ รีบไปดีกว่าจะได้ส่งลูกข่างแล้วเราจะได้เข้างานตรงเวลา” ผมรีบขับรถไปตามเส้นทางปกติจะได้ไม่เสียเวลา ระหว่างทางผมปิดตาปิดหูบล็อกตี้จะได้ลดความสบายใจหรืออาจอึดอัดใจก็ได้ ผมไม่อยากให้เขาเห็นใครตามมาจนคิดว่าคนนั้นจะเป็นฆาตกร ผมถือว่าสร้างความปลอดภัยให้เขามากขนาดไหน หวังว่าทุกอย่างดีขึ้นล่ะ
ที่โรงเรียน
“สวัสดีครับครูชฎาพร”
“ค่ะครูโลมา”
ฉันเดินเข้าโรงเรียนมาหลังจากเข้าไปจอดรถยนต์ในลานจอดแล้ว ฉันเดินเข้ามาพร้อมรับทักทายครูโลมาทุก ๆ เช้า เขาทักทายฉันเป็นอย่างดี พร้อมแซวเล็กน้อยว่าฉันเป็นพวกเจ้าที่ประจำร้านกาแฟหรือไม่ เพราะทุกเช้าฉันจะถือแก้วน้ำจากร้านกาแฟมาเสมอ ราวกับฉันเป็นลูกค้าหรือเจ้าของร้านมาก่อน ฉันเคยบอกใครหลายคนแล้วว่าฉันเคยเปิดร้านกาแฟมาก่อน
“ครูเองก็ไม่ต่างกันนะคะ เครื่องดื่มชูกำลังขนาดนี้ ต้องสอนกีฬาทุกคาบหรือไงคะ”
“คุณอย่าลืมสิ โรงเรียนนี้มีครูพละสองคน ไม่รวมน้องฉายหลิงอีกนะ”
“คุณนี่ขยันมากไม่แปลกที่เด็กจะชอบมากกว่าวิชาหลัก”
“วิชาผมมันไม่ต้องทำอะไรมากหรอกครับ” ผมกับครูชฎาพรถือว่าสนิทกันระดับหนึ่งแต่ไม่มากเพราะทำงานในโรงเรียนเดียวกันก็ต้องคุยประสานงานกันเสมอ ผมทักทายเธอทุกเช้าจะได้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งเพื่อนร่วมงานและนักเรียนกันเอง
“ลูกข่าง”
ผมเห็นลูกข่างเด็กประจำห้องครูชฎาพรมา เขาทักทายผมเหมือนคนขี้อายไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่ผู้ปกครองวัยรุ่นคนนี้ผมเห็นหน้าอยู่หลายครั้ง พอจะคุยอะไรกันได้อยู่
“ครูโลมาขยันทุกวันเลยนะครับ”
“ครูก็เป็นแบบนี้ทุกวันในเวลาทำการอยู่แล้ว ยังไงนักเรียนอยู่ในโรงเรียนแล้วปลอดภัยแน่นอนครับ” ผมให้ความเชื่อใจกับผู้ปกครองวัยรุ่นตรงหน้า แต่ยังไม่ทันไร ผมตกใจเมื่อมีอะไรบางอย่างลอยมาโดนหัวลูกข่างเต็มแรง ผมไม่รู้ตัวว่ามันจะเกิดเหตุไม่ทันตั้งตัว ผมเห็นแล้วต่อว่านักเรียนที่เดินเข้ามาอีกคนทันที
“เวกเตอร์ ยังไม่ทันเข้าโรงเรียนเธอก็ก่อเรื่องแล้วเหรอ” ผมไม่ชอบเลยนักเรียนที่ชอบแกล้งนักเรียนด้วยกัน ผมต่อว่าแต่เวกเตอร์ทำหูทวนลมยืนกอดอกทำตัวเป็นกุ๊ยไปได้ ที่นี่โรงเรียนต่อให้กฎระเบียบจะไม่เคร่งครัดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ก็ยังต้องอยู่ในขอบเขตอยู่ดี
“ดูมันสิครับ ผมยังยกมือไหว้ครูแต่ไอ้ลูกข่างมันไม่ทำ”
“เธอมาไม่ทันเห็นเองนะ แล้วเธอไหว้ส่ง ๆ แบบนี้คิดว่าครูจะปรานีกับเธอเหรอ” ถ้าเด็กคนหนึ่งไหว้ทักทายให้ความเคารพผมด้วยความไม่จริงใจผมสามารถต่อว่าได้ทันที แต่เหมือนเขาไม่ฟังและจะทำตามใจตัวเอง เดินเข้าโรงเรียนไม่มองไม่แยแสผม ทำเหมือนผมเป็นอากาศไปได้
“ครูโลมาโอเคไหมครับ”
“ครูก็เป็นแบบนี้ทุกคนครับ แรงกดดันจากผู้อำนวยการ รวมถึงนักเรียน คุณต้องเข้าใจนะครับงานบริการมันเป็นแบบนี้เสมอ” ผมไม่อยากให้ผู้ปกครองเห็นว่าผมไม่สบายใจทั้งที่ผมอาการทางใจไม่สู้ดีนัก ไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมไม่สบายใจ
“ผมเข้าใจงั้นครูทำงานต่อดีกว่าผม ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ผมไม่อยากถามอะไรครูโลมามากกลัวครูจะไม่สบายใจมากกว่าเดิม สิ่งที่เด็กคนนี้ทำไมดูดุดันไม่เกรงใจใครเลย ขนาดน้องผมยังแกล้ง ผมพอจะรู้สาเหตุแล้วว่าใครแกล้งน้องผม เพราะน้องไม่ยอมบอกอะไรนอกจากโดนแกล้ง เอาเป็นว่าผมจะไม่ปล่อยไว้แน่นอน
เวลาต่อมา
เวกเตอร์มาถึงโรงเรียนแล้ว ผมจะเข้าไปหาเพื่อนไปวางกระเป๋าก่อนขึ้นอาคารเรียนเสมอ ผมชอบไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนห้องเดียวกัน ใครก็รู้ว่านิสัยผมเป็นแบบไหนไม่ว่าจะจริงจับกับเพื่อนหรือกีฬาก็ตาม ผมวางกระเป๋าแล้วปล่อยชายเสื้อนักเรียนออกจะได้ทำตัวคล่องหน่อย
วู้ววว
ผมเดาะฟุตบอลไปกระโดดไปด้วยความสนุกแล้วในขณะที่ผมเดินหน้าก้าวไปกระโดดไป มีใครบางคนเข้ามาตีก้นผมเต็มแรง ผมตกใจเพราะผมไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ชายด้วยกันมาสนใจแต่ผมไม่คิดจริงจังหรอก เพราะคนที่เข้ามาแกล้งลวนลามผมคือครูฝึกสอนที่ผมเห็นหน้ามาสักพักแล้ว
“พี่ฉายหลิง”
ผมนี่แหละเป็นคนเข้าไปตีก้นเด็กอย่างเวกเตอร์เอง ข้อแรกคือเขาแต่งตัวไม่เรียบร้อยเอาชายเสื้อนักเรียนออกนอกกางเกง แม้โรงเรียนจะไม่เคร่งครัดทรงผมการแต่งตัวแล้ว แต่ในสายตาผมขอให้แต่งตัวเรียบร้อยเป็นอันดับแรกจะดีมาก และข้อสองผมมาเช็กบิลแทนครูโลมาเพราะเขาแกล้งลูกข่างและพูดจาไม่น่าฟังกับครูโลมา
“แต่งตัวไม่เรียบร้อยนะครับ”
“แล้วพี่เป็นครูโรงเรียนนี้เต็มตัวแล้วเหรอ มาบอกผมอะดูตัวเองก่อนไหม” ผมมองดูตัวเองก่อนเตือนนักเรียนเสมอ ผมใส่รองเท้าผ้าใบกับชุดนักศึกษามาฝึกสอนเป็นปกติของผมอยู่แล้ว น้องเขาใส่ชุดนักเรียนกับรองเท้าผ้าใบแฟชั่นเหมือนผม ต่างกันแค่สีชุดการแต่งตัวเท่านั้น ผมต้องการสอนเขาจะได้มีระเบียบแต่น้องเขาไม่ฟัง
“อื้อออ อย่านะพี่”
ผมตกใจเมื่อพี่เขาจะยัดชายเสื้อใส่กางเกงนักเรียนสีน้ำเงินของผม ผมบอกแล้วไงว่าผมยัดเองได้และไม่ต้องมาหลอกลวนลามผมด้วย ผมเห็นพี่ฉายหลิงตั้งแต่เข้าสอนแล้ว ชอบคุยกับนักเรียนประถมชายมากไม่รู้เพราะอยากสนิทหรืออะไร ผมเดาตัวตนพี่เขาไม่ถูกเลย
“อย่าดิ้นสิน้อง”
ผมบอกให้น้องเขายืนนิ่ง ๆ ผมจะได้ปลดกางเกงคลายออกเล็กน้อยจะได้ยัดชายเสื้อให้ ผมรูดซิปกางเกงน้องเวกเตอร์ลงเผยให้เห็นกางเกงในสีขาว ผมเห็นแล้วมันเตะตาผมตรงจุดสองห้อยของผู้ชายมันนูนมาก ขนาดไม่แข็งยังใหญ่พับลง ท่าจะได้พ่อมาเต็มผมกลืนน้ำลายแต่ผมตั้งสติแล้วยัดชายเสื้อใส่แม้น้องไม่เต็มใจผมก็จะทำ
“ใหญ่นะน้อง”
“พี่เป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย มาหลอกจับจู๋คนอื่น” ผมตกใจเพราะพี่ฉายหลิงหล่อหน้าตี๋แต่ดูทรงเหมือนคนชอบลวนลามและชอบเพศเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นผู้ชายใจเกเรหรือเปล่า มาทำแบบนี้ผมทำตัวไม่ถูกเลย ผมยัดชายเสื้อแต่งตัวเรียบร้อยตามคำสั่งพี่เขาแล้วจะเอาอะไรอีก
“งั้นเตะฟุตบอลกับพี่สักรอบสิ” ผมต้องการเตะฟุตบอลกับเด็กนักเรียน เขารับคำท้าผมรีบใช้วิชาที่ผมเรียนมาและชอบเล่นกีฬาฟุตบอลตั้งแต่ประถมแล้วไม่แปลกที่ผมที่จะชอบท้านักเรียนหรือคนอื่นเล่นฟุตบอล ผมทำไปเพราะผมอยากให้บทเรียนกับเวกเตอร์แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ขอใช้เวลาหลอกสายตาพิฆาตอย่างผู้อำนวยการโรงเรียนก่อนแล้วกัน ไม่อยากเป็นเรื่องใหญ่